วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พิษภัยในอาหาร 30-50%ของอาหารปัจจุบันต้นเหตุมะเร็ง






ส่องส่วนผสมผงปรุงรส

มีคำถามเข้ามาให้ฉลาดซื้อช่วยหาคำตอบว่า ผงปรุงรสเหมือนหรือต่างจากผงชูรส ถ้าจะให้ชัดเจนก็คงต้องมาดูที่นิยามก่อน

ผงปรุงรส หรือ ผงปรุงรสอาหาร หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู มาให้ความร้อนจนแห้ง บดเป็นผง ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ เช่น น้ำตาล เกลือ กระเทียม พริกไทย โมโนโซเดียม-แอล-กลูตาเมต (ผงชูรส) เป็นนิยามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผงปรุงรสอาหาร (มผช 494/2547) 
          
ดังนั้นผงปรุงรสอาหารจึงไม่ใช่ผงชูรส แต่จะมีผงชูรสอยู่ในส่วนผสม มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสูตรของผู้ผลิต ซึ่งปัจจุบันบางผลิตภัณฑ์ได้ปรับสูตรให้ไม่มีผงชูรส เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค
          
อย่างไรก็ตามเมื่อทดลองซื้อผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสที่มีขายทั่วไปในร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีก จำนวน 19 ผลิตภัณฑ์มาพิจารณาส่วนประกอบพบว่า บางยี่ห้อที่ระบุว่าไม่มีผงชูรส ก็มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ผู้บริโภคอาจเข้าใจผิดได้ 

ฉลากที่ระบุไม่มีผงชูรส ความจริงอาจมีสารอื่นที่เหมือนผงชูรสอยู่
          
สารชูรส (flavour enhancers) หรือ ผงชูรส  เป็นวัตถุเจือปนอาหารที่ใส่เพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร สารชูรสที่ใช้กันมานานได้แก่ ผงชูรส หรือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) ซึ่งอยู่ในกลุ่มของกรดกลูตามิกและเกลือของมัน นอกจากกรดกลูตามิกแล้ว กรดอะมิโนชนิดอื่นๆ เช่น ไกลซีนและลิวซีน รวมไปถึงเกลือของนิวคลีโอไทด์ เช่น GMP และ IMP ก็ทำหน้าที่เป็นสารชูรสได้
          
ในกฎหมายอาหาร วัตถุเจือปนอาหารต่อไปนี้ถือว่าเป็นผงชูรสหรือวัตถุปรุงแต่งรสอาหาร ซึ่งต้องระบุไว้บนฉลาก วัตถุปรุงแต่งรสอาหารที่ควรรู้จัก

            -          กรดกลูตามิกและเกลือของมัน ได้แก่ Glutamic acid, Monosodium glutamate, Monopotassium glutamate, Calcium diglutamate, Monoammonium glutamate, Magnesium diglutamate      

            -          กรด Guanylic และเกลือของมัน ได้แก่ Guanylic acid, Disodium guanylate หรือ sodium guanylate, Dipotassium guanylate, Calcium guanylate  

            -          กรด Inosinic และเกลือของมัน ได้แก่ Inosinic acid, Disodium inosinate, Dipotassium inosinate, Calcium inosinate

            -          ของผสมระหว่าง guanylate และ inosinate ได้แก่ Calcium 5'-ribonucleotides, Disodium 5'- ribonucleotides

            -          Maltol และ ethyl maltol ได้แก่ Maltol และ Ethyl maltol

            -          กรดอะมิโนและเกลือของมัน ได้แก่ Glycine และเกลือโซเดียมของมัน, Leucine

          
ซึ่งหากพิจารณาจากฉลากของผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสที่ฉลาดซื้อนำมาแสดงรายละเอียดจะพบว่า ผงปรุง
รสยี่ห้อ คนอร์ ผงรสหมู สูตรไม่ใส่ผงชูรส,  คนอร์ ซุปก้อนรสไก่(สูตรไม่ใส่ผงชูรส) และ คนอร์ ซุปก้อนรสหมู(สูตรไม่ใส่ผงชูรส)   ที่ระบุว่าไม่มีผงชูรสนั้นแท้จริงแล้ว อาจหมายถึงว่า ไม่มีโมโนโซเดียมกลูตาเมต แต่ก็มีไกลซีน ซึ่งเป็นสารชูรสผสมอยู่และทำหน้า:-P


พิษภัยในอาหาร
30-50%ของอาหารปัจจุบันต้นเหตุมะเร็ง
https://youtu.be/NtvYGGrTgM4

ไก่ย่างแก๊สวางกับพื้น


ไส้กรอก ลูกชิ้นสุดอันตรายในขณะนี้



********************************************************
 ที่ท็อปโรบินสันสุรินทร์


สะเบียงหมูหยองกรอบไม่มีสารกันบูด ไม่มีสี ไม่มีวัตถุกันเสีย


แผ่นเปาะเปี๊ยะ


ก๋วยจั๊บตากแห้ง
https://youtu.be/lmk6t90wcSc
*******************************************************************************

เห็ดหอมแห้งมีสารกันราตกค้าง การรับประทานเห็ดหอมแห้งอย่างปลอดภัย คือไม่ควรนำน้ำที่แช่เห็ดหอมไว้มาปรุงอาหารต่อ เพราะ สารพิษที่มีอยู่ในเห็ดหอมแห้งนั้นจะยังปนเปื้อนในน้ำเหมือนเดิม และควรเว้นระยะการรับประทานอาหารแห้ง เพื่อให้ร่างกายกำจัดสารปนเปื้อนเหล่านั้นออกไปบ้าง
https://chaladsue.com/article/551/อาหาร-ฉบับที่-177-สารกันราตกค้าง-ในเห็ดหอมแห้ง

