วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เปลี่ยนการใช้ชีวิต เพื่อไม่ป่วย ไม่ต้องไปหาหมอ


1:18 เจอเภสัชกรคนหนึ่ง หน้าตากวนตีนมาก อายุน้อยกว่าผม แต่กวนตีนมาก กว่าผม ผมบอกว่า ซื้อยาแก้กรดไหลย้อนครับ
เภสัชกร:เอาเกรดไหน มี3เกรด ถูก กลาง แพง คุณภาพยา ขึ้นกับราคา ว่าไงฮึ
ผมก็เลยกวนตีนกลับไปว่า เอาเกรดไหนก็ได้ ที่กินแล้วหายน่ะ
เภสัชกร:ไม่มี ไม่มี โรคนี้ยาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต 
ผมหันไปจ้องหน้ามัน เพราะสะดุดกับคำว่า ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไป ตลอดชีวิต 
ผมก็เลยถามว่า มันมีการรักษาด้วยวิธีอื่นเหรอ มันค่อยๆชายตามองผม ด้วยสายตาดูถูกอย่างรุนแรง แล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนฟังว่า
คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เกิดจากนิสัยชั่ว5อย่าง
1.กินข้าวไม่ตรงเวลา 
2.กินอาหารรสจัดมากๆ  โดยเฉพาะเผ็ดจัดมากเกินไป 
3.กินมากเกินไป 
4.กินแล้วเข้านอนทันที. 
5.เครียดตลอดเวลา

ถ้าอยากหาย ให้ไปเปลี่ยนนิสัย ไม่ต้องกินยา ผมกัดฟันแน่น จ้องหน้ามัน พร้อมกับนึกในใจว่า
ทำไมมึงถึงกวยตีน อย่างนี้วะ ผมคิดในใจ แล้วค่อยๆเปิดประตู เดินออกจากร้านไป 10วันผ่านไป ผมไปบรรยายหลายงานหลายจังหวัด คืนหนึ่งกลับเข้าบ้าน ดึกแล้ว ผ่านร้านขายยา ผมรีบจอดรถ เดินเข้าไปในร้าน เจอไอ้เภสกวนตีนคนเดิมเต็มๆ มันหันมาเห็นผม แล้วพูดกับผมว่า เอ้าเป็นไง โรคกรดไหลย้อน ผมปรี่เข้าประชิดตัว แล้วยกมือพนม พร้อมกับก้มหัว บอกมันว่า ขอบพระคุณมากครับ หายแล้วครับ พูดได้แค่นั้น แล้วก็จุกอยู่ที่คอ พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ แล้วรีบเดินออกจากร้าน เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมยกมือไหว้คนขายยา คนที่อายุน้อยกว่าผมมาก ผมพูดอะไรไม่
ออก แต่ผมเชื่อว่า ไอ้เภสัชหนุ่มนี่ มันรู้ ว่าผมจะพูดอะไร มันสามารถสูบเงินจากผมได้เป็น100,000 แล้วก็ทำกำไรมหาศาล แต่มันไม่ทำ มันเลือกที่จะช่วยผมให้หายป่วย โดยไม่ได้เงินสักบาท

(4:00) การดำเนินชีวิตของผมตอนนี้ 
1.กินข้าวตรงเวลาทุกมื้อ 
2.กินอาหารจืด ไม่กินรสจัด เผ็ดจัด
3.กินแค่จานเดียวเลิก ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม
4.มื้อสุดท้ายกินก่อน18:00น. แล้วไม่กินอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม 5.อารมณ์ดีตลอด ยิ้มหัวเราะ ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน

(4:32) ผลที่เกิดตามมาก็คือ พุงผมหายไป ไม่มีหน้าท้อง ไม่อึดอัด สุขภาพดีขึ้น ไม่เป็นโรคอ้วน บุคคลิกภาพดีขึ้น ความมั่นใจดีขึ้นเวลาเข้าสังคม หายใจสะดวก ไม่แน่นท้องเหมือนก่อน ไม่ง่วงนอน ไม่อ่อนเพลียในเวลาทำงานเหมือนก่อน การทำงานและการเคลื่อนไหวร่างกาย คล่องตัวขึ้น ที่สำคัญคือชีวิตผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย
นี่แหละคือเหตุผลที่ผมต้องไหว้ไอ้เวรนี่ตลอดชีวิต ไม่ว่ากูจะเจอมึงที่ไหน