อาหารที่มีการปรุงแต่ง 

















  1. ไส้กรอก ตามท้องตลาดจะมีไส้กรอกอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงส่วนผสมที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่รวมอยู่ด้วยหลายชนิด เช่น สารกันบูดที่มีไว้เพื่อยืดอายุของไส้กรอกให้นานยิ่งขึ้น, สารไนไตรท์ ที่ช่วยให้ไส้กรอกเหนียวนุ่ม หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายจนคุณเป็นโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ และเนื้องอกในสมอง แต่ความอันตรายยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะอย่าลืมว่าไส้กรอกจะไม่สามารถขึ้นรูปเป็นแท่งยาวถ้าไม่มี “ถุงหลอด” แน่นอนว่าเจ้าถุงหลอดนี้คงต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะมันผลิตมาจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ซึ่งมีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก และเมื่อคุณนำไปย่างหรือปิ้งแล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดสารพิษที่น่ากลัวที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ซึ่งก็เป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน ดูสิ…แค่ไส้กรอกเมนูเดียว คุณก็ได้รับสารก่อมะเร็งมากมายแล้ว T-T
  2. แฮมเบอร์เกอร์ คุณรู้หรือไม่ว่า แฮมเบอร์เกอร์นั้นอุดมไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในระหว่างขบวนการทำ (รอเพื่อที่จะนำเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมาปรุงแต่งรสชาติ) ทำให้เกิดการเน่าเสีย ผู้ผลิตบางรายจึงนิยมใช้สารเคมีบางชนิดเข้ามาช่วยในการกำจัดกลิ่นและสีที่จะเปลี่ยนไปของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนความอร่อยของแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตราย เพราะความอร่อยนั้นมาจาก “ผงชูรส” นั่นเอง โดยสารเคมีที่มีอยู่ในผงชูรสจะทำให้คุณวิงเวียนศีรษะ คอแห้ง เกิดอาการแพ้ และมันยังทำให้คุณอ้วนได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นบ่อเกิดของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ทางที่ดีคุณควรรับประทานมันให้น้อยลง หรือไม่รับประทานเลยก็จะยิ่งดีต่อร่างกายของคุณ
  3. เฟรนช์ฟรายส์ เมนูอุปสรรคความสวยของผู้หญิงอย่างแท้จริง ! ด้วยการทอดที่ต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้คุณอ้วนได้ไม่ยากนัก และการทอดมันฝรั่งนั้นจะต้องใช้ความร้อนสูง และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงแล้ว สารเคมีที่ชื่อว่า “อะคริลิไมด์” ก็จะปรากกฏตัวออกมา ซึ่งเจ้าสารนี้มันเป็นสารก่อมะเร็ง อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำไปมาตลอดวัน จะทำให้เกิดการ “ออกซิไดส์” และทำให้เกิดสารปนเปื้อนในมันฝรั่งทอด และส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ทำให้ร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งในที่สุด ถ้าอยากกินจริง ๆ คุณควรซื้อมันฝรั่งมาทอดเองที่บ้านด้วยน้ำมันใหม่ก็ดูจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
  4. พิซซ่า อาหารที่ประกอบไปด้วยเนยหรือชีส หากรับประทานมาก ๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้ง่าย ๆ แป้งที่นำมาใช้ทำก็เป็นแป้งขัดสีที่แทบจะไม่มีวิตามินและเกลือแร่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนขั้นตอนการอบพิซซ่าที่ต้องใช้ความร้อนสูงยังทำให้เกิดสารพิษ “อะคริลิไมด์” ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งการเพิ่มส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปบนหน้าพิซซ่าไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกหรือเบคอน รวมไปถึงไขมันต่าง ๆ ร่างกายก็ยิ่งพบกับความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคต่าง ๆ อีกมากมาย
  5. ไก่ทอด ทราบหรือไม่ว่า การรับประทานไก่ทอดแต่ละชิ้น คุณจะได้รับพลังงานจากมันมากถึง 340 แคลอรีเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้รับไขมันที่เกินขนาดจากไก่ทอดและแป้งขนมปังกรอบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และยังมีสารปนเปื้อนประเภทสารอะลูมิเนียมในไก่ทอด ที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อระบบการทำงานของสมองและระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย นอกจากนี้รสชาติที่กลมกล่อมก็อาจต้องแลกมาด้วยการปรุงรสด้วยผงชูรสที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ คราวนี้ล่ะ…โรคต่าง ๆ ก็จะถามหาคุณแล้ว และแน่นอนโรคมะเร็งคือโรคแรกที่จะมาถามหาคุณ !
  6. เบคอน / แฮม เบคอนหรือความจริงแล้วก็คือ หมูสามชั้นติดมันที่ถูกสไลด์ให้เป็นแผ่นบางนั่นเอง แน่นอนว่ามันต้องอุดมไปด้วยไขมัน ไขมัน และไขมัน ! ที่คุณอาจมีสิทธิ์อ้วนได้แบบงง ๆ และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็อาจอุดตันจนก่อให้เกิดโรคหัวใจได้โดยที่คุณไม่ตั้งใจ แถมเบคอนยังมีส่วนผสมของดินประสิว ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็น “สารไรโตรซามีน” สารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ส่วนแฮมก็ใช่ย่อย เพราะมีทั้งไขมัน สารกันบูด และสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับเบคอนและไส้กรอก
  7. กากหมู สิ่งที่คุณได้นอกจากความอร่อยมันก็คือ ไขมันล้วน ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันจะเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูงจนอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก โรคหลอดเลือดตีบตัน และนำไปสู่สาเหตุการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และหัวใจวายในที่สุด นอกจากนี้ร่างกายของคุณยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด ดูสิว่ามันน่ากลัวแค่ไหน !
  8. เนื้อวัว / เนื้อหมู / เนื้อไก่ / เนื้อปลา ความจริงแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชมาแต่ไหนแต่ไร ร่างกายจึงถูกออกแบบมาให้รองรับอาหารประเภทพืชผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ แต่ใครจะสนใจ…ก็ในเมื่อเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานอยู่นั้นอร่อยกว่าเห็น ๆ นั่นแหละคือสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ตามมามากมาย เนื้อสัตว์นั้นเป็นอาหารอันตรายที่เราอาจคาดไม่ถึง เพราะพวกมันเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมของมนุษย์และเซลล์มะเร็ง และมีสารพิษต่าง ๆ มากมายที่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย คุณรู้หรือไม่ว่าเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้มันมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายอยู่มากแค่ไหน อย่างแรกเลยก็คือ สารเร่งเนื้อแดง สาเหตุของโรคหัวใจ, ยาปฏิชีวนะประเภทคลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยาในกลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurams) ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเองจากสัตว์ขณะที่พวกมันกำลังถูกฆ่า ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน และเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ คนกลุ่มที่บริโภคเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวนั้นจะมีอายุสั้นมากจนน่าตกใจ อย่างชาวเอสกิโมที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักก็มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น !! ในทางกลับกันกลุ่มคนที่บริโภคแต่พืชผักผลไม้อย่างเดียว ล้วนมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวราว 110 ปี !! คราวนี้คุณพอจะเห็นถึงความแตกต่างของการบริโภคขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง ?
  9. เนื้อบด / หมูบด / ไก่บด / เนื้อปลาขูด ในเนื้อบดสำเร็จรูปเหล่านี้จะมีสารบอแรกซ์เป็นส่วนผสมอยู่ เมื่อร่างกายได้รับสารบอแรกซ์สะสมมากเข้า อาการผิดปกติต่าง ๆ ก็จะแสดงออกมา ที่เห็นได้ชัดก็คือ คุณจะเบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย ผิวหนัง ตับ ไต และเยื่อตามีอาการอักเสบ หนังตาบวม น้ำหนักตัวลด และมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (มิน่าล่ะ…) และอาการของคุณจะหนักมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเสี่ยงกับความสะดวกสบายแบบสำเร็จรูปจะดีกว่า แต่ให้เปลี่ยนมาซื้อแบบเป็นชิ้น ๆ และนำมาสับเองก็ดูจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยด้วย
  10. ลูกชิ้นเนื้อ / ลูกชิ้นหมู / ลูกชิ้นปลา ก็ทำนองเดียวกันกับเนื้อบดทั้งหลาย เพราะมีส่วนผสมของสารบอแรกซ์อยู่ด้วยนั่นเอง อย่างที่บอกไปถึงโทษที่รุนแรงของสารบอแรกซ์ พวกมันจะออกฤทธิ์ทำร้ายคุณอย่างช้า ๆ และเมื่อพลังทำลายของมันมีมากพอ คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย…ตัวใครตัวมันได้เลย ยิ่งถ้าได้รับเข้าไปในปริมาณมากเพียงครั้งเดียวก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที แต่ก็ใช่ว่าคุณจะรับประทานไม่ได้เลยในชาตินี้ เพราะยังมีร้านค้าอีกหลายร้านที่เห็นถึงความสำคัญของผู้บริโภค เขาจึงไม่ใส่สารบอแรกซ์ลงไป… นั่นแหละจึงการันตีว่าคุณจะรับประทานได้อย่างปลอดภัย
  11. ลาบดิบ / แหนบดิบ / ลู่ดิบ หลายคนมักเข้าใจเพียงแค่บีบน้ำมะนาวหรือเหล้าลงในเนื้อดิบ ๆ ก็จะช่วยฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิให้ตายได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด !! ดังนั้นสิ่งที่พวกเขารับประทานเข้าไปก็คืออาหารดิบที่เต็มไปด้วยพยาธิและเชื้อโรค ซึ่งเสี่ยงต่อระบบทางเดินอาหารอย่างมาก เพราะเหล่าพยาธิจะพากันไปวางไข่ในลำไส้ของคุณอย่างสบายใจเฉิบ ! และมันจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณได้นานถึง 24 ปี !! ปีนะไม่ใช่วัน อีกทั้งคุณยังได้รับโรคต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคท้องร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคแอนแทรกซ์ โรคอหิวาตกโรค โรคบิด โรคสเตรปโตคอกคัสซูอิส โรคเอ็นเทอริก โรคไทฟอยด์ โรคตับอักเสบชนิดเอ โรคหูหนวก ตาบอด และคุณจะเสียชีวิตในที่สุด หากร่างกายของคุณได้รับพยาธิทั้ง 3 ชนิดนี้เข้าไป ได้แก่ พยาธิตัวกลม (ทริคิโนซีส), พยาธิตัวตืด และพยาธิใบไม้ เพราะพวกมันจะชอนไชเข้าสู่กระแสเลือด ไชไปจนถึงสมองทำให้สมองอักเสบ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ชักกระตุก และหมดสติ ไชเข้าลำไส้เข้าไปแย่งดูดซึมอาหารจนทำให้คุณขาดสารอาหาร อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้องรุนแรง ถ่ายเหลว และซูบผอม ยิ่งถ้าพวกมันแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นจะยิ่งทำให้ลำไส้ของคุณอุดตัน และถ้าไชเข้าปอดเมื่อไหร่ ปอดก็จะอักเสบ และเสียชีวิตได้ในที่สุด
  12. อาหารทอด / ปิ้ง / ย่าง การทอด ปิ้ง หรือย่างอาหารที่ใช้ความร้อนสูงจะทำให้เกิด “สารอะคริลาไมด์” ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งช่องปาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารอันตรายที่เกิดจากการทอด ปิ้ง หรือย่างอีกหลายชนิดด้วยกัน เช่น สารไนโตรซามีน ที่มักจะแฝงตัวอยู่ในปลาหมึกย่างและปลาทะเลย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร, สารกลุ่มพัยโรลัยเซต เป็นสารที่เกิดจากการใช้ความร้อนสูง พวกมันจะอยู่ในส่วนที่เป็นสีดำที่ไหม้เกรียมของอาหาร สารตัวนี้มีอันตรายอย่างมากต่อ DNA ในร่างกาย เพราะมันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งที่น่ากลัวนั่นเอง, สารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน สารชนิดนี้จะแฝงตัวอยู่ในเขม่าควันไฟต่าง ๆ เป็นสารพิษที่มีความอันตรายมากกว่าสารพิษอื่น ๆ ที่กล่าวมา เพราะพวกมันเป็นสารเริ่มต้นของสารก่อมะเร็ง คุณอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดหากสูดดมเข้าไปนาน ๆ และถ้าควันนั้นสัมผัสโดนผิวหนังคุณบ่อย ๆ คุณอาจมีสิทธิ์เป็นมะเร็งผิวหนังได้โดยไม่รู้ตัว
  1. อาหารกึ่งสำเร็จรูป คุณอาจจะตกใจถ้ารู้ว่ามีอะไรแฝงตัวอยู่ในอาหารสำเร็จรูปที่คุณรับประทาน มาทำความรู้จักกับมันสักหน่อยดีกว่า นั่นก็คือ แบคทีเรีย ยีสต์ รา และหนอนพยาธิ ถ้าคุณชอบหมูยอ กุนเชียง ปลาป่น และปลากระป๋องแล้วล่ะก็ คุณได้พบกับพวกมันแน่ ๆ ร่างกายของคุณก็จะเกิดการเจ็บป่วยในระบบทางเดินอาหาร นอกจากเชื้อจุลินทรีย์แล้ว สารเคมีต่าง ๆ ก็มีอยู่ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่งสี รสชาติ กลิ่น และสารเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหาร ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งสิ้น เพราะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายผิดปกติ
  2. บะหมี่สำเร็จรูป แท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารต่ำมากและยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณอีกด้วย เพราะมีสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเจือปนอยู่ในนั้น สารอาหารที่ได้รับแน่ ๆ เลยคือ แป้ง ซึ่งทำให้คุณอ้วนได้ น้ำมันเจียวที่เป็นเครื่องปรุงก็อันตราย เพราะเป็นน้ำมันสัตว์ เครื่องปรุงรสก็มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบจำนวนมาก แล้วแบบนี้คุณยังจะรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารหลักอยู่อีกหรือ แต่ถ้าคุณไม่สามารถเลิกรับประทานได้ล่ะก็ ขอแนะนำให้รับประทานมันนาน ๆ ครั้ง อาจจะเป็นอาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งสองครั้ง ก็ยังปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า
  3. อาหารใส่กล่องโฟม จากผลการวิจัยพบว่า กล่องโฟมมีสารพิษชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “สารสไตรีน” ซึ่งสารพิษชนิดนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก เพราะมันทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ โดยสารนี้จะเกิดขึ้นเมื่อกล่องโฟมโดนความร้อนสูงจนทำให้มันละลาย และความร้อนที่ว่านั้นก็มาจากอาหารที่ใส่ลงไปในกล่องโฟม ยิ่งถ้าเป็นอาหารประเภททอดก็ยิ่งอันตรายไปใหญ่ แม้ในกรณีที่กล่องโฟมไม่ละลาย พวกมันก็สามารถปล่อยสารพิษสไตรีนออกมาได้เช่นกัน โดยมาจากอาหารที่มีความร้อนและถูกบรรจุในกล่องโฟมเป็นเวลานาน ๆ นั่นเอง
  4. อาหารทะเลสด ผักสด และถั่วงอกที่มีสารฟอร์มาลิน จากการวิจัยพบว่า อาหารที่ดูสดสะอาดและพืชผักที่มีสีสันสดใสนั้นมักจะมีสารพิษปนเปื้อนอยู่ นั่นก็คือ “สารฟอร์มาลิน” หรือสารที่ใช้ดองศพนั่นแหละ T-T ใครก็ตามที่รับประทานอาหารที่มีฟอร์มาลินเข้าไปสะสมในร่างกายระดับหนึ่ง จะทำให้ระบบการทำงานของตับ ไต และหัวใจผิดปกติ การทำงานของสมองแย่ลง สมองเสื่อมเร็ว และอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีอาการปวดแสบตามผิวหนัง และถ้าร่างกายได้รับสารชนิดนี้เข้าไปในปริมาณมาก และโดยตรง เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจะหยุดทำงานทันที เซลล์จะค่อย ๆ ตาย จากนั้นจะเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเสี่ยงกับสารฟอร์มาลินที่มากับพืชผักผลไม้ เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเลแล้วล่ะก็ คุณควรนำวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ไปใช้ นั่นก็คือ คุณควรสังเกตก่อนว่าสีสันของอาหารที่คุณจะซื้อนั้นมีสีสันสดใหม่อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมแห้งเหี่ยวหรือไม่ มีสีสันเข้มกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ ถ้าดูสดใหม่อยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาหารเหล่านั้นผ่านการแช่ฟอร์มาลินมาแล้วเรียบร้อย นอกจากนี้คุณควรดมกลิ่นก่อนที่จะซื้อว่ามันมีกลิ่นฉุนแสบจมูกหรือไม่ ถ้าดมแล้วไม่มีก็เป็นใช้ได้ และเพื่อความมั่นใจคุณควรนำไปล้างทำความสะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร
  5. อาหารหมักดอง อาหารประเภทนี้จะใช้เกลือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหมักดอง จึงทำให้อาหารหมักดองมีโซเดียมสูง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากรับประทานเข้าไปเป็นประจำ โซเดียมจะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายของคุณ จนทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ระบบปัสสาวะได้รับผลกระทบที่ไม่ดี แล้วคุณจะมีอาการตัวบวม และที่เป็นอันตรายที่สุดอาจเป็นโรคใหลตาย ซึ่งสาเหตุของโรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายขาดสารเคมีที่จะไปทำลายสารไทรามีนที่มีอยู่ในลำไส้และกระแสเลือด ซึ่งสารนี้จะได้รับจากอาหารหมักดอง ทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดคล้ายกับภาวะโรคหัวใจ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายขาดความสมดุล ส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ยังไม่หมดแค่นั้น เชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากการหมักดองยังทำให้คุณเป็นโรคกระเพาะอาหารและกลายเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด น่ากลัวมั้ยล่ะ !
  6. กะหล่ำปลีดิบ / ถั่วงอกดิบ จากการสำรวจพบว่า กะหล่ำปลีดิบนั้นมีสารพิษปนเปื้อนชื่อว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อต่อมไทรอยด์อย่างมาก เพราะมันจะไปยับยั้งการจับไอโอดีนของต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้เป็นโรคคอหอยพอก ส่วนถั่วงอกดิบนั้นจะมีสารพิษตามธรรมชาติที่ชื่อว่า “ไฟเตต” ซึ่งมันจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุอาหารในร่างกาย จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม และเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา เพราะฉะนั้นถ้าอยากรับประทานอย่างปลอดภัยล่ะก็ คุณควรนำมาต้มให้สุกเสียก่อน แค่นี้คุณก็สามารถรับประทานได้อย่างสบายใจแล้ว
  7. หน่อไม้ดอง / ถั่วงอก / ขิงหั่นฝอย / น้ำตาลมะพร้าว สีขาวดูสะอาดจากอาหารเหล่านี้ที่คุณเห็นมันไม่ได้สะอาดอย่างที่ตาคุณบอกหรอก แต่มันมีอันตรายมากกว่าที่คุณคิด เพราะสีขาวนั้นอาจเกิดจากการใช้สารฟอกขาว หากบริโภคสารนี้เข้าไปในร่างกายจะทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ นั่นก็คือ เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ถ่ายเป็นเลือด ปวดหลัง แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออกตามลำดับ ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว ช็อก หมดสติ ไตวาย และเสียชีวิตได้ในที่สุดหากร่างกายได้รับสารฟอกขาวในปริมาณมากกว่า 30 กรัม ทางที่ดีคุณควรงดรับประทานหรือหากเลิกไม่ได้คุณอาจเลือกหาร้านที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด โดยดูจากสีของอาหารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดนั่นเอง
  8. น้ำส้มพริกดอง ปัญหามันอยู่ที่ว่าน้ำส้มพริกดองที่เติมลงไปในอาหาร มันอาจจะเป็นน้ำส้มสายชูปลอม !! และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อวัยวะภายในของคุณอาจต้องพบกับอันตรายแล้วล่ะ โดยเฉพาะกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะสารเคมีที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูปลอมนั้นมีความเป็นกรดสูงมาก แล้วแบบนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำส้มสายชูที่รับประทานอยู่เป็นของแท้หรือของปลอม แต่คุณสามารถสังเกตได้ โดยดูจากสีของพริกดองที่อยู่ในน้ำส้มสายชูว่ามันมีสีสดหรือสีซีดเน่าเปื่อย ถ้าสดก็แสดงว่าน้ำส้มสายชูแท้ แต่ถ้าดูเน่าเปื่อยสีซีดแสดงว่าเป็นน้ำส้มสายชูปลอม และที่สำคัญไม่ว่าจะแท้หรือปลอมมันก็ควรจะถูกใส่ในภาชนะที่เป็นแก้วมากกว่าที่จะเป็นพลาสติก เพราะน้ำส้มสายชูจะกัดกร่อนพลาสติกจนทำให้สารเคมีสังเคราะห์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพลาสติกปนเปื้อนในน้ำส้มสายชูได้
  9. อาหารหวานจัดและเค็มจัด เมื่อร่างกายใช้พลังงานจากความหวานของน้ำตาลไม่หมด ร่างกายก็จะเก็บสะสมความหวานในรูปแบบของไขมัน และนี่แหละคือสาเหตุของโรคอ้วนและโรคมะเร็ง โทษของรสหวานจัดนั้นก็มีมากจนนับไม่ถ้วน มีตั้งแต่โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงโรคน่ากลัวอย่างโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคฟันผุ โรคไขมันในเลือดสูง มีอาการปวดท้อง และท้องอืด อันเนื่องมาจากการหมักหมมของน้ำตาล จนทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในทางเดินอาหารผลิตกรดและแก๊สขึ้นมา ส่วนอาหารที่มีรสเค็มจัดนั้นส่วนใหญ่จะมาจากการเติมน้ำปลาและเกลือลงไป ยิ่งผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารรสชาติเค็มจัด ก็จะส่งผลกระทบกับร่างกายอย่างมาก เพราะทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและเสี่ยงต่อโรคไต
  10. อาหารเผ็ดจัด แม้ความเผ็ดจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยให้เจริญอาหารและช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ก็จริง แต่อย่างที่บอกอะไรที่มันมากเกินความพอดีมันย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อร่างกาย เพราะการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดมากอาจทำให้ช่องปากของคุณแสบร้อนและก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร และทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและขาดสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย ระบบขับถ่ายทำงานไม่ค่อยดี อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย เนื่องจากสารบางอย่างในพริกนั้นไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบรีดตัว เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีรสชาติใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุดจะดีต่อสุขภาพมากกว่า
  11. ผงชูรส ความร้ายกาจที่คุณอาจคาดไม่ถึง ในผงชูรสนั้นจะมีส่วนประกอบที่เรียกว่า “โมโนโซเดียมกลูตาเมต” หากมันผสมอยู่ในร่างกายของคุณนาน ๆ มันจะแผลงฤทธิ์จนทำให้คุณต้องตกใจ เพราะมันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ และโรคไตวาย ยิ่งถ้าเป็นผงชูรสปลอมด้วยแล้ว ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะผงชูรสปลอมนั้นจะใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก นั่นก็คือ สารโซเดียมเมตาฟอสเฟต และสารบอแรกซ์ ซึ่งสารเหล่านี้หากเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายมาก ๆ เข้า อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ และใช่ว่าผงชูรสจะใช้เป็นเครื่องปรุงรสเฉพาะอาหารเท่านั้น แต่พวกมันยังถูกนำไปใส่ขนมขบเคี้ยวของเด็ก ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติอีกด้วย ดังนั้นการเลิกรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
  12. เนยเทียม แม้เนยเทียมจะทำมาจากไขมันพืชก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ทำให้คุณอ้วนได้ และมันก็ไม่ได้ช่วยให้ไขมันในเลือดลดลงอย่างที่เชื่อกันอีกด้วย เนื่องจากเนยเทียมนั้นมีกรดไขมันผิดปกติที่เรียกว่า “กรดไขมันทรานส์” ซึ่งเกิดจากการเติมไฮโดรเจนระหว่างขบวนการผลิตเพื่อทำให้จับกันเป็นก้อนได้ กรดไขมันทรานส์นั้นมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีต่อร่างกาย และส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้นคุณควรเปลี่ยนมารับประทานไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายประเภทอื่นแทนจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ได้จากน้ำมันมะกอก หรือไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนที่ได้จากน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น
  13. น้ำสลัดไขมันต่ำ คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า มันจะดีต่อสุขภาพของคุณจริง ๆ เพราะอย่างที่บอกไป อาหารชนิดใดก็ตามที่ปราศจากน้ำตาล พวกเขาจะใส่สารเพิ่มความหวานเข้าไปทดแทน และนั่นแหละคือปัญหาใหญ่ต่อสุขภาพของคุณ เช่นเดียวกับน้ำสลัดไขมันต่ำที่คนรักสุขภาพโปรดปรานนั้นมันไม่ได้ทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นเลย หนำซ้ำยังอาจทำให้คุณอ้วนมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย สาเหตุก็คือ ทางด้านโภชนาการนั้น ไขมันเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการดูดซึมวิตามินในร่างกาย เมื่อคุณรับประทานน้ำสลัดที่มีไขมันกับผักสลัด ไขมันจะเป็นตัวช่วยดูดซึมวิตามินที่ได้จากผักเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี และแน่นอนมันไม่ทำให้อ้วน แถมยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย ตรงข้ามกับน้ำสลัดไขมันต่ำที่ไม่มีไขมันไว้ช่วยดูดซึมวิตามิน อีกทั้งร่างกายของคุณยังได้รับน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเพิ่มมากขึ้นจากน้ำสลัดไขมันต่ำ แทนที่คุณจะสุขภาพดี แต่กลับอ้วนขึ้นแบบงง ๆ และยังมีสิทธิ์เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย แนะนำว่ากลับมารับประทานน้ำสลัดแบบธรรมดา ๆ นี่แหละดีที่สุด แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำสลัดมากเกินไป ราดแต่น้อยพอ เพราะแน่นอนว่ามันมีไขมันและมันอาจทำให้คุณอ้วนได้เช่นกัน
  14. น้ำตาลเทียม แม้จะใช้แทนความหวานของน้ำตาลได้ก็จริง แต่มันไม่ได้หมายว่ามันจะไม่ทำให้คุณอ้วนหรือปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาล แต่น้ำตาลเทียมนี้แหละตัวก่อโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเลยนะ จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า แม้น้ำตาลเทียมจะให้พลังงานน้อยก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้น้ำหนักของคุณลดลง ตรงกันข้ามมันกลับทำให้คุณน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย เนื่องจากน้ำตาลเทียมจะทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานช้าลง และทำให้คุณอ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัวไงล่ะ 