สิ่งมีค่าที่สุดที่มันมอบให้ผมก็คือ
โรคภัยไข้เจ็บ90%ของมึงเนี่ยะ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากเชื้อเลวในการดำเนินชีวิตของมึงทั้งนั้นแหละ
ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามธรรมชาติ มีสุขนิสัยที่ดี คุณจะไม่ป่วย ไม่เป็นโรค
แล้วก็ไม่ต้องไปหาหมอ หมอและยา เขามีไว้รักษาและขายให้กับคนโง่

รุ้ง8สี.มึงป่วยเพราะมึงโง่
https://youtu.be/4J5FQdBWCMs


(07:14) พระกรรมฐานท่านไม่เคยเป็นมะเร็ง เพราะท่านดีท็อกซ์ ล้างพิษอารมณ์อยู่ทุกวัน ...ท่านไม่มีอารมณ์(=โลภ โกรธ หลง เป็นผู้เบิกบานทุกเรื่องทุกปัญหาทั้งกายและใจ หลวงปู่มีทางแก้ไข)
มะเร็งโรคของคนมีความเครียดสูง โรคของคนในเมือง
การหยุดสร้างเซลมะเร็ง จะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต
ในเรื่องของอาหารทำให้เสียความสมดุลมากๆจะก่อมะเร็งขึ้น อารมณ์ การรู้จักตัวเอง การปล่อยวางการออกกำลังกาย

รายการไกลหมอ ตอนไกลมะเร็ง
https://youtu.be/ginQ7SiuJzE

*********************
ปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด

เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผม(หมอสันต์)สรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย…ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง

ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์

เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้ รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย

ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็น ของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่ง เรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุ ที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำ ให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้ เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่น เลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดิน ไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น

ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสีย ไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มที่ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว หรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย

จาก: http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html



เตรียมข้าวกล่องเมื่อเดินทาง




เคี้ยวช้าๆเดี๋ยวข้าวติดคอ ต้องนอยติดเตียง


น้องอิคิวเคยมีชีวิตเคลื่อนที่ปกติ วันหนึ่งกินเพราะหิว จึงรีบกิน ข้าวติดคอ ทำให้สมองขาดออกซิเจนไปชั่วชณะ กลายเป็นเด็กต้องนอนติดเตียงเคลื่อนที่ไม่ได้อีกต่อไป
https://youtu.be/944CAsaoGl8

อาหาร 1 คำ เคี้ยว36ครั้ง เพื่อไม่เป็นภาระแก่กระเพาะอาหาร กินผักและปลา
มิ.ย2560สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันอายุ 90 ปี

เคี้ยวอาหารนานๆ
เชื้อราอัลฟลาท็อกซินไม่ตายด้วยความร้อน200°
แต่โดนนำ้ลายมันตาย น้ำลายทำลายมันได้ กินอาหารจึงให้เคี้ยวนานๆ แต่ไม่ใช่เอาอาหารมีเชื้อ ราดำๆมากิน ถ้าพบเชื้อราดำๆให้โยนทิ้ง อย่าเสียดาย

https://youtu.be/F6gtGh2wKs0

กินอาหารล้างพิษร้อน /













ปวดเมื่อยเนื้อตัวก็เพราะอาหารฤทธิ์ร้อน พออ่านหมอเขียวข้างล่าง

จากคำอธิบายของหมอเขียวเพิ่มความรู้ตนเองดังนี้
กินน้ำย่านางดียังไง

มา#บันทึก ถ้าเราไม่รู้อะไรคือฤทธิ์ร้อน-ฤทธิ์เย็น จะลำบากนะ


# ในย่านางก็มีเบต้าแคโรทีนเยอะเหมือนกัน
เป็นเบต้าเย็น กินปุ๊บ เบาหวาน ไขมัน ความดันลง
เห็นไหมเบต้าเหมือนกัน ทำไมไม่เหมือนกัน
เพราะมันมีร้อนมีเย็นไง

#แคลเซี่ยมเองก็มีร้อนมีเย็น อย่างแคลเซี่ยมจากงา
จากปลาเล็กปลาน้อย จากหมอจ่ายยาแคลเซี่ยม
อันนั้นเป็นแคลเซี่ยมร้อน
แคลเซี่ยมจาก ย่านาง ใบเตย ผักบุ้ง อ่อมแซ่บ อะไรต่างๆ
พวกนี้ ผักผลไม้ฤทธิ์เย็น พวกนี้เป็นแคลเซี่ยมเย็น


#คราวนี้นิ ยุคนี้ 10 ปีมานี่โลกมันร้อนขึ้น ฟังอันนี้ให้ดีๆน่ะ
คนไม่เข้าใจ ยุคนี้คนจะ กระดูกผุพรุนบาง และเกิดโรค
แทรกซ้อนกันเพียบเลยจากการกินแคลเซี่ยม
จากการกินแคลเซี่ยมที่หมอจ่ายยาทั้งหลาย
และจากการกินแคลเซี่ยมที่เราไม่เข้าใจ
จากปลาเล็กปลาน้อยหรือจากงาก็แล้วแต่ กินมากไป
ไม่ถูกจังหวะจะอันตราย กระดูกจะผุมากขึ้น

#ปัญหาโรคกระดูกและอื่นๆจะมากขึ้น เพราะมันจะมีโรค
แทรกซ้อนเยอะ มันเป็นอย่างงี้ครับ 10 ปีมานี่ ป่าไม้แม่น้ำ
ลำธารลดลง สารเคมีเยอะ มลพิษเยอะ ความเครียดเยอะ
เมื่อโลกร้อนขึ้น จากหลายสาเหตุ อาหารรสจัด
อาหารเนื้อสัตว์ต่างๆก็ตาม เมื่อโลกร้อนขึ้นนั้น

#เพราะฉะนั้นเรากินแคลเซี่ยมเย็นจากสมุนไพรฤทธิ์เย็น
จากผักฤทธิ์เย็น อาหารฤทธิ์เย็นนั้น จะเข้าไปสังเคราะห์
เป็นแคลเซี่ยมเย็น แล้วกระดูกจะต้องการ มวลกระดูกจะเพิ่ม
แต่ใครก็ตามที่กินแคลเซี่ยมร้อนเข้าไป มันจะแย่เข้าไปกว่าเดิมอีกกระดูกจะผุพรุนบางมากขึ้น เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อน
เบาหวาน ความดัน ไขมัน ปวดตามกล้ามเนื้อปวดอะไรหลายอย่าง

#สรุปโรคทุกโรคจะแทรกซ้อนตามมาเพราะมันร้อน
ร่างกายไม่ต้องการแคลเซี่ยมร้อน ร่างกายต้องการแคลเซี่ยม
เย็นเป็นหลัก พอเราเจอแบบนั้นปุ๊บ เราก็แนะนำคนไข้
หยุดกินแคลเซี่ยมร้อนนั้นซ๊ะ แล้วมากินแคลเซี่ยมเย็น
ปรากฏว่ามีคนไข้จำนวนมากที่มากินแคลเซี่ยมเย็นนี่

#ส่วนใหญ่ภายใน 1 ถึง 6 เดือน มวลกระดูกก็จะเพิ่ม และอาการทรมานต่างๆก็จะหายไป นี่คือสิ่งที่เราพบเพราะฉะนั้นแคลเซี่ยมก็ต้องรู้ร้อนรู้เย็น

#ถ้าเราไม่รู้ร้อนรู้เย็นจะลำบาก
ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว)



วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

“มาชดเชยแคลเซียม เดินกันเถอะ”/โยะชิโนะริ




 “มาชดเชยแคลเซียมด้วยการเดินกันเถอะ”

นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมตกแต่ง
และรักษาโรคมะเร็ง

คุณหมอเล่าว่านักบินอวกาศที่ใช้ชีวิตอยู่ในยานอวกาศเป็นเวลานาน ทั้งที่กินแคลเซียมเป็นปริมาณมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แต่พอกลับถึงโลกก็ยังเป็นโรคกระดูกพรุนเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย
เนื่องจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงโลก เมื่อเป็นเช่นนั้น กระดูกจึงค่อยๆ อ่อนแอลง