  1. น้ำตาลทรายขาว การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายขาวมากเกินไปและติดติดต่อกันเป็นเวลานาน ผิวหน้าจะมีรูขุมขนกว้าง เพราะมันเป็นบ่อเกิดของการเกิดสิว และสภาพผิวอื่น ๆ ด้วยที่จะตามมาติด ๆ คือ ตับอ่อนของคุณจะทำงานหนักจนโรคเบาหวานถามหา แถมคุณยังต้องเจอกับโรคกระดูกผุ ที่มีสาเหตุมาจากร่างกายของคุณต้องใช้แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินบีรวมจำนวนมากมาช่วยในการย่อยน้ำตาล ยิ่งถ้าน้ำตาลมีมากจนร่างกายดึงไปใช้ไม่หมด คราวนี้ล่ะคุณต้องเจอกับโรคอ้วนตามมาอีก เพราะน้ำตาลที่เหลือจะเปลี่ยนมันให้อยู่ในรูปไขมันและเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนและมีไขมันในเลือดสูงเป็นของแถม ดังนั้น น้ำตาลไม่ขัดสี จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาสุขภาพของคุณได้ ทำนองเดียวกันกับข้าวไม่ขัดสี แต่ถ้าคุณจะลดความหวานของน้ำตาลลงบ้าง และหันไปรับความหวานจากธรรมชาติ อย่างความหวานจากน้ำผึ้งหรือผลไม้ สุขภาพของคุณก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน !

  1. ข้าวขัดขาว น่าเสียดายที่ส่วนที่มีประโยชน์ของข้าวอย่างจมูกข้าวนั้นถูกกำจัดออกไปในระหว่างขบวนการขัดสีข้าว ฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในเม็ดข้าวที่คุณจะได้รับก็มีแต่แป้ง ! เมื่อประโยชน์หมดไปและสิ่งที่มีเหลืออยู่นั้นคือโทษ ร่างกายของคุณจะเสียสมดุล เพราะไม่มีสารอาหารสำคัญมาคอยปกป้องร่างกาย คุณจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ แน่นอนที่สุดถ้าคุณไม่อยากเป็นโรคดังกล่าวคุณควรจะเปลี่ยนมารับประทานข้าวไม่ขัดสีหรือข้าวกล้องแทน
  2. แป้งขัดขาว อย่างแป้งข้าวโพด แป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า หรือแป้งข้าวเหนียว ความจริงก็ไม่ต่างอะไรจากข้าวขัดขาวเท่าไร ในด้านคุณค่าทางอาหาร เพราะแป้งขัดขาวนั้นเป็นแป้งที่มีแต่คาร์โบไฮเดรต ! ไม่มีสารอาหารอื่น ๆ เหลืออยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้ทำอาหารจะทำให้ร่างกายของคุณขาดสมดุลที่ดีในการดูดซึมวิตามินมาใช้ คุณจึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากแป้งขัดขาวจะแปลงสภาพเป็นน้ำตาลกลูโคสได้เร็วมาก เมื่อร่างกายได้รับมากเกินไป ปัญหาย่อมเกิดขึ้นมาแน่ ๆ นอกจากโรคเบาหวานที่คุณจะได้รับแล้ว คุณยังมีโรคอีกโรคหนึ่งที่รออยู่ นั่นก็คือ โรคมะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตับอ่อนทำงานมากเกินไป อีกทั้งการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมนี้เข้าไปนาน ๆ สมองของคุณจะมีอาการมึนงง จนคุณกลายเป็นคนสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย ถ้าในเด็กก็จะซุกซนผิดปกติ และมีอาการง่วงเหงาซึมเซาตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากร่างกายขาดวิตามินบีนั่นเอง
  3. มันฝรั่งแผ่นทอด / ขนมปังบิสกิต ทั้งสองอย่างนี้พวกมันมีสารพิษที่เรียกว่า “สารอะคริลิไมด์” ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและยังเข้าไปทำลายระบบประสาทอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีไขมันอิ่มตัวและเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง อย่างโซเดียมจะเข้าไปขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบรับประทานมันฝรั่งแผ่นทอดและขนมปังบิสกิตก็มักจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ กลายเป็นคนที่มีจุดด่างดำที่ผิวมากมาย
  4. ป๊อปคอร์น (ข้าวโพดคั่ว) ความจริงก็คือป๊อปคอร์นไม่ได้ให้คุณค่าทางด้านอาหารใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แถมยังให้โทษกับร่างกายอีกด้วย เพราะเกลือที่เป็นส่วนผสมจะทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง ผงชูรสที่ผสมจะทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แถมยังมีแป้งและเนยที่จะทำให้คุณอ้วนได้โดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณอ้วนแล้ว โรคเบาหวาน และโรคหัวใจขาดเลือดก็จะตามมาติด ๆ จนทำให้คุณกลายเป็นอัมพาต และที่ร้ายกว่านั้นก็ คือโรคมะเร็งที่จะมาเยือนคุณอีกด้วย
  5. ข้าวเกรียบกุ้ง / ข้าวเกรียบปลา / ข้าวเกรียบปลาหมึก ใช่ว่าข้าวเกรียบชนิดต่าง ๆ จะมีแต่แป้งเท่านั้น แต่มันยังมี ไขมัน โปรตีน น้ำตาล ผงชูรส เกลือโซเดียม และสารตะกั่ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในข้าวเกรียบก็คือ “เกลือโซเดียม” ซึ่งหากเกลือโซเดียมตกค้างอยู่ในร่างกายมากจนเกินไป จะทำให้สมองคุณได้รับอันตราย เพราะมันจะทำให้เส้นเลือดสมองโป่งพองได้ อีกทั้งโรคหัวใจ โรคฟันผุ และอีกสารพัดก็จะตามมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว อีกทั้งมันยังทำให้ไตของคุณมีปัญหา ส่งผลให้ไตชำรุดเสียหาย ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคุณควรงดรับประทานข้าวเกรียบหรือรับประทานให้น้อยลงจะดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาเรื่องไตหรือคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ควรรับประทาน
  6. ขนมขบเคี้ยว ส่วนใหญ่แล้วขนมประเภทนี้จะให้พลังงานและไขมันจำนวนมาก อีกทั้งส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพก็มีอยู่มากด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแป้ง เกลือ ผงชูรส น้ำมัน น้ำตาล และเนย เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารใด ๆ ร่างกายก็จะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบรับประทานขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ เมื่อรับประทานเข้าไปมาก ๆ พวกเขาก็จะเบื่ออาหารจนกลายเป็นเด็กขาดสารอาหาร บางรายกลายเป็นเด็กอ้วน เป็นโรคฟันผุ เพราะได้รับแป้งและน้ำตาลมากจนเกินไป และยังมีเกลือที่จะเข้าไปทำอันตรายต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย และหากรับประทานขนมขบเคี้ยวมากกว่าวันละ 2-3 ถุง ระบบการทำงานของตับและไตจะผิดปกติ และเกิดโรคมะเร็งในตับและไตได้
  7. คุกกี้ ในคุกกี้นั้นจะมีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาลอยู่สูงมาก นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ อีก เช่น ช็อกโกแลต และผลไม้แห้งต่าง ๆ แต่นั่นมันแค่ส่วนน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณไขมัน แป้ง และน้ำตาลที่อยู่ในคุกกี้ ดังนั้นการรับประทานคุกกี้เป็นขนมยามว่างจึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะคุกกี้จะเพิ่มความอยากน้ำตาลของคุณให้เพิ่มสูงขึ้น !! ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการทำงานของตับอ่อน ทำให้คุณกลายเป็นโรคอ้วน และปริมาณน้ำตาลที่สูงยังทำให้ใบหน้าของคุณมีริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น และยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจอีกด้วย
  8. ธัญพืชชนิดแท่ง เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า ทำไมธัญพืชชนิดแท่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าจะสามารถทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนได้ ? เพราะนอกจากมันจะทำมาจากข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี และสารพัดธัญพืชที่ไม่ขัดสีแล้ว ส่วนผสมอื่น ๆ ของมันก็ยังมีน้ำตาล น้ำผึ้ง หรือฟรุกโทส นี่ไงล่ะคือสาเหตุของความอ้วน เพราะความหวานจากแท่งธัญพืชเป็นสาเหตุของความอ้วน แทนที่คุณจะสุขภาพดีขึ้น มันกลับทำให้น้ำตาลในเลือดคุณสูงขึ้นอีกด้วย
  9. เค้ก ความอร่อยที่มาพร้อมกับปัญหา แน่นอนว่าใครก็รู้ว่าเค้กทำให้อ้วนได้ เพราะเค้กมีส่วนผสมของเนยสด แป้ง น้ำตาล ไข่ ครีมชีส ผงฟู เกลือ นมผง นม สารแต่งกลิ่น และรสชาติตามต้องการ ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดนี้ล้วนมีโทษต่อร่างกายทั้งนั้น หากคุณรับประทานเค้กมากจนเกินไป นอกจากจะอ้วนสมใจแล้วคุณจะได้รับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็งเป็นของแถมอีกด้วย
  10. โดนัท อีกเมนูความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดนัทหนึ่งชิ้นจะให้พลังงาน 300 แคลอรี และมีแป้งซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนผสมอยู่ถึง 50% นอกจากนี้ยังมีเกลือโซเดียมในปริมาณมาก ที่เป็นตัวดูดน้ำในร่างกายของคุณ ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ อีกทั้งการทอดโดนัทในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงก็ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งจะเข้าไปทำลายระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้คุณเป็นโรคอ้วน แก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น และเป็นโรคมะเร็งตบท้ายอีกหนึ่งดอก
  11. ขนมหวานไทย รู้หรือไม่ว่า ส่วนประกอบของขนมไทยเรานั้นจะมีแป้งกับน้ำตาลเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นตัวการของโรคอ้วน หากรับประทานทีละมาก ๆ อินซูลินที่ตับอ่อนจะเปลี่ยนกลูโคสส่วนเกินไปเป็นไขมัน และสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในที่สุดความอ้วนก็จะถามหา โรคเบาหวานก็จะตามมา ดังนั้นหากจะรับประทานขนมไทยอันได้แก่ ทับทิมกรอบรวมมิตร ลอดช่อง และบัวลอยเผือก คุณควรรับประทานเพียงถ้วยเดียวพอ
  12. ขนมพาย ขนมชนิดนี้จะมีส่วนผสมที่มีแต่แป้งและเนยเป็นส่วนใหญ่ เป็นตัวการทำให้คุณเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคหัวใจเช่นเดียวกับคุกกี้ คุณสามารถรับประทานขนมพายได้ แต่อย่าบ่อยและมากเกินไปก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว
  13. ไอศกรีม เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธได้ว่า ไอศกรีมไม่มีโทษต่อร่างกาย เพราะมันมีมากโขเลยทีเดียวล่ะ ถ้าคุณได้รู้ว่าไอศกรีมมีส่วนผสมของอะไรบ้าง คุณก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมันถึงถูกจัดให้อยู่ใน 50 เมนูเสี่ยงนี้ เพราะไอศกรีมนั้นมีส่วนผสมของไขมันที่ได้จากสัตว์หรือไขมันที่ได้จากพืช อีกทั้งยังมีส่วนผสมของนมขาดมันเนย ซึ่งได้แก่ แลคโตส โปรตีน และเกลือแร่ต่าง ๆ ที่เป็นตัวเพิ่มเนื้อให้กับไอศกรีมที่คุณรับประทาน ส่วนความหวานนั้นก็ได้มาจากการเติมน้ำตาลทรายลงไป รวมไปถึงสารที่ช่วยเพิ่มความหวานอีกหลายชนิด ว้าวว ! นั่นน่ะมันส่วนผสมอันตรายต่อสุขภาพทั้งนั้น และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพื่อให้ไอศกรีมคงตัว ผู้ผลิตจะต้องเติมสารที่ทำให้เกิดความคงตัวเข้าไป และเติมสารอีมัลซิไฟเออร์เพื่อทำให้ไอศกรีมละลายช้า ท้ายสุดก็เติมสีและกลิ่นลงไป… โดยโทษจากไขมันและน้ำตาลนั้นมันจะส่งผลให้คุณแก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดอุดตัน เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ที่น่าห่วงก็คือ มีผู้ผลิตจำนวนไม่น้อยที่ใส่สารเคมีอื่น ๆ ลงไปด้วย ซึ่งสารเหล่านั้นผู้ผลิตจะนำมาใช้แทนส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีราคาแพง เหล่านี้จึงก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ กับผู้บริโภคอีกมากมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง และโรคตับเรื้อรัง เป็นต้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คุณควรจะรับประทานไอศกรีมให้น้อยลงหรือหันไปรับประทานขนมเย็น ๆ แทนบ้าง
  14. โยเกิร์ตผสมผลไม้ เป็นที่ทราบดีว่า โยเกิร์ตนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่ประโยชน์ทั้งหมดที่คุณจะได้รับจากโยเกิร์ตนั้นต้องเป็น “โยเกิร์ตรสธรรมชาติ” เท่านั้น ถ้าเป็นรสอื่น หรือโยเกิร์ตผลไม้ คุณจะได้รับโทษกับร่างกายแทนการได้รับประโยชน์ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผลไม้เชื่อม และสิ่งที่คุณจะได้รับก็คือความหวานจากน้ำเชื่อม ซึ่งเป็นความหวานที่มากเกินไป แทนที่คุณจะผอมเพรียวแต่กลับกลายเป็นโรคอ้วนซะงั้น แถมสุขภาพยังย่ำแย่อีกด้วย
  15. ช็อกโกแลต เป็นที่ทราบดีว่า ช็อกโกแลตนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้มานั้นต้องมาจากการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ! คุณคงยังไม่รู้โทษของช็อกโกแลตนั้นเป็นอย่างไร เพราะนอกจากมันจะมีสารเคมีที่มีประโยชน์แล้ว พวกมันยังมีสารที่เป็นพิษต่อร่างกายอีกด้วย ซึ่งก็คือ สารเฟนิลไธลานิน สารธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน โดยสารพิษเหล่านี้จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง รวมทั้งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นด้วย อีกทั้งพลังงานที่ได้มาจากไขมัน และคาร์โบไฮเดรตที่มีอยู่มากในช็อกโกแลต ก็อาจทำให้คุณต้องเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดีก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป
  16. ชา ความจริงแล้วชาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าคุณดื่มมันอย่างถูกวิธีมันก็ให้คุณกับคุณ แต่ถ้าคุณดื่มมันแบบผิด ๆ มันก็จะให้โทษกับคุณได้ ดังนั้นประเด็นมันจึงอยู่ที่วิธีการดื่ม อย่างชาจีนนั้นจะมี “กรดแทนนิค” มากกว่าชาเขียว ซึ่งกรดชนิดนี้ถ้าร่างกายได้รับมากจนเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของระบบลำไส้และกระเพาะ ทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก มีผลทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบดื่มน้ำชา และการดื่มชาผิดเวลายังส่งผลต่อร่างกายอีก นั่นก็คือ หากดื่มระหว่างการรับประทานอาหารจะส่งผลให้กระเพาะดูดซึมสารได้น้อยลง หากดื่มน้ำชาที่มีความเข้มข้นสูงและมากจนเกินไปจะทำให้คุณท้องผูกและเป็นริดสีดวง อีกทั้งการดื่มชาในขณะท้องว่างก็ยังส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารผิดปกติจนโรคกระเพาะถามหาคุณ ทางที่ดีคุณควรดื่มน้ำชาหลังรับประทานอาหารแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ การดื่มชายังมีข้อห้ามอีกหลายอย่าง เช่น อย่าดื่มชาก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ, อย่าดื่มชาขณะรับประทานยา เพราะสารในชาจะทำให้คุณสมบัติของยาเสียไป หรืออาจก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย, อย่าดื่มชาที่ชงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง เพราะสารต่าง ๆ ในชาจะมีปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารพิษ, อย่าดื่มชาขวดแช่เย็น, คนเป็นโรคไต โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะและลำไส้ ไม่ควรดื่มชา เป็นต้น
  17. กาแฟ ถ้าจะพูดถึงประโยชน์ของกาแฟก็คงจะมีเนื้อที่ไม่พอ เพราะมันมีประโยชน์มากมายอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ แต่คุณสมบัติที่ดีของกาแฟจะให้ผลดีกับสุขภาพก็ต่อเมื่อคุณดื่มมันอย่างเหมาะสมเท่านั้น ! ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ควรจะเกิน 3 แก้วต่อวัน หากคุณดื่มมันจนเกินความพอดี คุณจะเกิดอาการใจสั่นเพราะร่างกายได้รับกาเฟอีนมากเกินไป อีกทั้งกาเฟอีนยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้คุณเป็นโรคนอนไม่หลับ อีกทั้งยังก่อให้เกิดอาการหงุดหงิด วิตกกังวล และเกิดอาการทางประสาท ในผู้หญิงอาจทำให้มีบุตรยากขึ้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนสูงหลังหมดวัยมีประจำเดือนมาก ที่สำคัญคือ การดื่มกาแฟมากเกินไปยังมีผลทำให้แก่ก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็ว
 *******************************************************************************
ผอ.ร.พ. นราธิวาสฯ ยอมรับผิด หนอนในปลาเค็ม !!