คุณหมอจึงแนะนำว่า ถ้าอยากทำให้กระดูกแข็งแรง ต้องเดินให้มาก เป็นสองเท่าของคนทั่วไป เพราะแรงโน้มถ่วงจะทำให้กระดูกรับภาระหนัก แล้วปริมาณแคลเซียมในกระดูกก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ

การเดินอย่างสง่างาม(=คือหลวงปู่ เดินทุกคืน)

ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีการพูดกันโดยทั่วไปว่า แคลเซียมจะลดน้อยลงตามอายุล่ะ?? คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า

แต่เดิมกระดูกเป็นเหมือนธนาคารซึ่งเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ เมื่อแคลเซียมในเลือดลดลงก็จะนำแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน และเมื่อผู้สูงวัยมีการเดินที่ไม่เพียงพอ กระดูกก็จะค่อยๆเปราะบางลง

ถึงแม้จะกินแคลเซียมมากเพียงใดก็จะไม่มีผลช่วยอะไรมากนัก เพราะปัจจัยหลักที่สำคัญคือ "ปริมาณการออกกำลังกาย" ที่ผู้สูงวัยมีลดน้อยลงถึงขนาดผู้สูงวัยบางรายในแต่ละวัน แทบไม่ได้มีการขยับตัวเลยนั่นเอง

นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงอีกด้วย เพราะเดิมทีฮอร์โมนเพศไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนเพศชายต่างก็มี “ฤทธิ์เสริมสร้าง” ทำให้กระดูกแข็งแรงและกล้ามเนื้อบึกบึน

สำหรับผู้ชายนั้น ถึงแม้จะใกล้วัย 80 ปี แต่ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตออกมาก็ไม่น้อยไปกว่าช่วงวัยรุ่น ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และจะหยุดผลิตเมื่อหมดประจำเดือนตอนอายุประมาณ 50 ปี

แน่นอนว่า...หากไม่มีฮอร์โมนเพศก็จะไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมชาติจึงจำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนทดแทนขึ้นมา ชื่อว่า “แอนโดรเจน (Androgen)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อชดเชยฮอร์โมนเพศหญิงในส่วนที่ขาด แต่แอนโดรเจนก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ กระดูกจึงไม่สามารถรักษาแคลเซียมเอาไว้ได้

นอกจากนั้นผู้สูงวัยยังมีแนวโน้มที่จะเดินน้อยลงเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงยิ่งทำให้ขาดแคลเซียมมากขึ้นไปอีก ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวเข่าและสะโพกพอปวดแล้วก็จะยิ่งเดินน้อยลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็น ซึ่งจะยิ่งเข้าสู่วงจรแย่ๆ ยิ่งมีกระดูกอ่อนแอลงไปเรื่อยๆจนเกินแก้ไข

ในทางกลับกัน ต่อให้เป็นวัยหนุ่มสาว หากนั่งทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ วันๆแทบไม่มีการขยับตัว แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาปีนเขาใช้ขาอย่าง หักโหมทันที ก็จะมีอาการปวดข้อปวดเข่า เพราะร่างกายไม่เคยชิน จึงควรฝึกนิสัยรักการเดินให้เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ

คุณหมอโยะชิโนะริ นะงุโมะ มีอายุถึง 60 ปีแล้ว แต่อายุกระดูกที่ตรวจวัดได้ยังมีอายุเพียงแค่ 28 ปี ซึ่งอ่อนกว่าอายุจริงกว่า 30 ปี นั่นเป็นเพราะคุณหมอรักการเดินเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณหมอบอกว่าการเดินมากหรือน้อยในวัยเด็กสะสมมาจะมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความรุนแรงของโรคกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นด้วย

ดังนั้นพ่อแม่ที่โอ๋ลูกมาก ไม่ยอมให้ลูกได้เดินบ้าง เพราะกลัวเหนื่อยหรือลำบาก ควรจะรีบเปลี่ยนความคิดใหม เพราะพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจะฝึกให้ลูกเดินเยอะๆ ถ้าบ้านและโรงเรียนไม่ไกลจากกันมากนัก ก็จะใช้วิธีเดินไปกลับแทน การนั่งรถไฟฟ้า
หรือขึ้นรถไฟฟ้า ก็จะพยายามให้เด็กๆได้ยืนเพื่อฝึกกำลังขาและสะโพก เพราะการฝึกขาและสะโพกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแรงของกระดูกเค้าไปตลอดชีวิตเลย

*******

ลดเวลานั่ง เพิ่มเวลายืน ยืดเวลาเดิน
การศึกษาวิจัยที่ผ่านมา แสดงให้เราเห็นว่า การนั่งนานเกินไป เพิ่มโอกาสเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจและการตายจากทุกสาเหตุ ประชากร 1 แสนคน ทุกๆ 2 ชั่วโมงต่อวันที่นั่งดูทีวีเพิ่มขึ้นเป็นเวลา 1 ปี เพิ่มโอกาสเป็นโรคเบาหวาน 176 คน ตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 38 คน ตายจากทุกสาเหตุ 108 คน

ดังนั้น เราควรจะลุกยืนให้บ่อยขึ้น เพื่อลดเวลาที่นั่งให้น้อยลง คำถาม คือ คนเราควรจะลุกยืนอย่างน้อยวันละกี่ครั้ง และคนที่ป่วย ควรจะลุกยืนกี่ครั้ง พบว่าโดยเฉลี่ย คนที่แข็งแรงดีจะลุกยืนเฉลี่ย 33-71 ครั้งต่อวัน คนเราควรจะลุกยืนมากกว่า 45 ครั้งต่อวัน ยกเว้นผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล และผู้สูงอายุบางคน ในทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราอาจต้องมากำหนดตัวเองคร่าวๆ ว่า ควรจะลุกยืนอย่างน้อยชั่วโมงละ 3-4 ครั้ง หรือทุกๆ 15-20 นาที ควรจะลุกยืน การนั่งทำงานนานๆ วันละ 8-10 ชั่วโมง ติดต่อกัน ไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพแน่ๆ ดังนั้น ควรสลับการยืน หรือเดินทำงาน จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย


https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156125507052028&id=172425057027







วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560



กินทุเรียนป้องกันและรักษามะเร็งปากมดลูก ลดอาการตกขาว โดยไกร มาศพิมล
https://youtu.be/UgbjiYRCbmo

:ผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกตายปี(2515)4,800คน
ในตำราแพทย์แผนไทยเขียนว่า ทุเรียนรักษาโรคฝีในท้องก็คือมะเร็ง วัณโรคในสมัยโบราณ พัฒนาจนเป็นฝีในท้อง มะเร็งลำไส้

สีเหลือง
ของทุเรียนคือกำมะถันที่มาจากธรรมชาติกินได้ แต่กำมะถันที่มาจากโรงงานอุตสากรรมกินไม่ได้ คนละตัวกัน

หมาขี้เรื้อน
เขาจะตำกำมะถันผสมน้ำมันมะพร้าวทา 2วันขี้เรื้อนแห้ง

กินทุเรียนลดอาการตกขาวซึ่งเกิดจาก ผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน จะมีอาการอักเสบจากโพรงมดลูกลอก การอักเสบมีทุกเดือน ถ้ามันลอกออกไม่หมด ลอกช้า จะทำให้เราปวดท้องเมนส ์์และตกขาว แต่ถ้าเดือนไหนโพรงมดลูกลอกตัวเลือดออกมาเร็วก็จบกัน
กินทุเรียนช่วยลดการอักเสบตัวนั้น เพราะมันเป็นกรด

กินทุเรียนช่วยระบายของเสียในท่อทางเดินปัสสาวะ โดย
หลังกินทุเรียนใน2ชม.ให้ดื่มน้ำอุ่นตาม เมื่อไปฉี่จะมีกลิ่นทุเรียนออกมา เพราะเป็นกำมะถันธรรมชาติจะถูกขับออกได้ ทำให้ท่อทางเดินปัสสาวะ ไม่มีกลิ่นเหม็น และลดอาการกลิ่นเหม็นในช่องคลอด