 ******************************************************************************   ตีแผ่ความลับโภชนาการ ปรับปรุงล่าสุด 1 พ.ย.2552

ทำไมฉันจึงใช้คำว่า "ตีแผ่ความลับโภชนาการ"ก็เพราะว่า ผลงานวิจัยหลายต่อหลายชิ้น ถูกเก็บไว้เป็นความลับ มันเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แต่มันขัดผลประโยชน์คนบางกลุ่ม ไงล่ะ หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The China Study พิมพ์เมื่อปี 2005 


The Cancer Atlas แผนที่มะเร็ง 
ต้นทศวรรต 1970 ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี โจเอนไหล ตายด้วยโรคมะเร็ง!! ในช่วงระยะท้ายของชีวิต ท่านนายกโจ ได้มีดำริให้ทำการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ที่ไม่มีเข้าใจโรคนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจลืมได้ ด้วยการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 12 ชนิด จากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2,400 กลุ่ม (ปกติกลุ่มหนึ่งประมาณ 100 คน) และจากประชากร 880 ล้านคน (96%) 

ผลงานวิจัยที่ออกมามีข้อมูลน่าสนใจหลายแง่มุม คนทำงานโครงการนี้ 650,000 คน เป็นงานวิจัยสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา  มีการทำรหัสสีลงบนแผนที่ ระบุว่าพื้นที่ใดมีอัตราการเป็นมะเร็งสูงโดยแยกชนิดไว้ ทำให้เห็นว่า มีพื้นที่ใดบ้างที่ไม่มีการตายจากมะเร็ง  ในประเทศจีน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน 87% คือชาวฮั่น แต่กลับพบว่า ในแต่ละพื้นที่มีอัตราการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ แตกต่างกัน เพราะอะไรจึงมีความแตกต่างกันได้ขนาดนั้นทั้งๆ ที่มีพันธุกรรมคล้ายคลึงกัน สมมติฐาน: อาจเป็นเพราะมะเร็งเกิดจาก สิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยในการใช้ชีวิต ซึ่งอาจไม่ใช่จากกรรมพันธุ์ก็ได้? งานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ในอเมริกา เสนอผลงานเกี่ยวกับการกินอาหารกับโรคมะเร็ง ต่อสภาคองเกรสในปี 1981 ว่า กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยต่อความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เพียง 2-3% เท่านั้น 

 ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณเคยรู้มาตลอดมันผิด... เพราะ

- สารเคมีสังเคราะห์ในสิ่งแวดล้อมและในอาหารที่คิดว่าเป็นปัญหาหลักนั้น มันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
- ยีนส์ที่ได้รับมาจากพ่อแม่ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่าคุณจะตายเพราะโรคที่บรรพบุรษเคยเป็น
- ความหวังว่างานวิจัยระดับยีนส์ จะนำมาซึ่งการรักษาโรคด้วยยา ตอนนี้เลือนลาง เพราะยังไร้หนทาง
- การหมกมุ่นควบคุมสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต คอเรสเตอรอล หรือไขมันโอเมก้า3 ไม่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
- วิตามินและอาหารเสริม ไม่สามารถป้องกันโรคได้ในระยะยาว
- ยา และการผ่าตัด ไม่สามารถรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุการตายของชาวอเมริกันได้
- นายแพทย์ของคุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณควรจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะมีสุขภาพดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้