กินทุเรียนช่วยให้ช่องคลอดกระชับเพราะกำมะถันมันร้อน

กินทุเรียนหมอนทองต้านความแก่ ลดไขมันเป็นผลวิจัยว่าค่าคอเลสตอรอล300กว่า กินทุเรียนผ่านไป4ชม.ลดไขมัน32%






วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560




เลือกกินขนมปังยังไง
ขนมปังต้องทำสดใหม่วันต่อวัน และวัตถุดิบต้องไมมีสารก่ออันตรายเช่นมาการีนแต่ใช้เนย ขนมปัง7-11ไม่สดใหม่ เช่นฟาร์มเฮาส์ใช้วัตถุกันเสีย เป็นอันตรายต่อร่างกาย มาดูขนมปังในญี่ปุ่นร้านนี้ทำ100ชิ้น สดใหม่

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158979242245085&id=330743535084

เมืองไทยก็มี


วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

วิธีดื่มน้ำมะขาม






อัง.30ก.ค62


***********
วิธีทำน้ำมะขาม จากค่ายสุรินทร์อโศก20-21มี.ค57
ต้มมะขาม3กำปั้นกับน้ำเย็น เคี่ยว20นาที เนื้อมะขามลอย
กรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเศษเนื้อออกจนหมด
ในค่ายแบ่งกิน2วัน โดยแต่ละวันผสมน้ำผึ้ง3ทัพพีกับน้ำหมัก2ฝา

***********

วิธีดื่มน้ำมะขามให้ได้ผล ง่ายสะดวกอย่างที่บอกไว้แต่ต้นก็คือ ใช้เนื้อมะขามล้วนๆ (ที่แกะเม็ด รวมทั้งรังและกากออกหมดแล้ว) ตามน้ำหนักตัวคือ 0.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น คนหนัก 50 กิโลกรัมใช้เนื้อมะขาม 25 กรัมละลายในน้ำสุกอุ่นๆ 1 แก้ว (250 ซีซี) ไม่ต้องเติมเกลือและน้ำตาล ดื่มวันละครั้ง หลังอาหารเย็นก็ได้ ช่วยเป็นยาระบายในตอนเช้าอีกต่างหาก

เนื่องจากมีการทดสอบความเป็นพิษของเนื้อมะขามสุกในสัตว์ทดลองหลายชนิด พบว่าสัตว์ทดลองมีน้ำหนักลดลงมาก และเซลล์ไขมันในตับก็ลดลงมากด้วย แต่ไม่พบความเป็นพิษ

ดังนั้น ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักให้เห็นผลเร็ว อาจจะรับประทานเนื้อมะขามมากกว่าขนาดที่ระบุไว้ก็ได้ แต่มีข้อแนะนำไว้ 3 ข้อ คือ

1) บางคนอ่อนไหวกับมะขามกินมากไปเล็กน้อยอาจท้องเสียได้

2) ไม่ควรรับประทานเกิน 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ต้องแบ่งรับประทานวันละ 3 เวลาหลังอาหารและก่อนนอน

และ 3) ไม่ควรรับประทานต่อเนื่องเกิน 30 วัน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำมากเกินไป และขอย้ำว่าคนที่ธาตุเบาถ่ายง่ายควรลดเนื้อมะขามลงตามความเหมาะสมด้วย

นอกจากใช้เนื้อมะขามเป็นน้ำสมุนไพรลดน้ำหนักแล้ว อย่าลืมใช้ก้อนมะขามเปียกขัดผิวด้วย เพราะสารไซโลกลูแคน (Xyloglucan) และน้ำตาลโพลีแซคคาไรค์ (Polysaccharide) ในเนื้อมะขามจะช่วยยับยั้งการสร้างเมลานินที่ผิวหนัง ทำให้ผิวของคุณขาวขึ้นโดยไม่ต้องใช้สารเคมี

น้ำมะขามจึงเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่มีคุณค่ามาก เป็นสมุนไพรที่คนยากดีมีจนเข้าถึง และเป็นวิธีเสริมมาตรการลดน้ำหนักที่สามารถปฏิบัติง่ายๆ ได้ผลดี ที่ต้องใช้ร่วมกับมาตรการหลักอื่นๆ ด้วย
https://www.sentangsedtee.com/food-recipes-for-job/article_23436

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560