ผมขอเสนอว่า ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า การปรับโภชนาการให้ดี ผลการศึกษากว่า 40 ปี ที่ผมได้ทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Biomedical) รวมถึงการค้นพบจากการทำงานในห้องแลปกว่า 27 ปี พิสูจน์แล้วว่า " การกินอย่างถูกต้อง จะช่วยชีวิตได้ "

ข้อมูลที่พบถูกตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า:- 
- การปรับเปลี่ยนอาหารจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวาน งดการใช้ยาได้
- โรคหัวใจ จะแปรสภาพให้กลับคืนดีมาได้ ด้วยการควมคุมอาหาร เท่านั้น
- มะเร็งเต้านมเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนเพศหญิงในเลือด ซึ่งบ่งชี้ได้จากอาหารที่เรากินเข้าไป
- การกินผลิตภัณฑ์จากนม จะเพิ่มความเสี่ยงกับมะเร็งระยะท้าย
- แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่พบในผลไม้และผัก มีส่วนเชื่อมโยงกับความสามารถทางสติปัญญา (Mental Performance) สำหรับผู้สูงอายุ
- นิ่วในไต ป้องกันได้ด้วยการกินอาหารสุขภาพ
- โรคเบาหวานชนิด 1 เป็นโรคที่ก่อความเสียหายมากที่สุด ที่เกิดกับเด็กเล็ก เชื่อมโยงกับการป้อนนมตั้งแต่ยังเป็นทารก (เด็กทารกที่กินนมวัว โปรตีน Cacein ในนมวัวทำให้เกิดเบาหวานชนิด 1 ยิ่งกินนมวัวอายุน้อยเท่าไรก็มีโอกาสเกิดสูงมากที่สุด เขาแนะนำให้เด็กกินนมแม่ไปจนถึงเกือบ 2 ขวบเลย ถ้าแม่มีนม ไม่งั้นก็กินนมถั่วเหลือง)

การค้นพบข้างต้นแสดงให้เห็นว่า โภชนาการที่ดีเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดสำหรับต่อสู้กับโรคและความเจ็บป่วย ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สุขภาพคุณดีขึ้น แต่มีนัยสำคัญต่อคนในสังคมทั้งหมด เราต้องรู้ว่าทำไมข้อมูลที่ออกมาสู่สาธารณชนจึงบิดเบือน และทำไมจึงมีความผิดพลาดในการสืบหาหรือตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับโรคและโภชนาการ การประชาสัมพันธ์เรื่องสุขภาพและการรักษาโรคนั้นทำกันอย่างไร

ผมเริ่มประสานงานเพื่อช่วยเหลือทางด้านเทคนิคให้กับโครงการของฟิลิปปินส์เกี่ยวกับเด็กขาดสารอาหารทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งของโครงการเป็นเรื่องการตรวจสอบหาสาเหตุของโรคมะเร็งตับที่สูงมากในพื้นที่หนึ่ง ซึ่งปกติเป็นโรคที่เกิดกับผู้ใหญ่ แต่เด็กฟิลิปปินส์เป็นโรคนี้ คิดว่า เนื่องจากมีการบริโภคอาหารที่มี อะฟลาท็อกซิน มาก เชื้อรามีพิษที่พบในถั่วลิสง และข้าวโพด มันน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา "อะฟลาท็อกซิน มันได้ชื่อว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูงมากเท่าที่เคยมีมา"

อย่างไรก็ตาม ในโครงการนี้ ผมได้เปิดเผยความลับด้านมืด "เด็กที่บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูงที่สุด เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็งตับ! ซึ่งก็เป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวคนมั่งมี 

นักวิจัยอินเดียศึกษากลุ่มหนูทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเขาทำให้เกิดอะฟลาท็อกซิน แล้วให้กินอาหารที่มีโปรตีน 20% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปริมาณโปรตีนที่ชาวตะวันตกบริโภคกันเป็นปกติ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้มีอะฟลาท็อกซินในปริมาณที่เท่ากันกับกลุ่มแรก แล้วให้อาหารที่มีโปรตีน 5% ไม่น่าเชื่อ หนูที่กินโปรตีน 20% เป็นมะเร็งตับทั้งหมดทุกตัว ส่วนหนูที่กินโปรตีน 5%ไม่มีตัวใดเลยที่เป็นมะเร็งตับ มันเป็นคะแนนสัดส่วน 100 ต่อ 0 ไม่มีข้อสงสัยอีกแล้วว่า เพื่อการควบคุมโรคมะเร็ง โภชนาการสามารถเอาชนะสารเคมีก่อมะเร็ง แม้ว่าจะมีสารก่อมะเร็งระดับสูงก็ตามที 

ข้อมูลนี้ ตอบโจทย์ทุกอย่างที่ผมคิด มันไม่ค่อยถูกนักที่จะพูดว่า "โปรตีนนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ" แต่ควรจะพูดว่า "โปรตีนกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง" มันเป็นการค้นพบที่แจ่มแจ้งสำหรับการทำงานของผม การสืบค้นนี้ใช้เวลาไม่นานนัก และมันไม่เป็นเรื่องที่ฉลาดสักเท่าใด เพราะการที่จะมีปัญหากับโปรตีนและอาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นพวกนอกคอก แม้ว่าผลการวิจัยจะผ่านการทดสอบว่าเป็น "วิทยาศาสตร์ชั้นเลิศ" 

ผมตัดสินใจทำโปรแกรมการทดลองในห้องแลปเพื่อจะค้นหาบทบาทหน้าที่ของสารอาหารว่ามันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโปรตีน 

เราถึงกับช็อคกับสิ่งที่ค้นพบ อาหารโปรตีนต่ำลดมะเร็งที่เกิดจากอะฟลาท็อกซิน โดยไม่สนว่าจะมีปริมาณของสารก่อมะเร็งสูงหรือต่ำอย่างไรในสัตว์ทดลอง หลังจากการเกิดมะเร็งเรียบร้อยแล้ว อาหารโปรตีนต่ำก็ทำให้สกัดกั้นการเติบโตของมะเร็ง พูดอีกอย่างหนึ่ง ผลกระทบการเกิดมะเร็งจากสารเคมีก่อมะเร็งนั้น ไม่มีนัยสำคัญหากบริโภคอาหารโปรตีนต่ำ ในความเป็นจริง มีการพิสูจน์แล้วว่า โปรตีนสามารถกระตุ้น หรือสกัดกั้นการเติบโตของมะเร็งได้ ด้วยการเปลี่ยนปริมาณการบริโภคโปรตีน 

 เราพบว่าไม่ใช่โปรตีนทุกชนิดที่ส่งผลให้เกิดมะเร็ง แล้วโปรตีนชนิดไหนกันล่ะที่ส่งผลอย่างร้ายกาจ เคซีน (Casein) ที่เป็นส่วนประกอบ 87% ของโปรตีนจากนมวัว เป็นตัวกระตุ้นทุกกระบวนการของมะเร็งทุกขั้น แล้วโปรตีนชนิดไหนล่ะที่ไม่ส่งผลร้ายนี้แม้ว่าจะกินในระดับสูงก็ตาม โปรตีนที่ปลอดภัยเป็นโปรตีนจากพืช รวมถึงข้าวสาลีและถั่วเหลือง พอเห็นภาพนี้แล้ว มันก็ท้าทายและสั่นคลอนสมมติฐานหลายข้อที่กำลังยึดถือกันอยู่
(ดูมันดิ ฉัน(ผู้แปล)เป็นคนหนึ่งที่เกิดมาแล้ว กินนมผง ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ดื่มโอวัลตินที่ใส่นมข้น ทุกวันเมื่อกลับจากเรียนอนุบาลและชั้นประถม อยู่มหาวิทยาลัยดื่มนมทุกวัน ไปออสเตรเลีย 8 เดือนยิ่งดื่มนมวัวทุกวัน 3 เวลา ทำให้เกิดผื่นคันผิวหนังเมื่อโดนแดดจนถึงทุกวันนี้ด้วย ไม่น่าแปลกใจว่าวันหนึ่ง จะพบตัวเองเป็นมะเร็ง)

 ผมได้ทำงานวิจัยในเชิงลึกต่อไปเกี่ยวกับอาหาร วิถีชีวิต และโรคร้าย พบว่า คนที่บริโภคอาหารจากเนื้อสัตว์เกิดโรคเรื้อรังยาวนานที่สุด ส่วนที่บริโภคสัตว์ต่ำก็เกิดโรคน้อยตามไปด้วย คนที่บริโภคอาหารจากพืชจะมีสุขภาพดีที่สุดและมีแนวโน้มเจ็บป่วยต่ำที่สุดด้วย ผลการวิจัยนี้ไม่ควรถูกละเลย เพราะไม่ว่าจะทดลองในสัตว์ หรือรวมข้อมูลจากคน ผลที่ออกมาก็คงที่ จึงมีนัยสำคัญที่ว่า สารอาหารระหว่างการกินสัตว์ หรือกินพืชให้ผลที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

การบำบัดโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน ด้วยอาหารสุขภาพ ผลวิจัยอื่นๆ แสดงว่า มะเร็งชนิดต่างๆ โรคภูมิเพี้ยน สุขภาพกระดูก สุขภาพไต การมองเห็น และความบกพร่องทางสมองในผู้สูงอายุ (เช่น อัลไซเมอร์) นั้นเปลี่ยนสภาพได้ด้วยโภชนาการ ที่สำคัญอย่างยิ่ง โรคเหล่านี้ใช้โภชนาการประเภทเดียวกันจัดการ ได้แก่ ธัญพืชเต็มรูป (ไม่ขัดขาว) อาหารจากพืช จะทำให้กลับมามีสุขภาพที่ดี ซึ่งก็ตรงกันกับผลจากห้องแลปและจากการวิจัยในจีน ผลการวิจัยเหล่านี้พูดตรงกัน 

ผมมีเพื่อนที่เป็นโรคหัวใจที่แพทย์ไม่รับรักษาแล้ว เพราะประเมินว่าถึงจุดที่หมดหนทางรักษา ผมได้พูดคุยกับหญิงหลายคนที่หวาดกลัวโรคมะเร็งเต้านมกลัวจะเกิดกับตนเอง หรือลูกสาว เพราะยังต้องการมีเต้านม หากวิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยงคือการผ่าตัดเต้านมทิ้ง คนมากมายที่ผมได้พบถูกลากเข้าสู่เส้นทางของการเจ็บป่วย พวกเขาท้อแท้ใจ สิ้นหวัง และสับสนเกี่ยวกับสุขภาพ และไม่รู้หนทางจะทำอย่างไรที่จะป้องกัน 

การกระจายข้อมูล เผยแพร่ข่าวสารนั้นทำกันอย่างไร การสื่อสารนี้อยู่ในกำมือของใคร เพราะผมเองก็อยู่เบื้องหลังของการเผยแพร่ข่าวสารมาเป็นระยะเวลายาวนาน ผมได้เห็นว่าในความเป็นจริงมันเกิดอะไรขึ้น และผมพร้อมแล้วที่จะประกาศต่อโลกว่า อะไรบ้างที่ไม่ถูกต้องในระบบที่เป็นอยู่นี้บ้าง เริ่มแยกไม่ออกระหว่างการเมือง อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และการแพทย์ แยกไม่ออกระหว่างการเสริมสร้างสุขภาพกับการทำกำไร ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดแบบการคอรัปชั่นอย่างโฉ่งฉ่าง (Hollywood style corruption) ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มันซับซ้อนกว่ามาก และแน่นอนมันอันตรายยิ่งกว่า ผลของมันคือการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างใหญ่หลวง ทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องจ่ายสองต่อ ต้องจ่ายภาษีสำหรับงานวิจัย แล้วยังต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาตัวกับโรคที่ร้ายแรง ที่แท้จริงแล้วป้องกันได้

 หาอ่านกันนะคะ จะแปลทั้งเล่มก็ไม่รู้จะไหวไหมข้างบนนี้ แปลประโยคต่อประโยค ยังไม่ได้เรียบเรียงเลยค่ะ ขอบคุณ The China Study ที่ตีแผ่ความลับโภชนาการ ที่จะพลิกความเป็นไปของสุขภาวะและชีวิตของเราได้ 
http://www.bloggang.com/viewfb.php?id=minieii&month=31-10-2009&group=3&gblog=36

*******************************************************************************

ภัยจากร้านอาหารริมถนน เราต้องสังเกต มีอันตรายมีความเสี่ยง มีโอกาสปนเเปื้อนเชื้อโรคไหม ถ้าไม่อยากเสียเวลานอนโรงพยาบาลกับโรคอาหารเป็นพิษที่ทั้งอาเจียน
ปวดท้อง ถ่ายท้องไม่หยุด

1สังเกตไหม ขายทั้งวัน มีน้ำล้างอยู่ถังเดียว หรือมีน้ำล้าง2กะละมังล้างได้ทั้งวัน
2.สังเกตไหม คนเสริฟชอบล้วงแคะแกะเกา ยืนว่างๆไม่เสริฟก็แกะสิว แคะขี้หมูก แกะโน่นเกานี่ เวลาเสริฟนิ้วที่แคะแกะเกานั่นแหละจุ่มลงมาในจานชามขณะยกอาหารเสริฟ
3.สังเกตไหม คนทำอาหารไม่ใส่เสื้อ
4.สังเกตไหม ใช้เขียงเดียวหั่นทั้งเนื้อดิบ และอาหารสุก
5.สังเกตไหมใช้มีดอันเดียวหั่นทุกอย่าง
6.สังเกตไหมใช้ผ้าขี้ริ้วผืนเดียว เช็ดโต๊ะ เช็ดเขียง เช็ดมีด เช็ดมือ เช็ดเหงื่อ ไม่เคยซักล้าง ถ้าเปียกก็แค่บิดน้ำทิ้ง

*********************************************************************************
ซุปก้อนภัยที่ซ่อนอยู่






https://youtu.be/k5vlvXk_PU4

****************************************************************************







*******************************************************************************

****************************************************************************** 

สีในอาหาร


ที่ว่าอันตรายมากนั้น มีอยู่สองอย่างคือ ประการแรก สีย้อมผ้าส่วนใหญ่มีต้นตอที่ทำให้เกิดมะเร็งได้มากทีเดียว ดังนั้นถ้ารับประทานอาหารใส่สีย้อมผ้าเป็นประจำ ก็อาจมีโอกาสเป็นมะเร็งได้มาก สำหรับประการที่สองคือ สีย้อมผ้า ย้อมกระดาษนั้น จะมีพวกตะกั่วปรอด หรือสารหนูปนอยู่มาก ดังนั้นถ้าผสมลงในอาหารมากๆ และรับประทานอาหารนั้นมากๆ ก็อาจเป็นพิษจากโลหะเหล่านี้ได้ เคยมีคนป่วยและเกือบเสียชีวิตเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรามาธิบดีอยู่บ่อย ด้วยอาการหายใจไม่ออก น้ำลายฟูมปาก ปรากฏว่าไปรับประทานขนมเปียกปูนสีดำที่ใช้สีย้อมผ้าใส่เข้าไป ซึ่งเป็นสีที่มีสารหนูปนอยู่มาก
นอกจากโลหะเหล่านี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แล้ว ยังอาจทำให้เกิดพิษเรื้อรังได้อีกด้วย เช่น สารตะกั่ว ถ้ารับประทานสีที่มีตะกั่วอยู่นานๆ อาจทำให้เกิดเป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลียไม่มีแรง กล้ามเนื้อหมดกำลังอาจถึงพิการได้ ทางด้านสมองก็ถูกกระทบกระเทือนไปด้วย ในกรณีของสารตะกั่วนี้ได้เกิดเป็นปัญหามามากแล้วทั้งในต่างประเทศและในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเด็กที่ซุกชนเที่ยวแกะสีทาบ้านมากินเล่นจนถึงตายก็มี ดังนั้นถ้าสีที่เอามาใส่ในอาหารเป็นสีที่มีสารตะกั่วอยู่มาก จะเป็นอันตรายมากทีเดียว
ข้อสังเกตที่อาจช่วยได้บ้าง คือ ลักษณะสี ถ้าเป็นสีผสมอาหารมักจะเป็นสีอ่อน นุ่นนวล เหมือนธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสีพวกย้อมผ้า ย้อมแพรแล้ว สีมักจะสดสวย เข้มมาก บางครั้งมีลักษณะเหมือนๆ คล้ายสีสะท้อนแสง

ปลาเค็ม

 ทั้งปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม ปลาน้ำจืดที่นิยมนำมาทำปลาเค็ม เช่น ปลาสลิด ปลาช่อน ส่วนปลาน้ำเค็มนั้นมีหลายชนิด เช่น ปลาอินทรี ปลาทู ประโยชน์ของปลาเค็มที่สำคัญ คือ การถนอมปลาไม่ให้เน่าเสียเก็บไว้กินได้นาน แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จะถือเป็นอาหารหลักที่ให้โปรตีนมากไม่ค่อยได้ เพราะมีความเค็มมาก ไม่สามารถจะกินได้จำนวนมากพอกับความต้องการของร่างกาย แต่มักจะกินเพื่อความอร่อยเสียมากกว่า
นอกจากนี้ยังอาจจะก่อผลเสียสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูง หรือผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันเลือดสูง เพราะว่าปลาเค็มมีปริมาณเกลือโซเดียมเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูงควรหลีกเลี่ยงการกินปลาเค็ม ปัญหาเรื่องปลาเค็มในประเทศไทยนั้นมีแปลกๆ และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้บริโภคได้ ปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. สารฆ่าแมลง
2. สารฟอร์มาลิน
3. สีที่ใส่ในปลาเค็ม
สำหรับปัญหาเหล่านั้นมีสาเหตุอยู่ 2 ประการ
ประการแรก อาจมาจากสารฆ่าแมลงที่ใช้ในการเกษตรแล้วปนเปื้อนเข้าไปในดินในน้ำแล้วเข้าไปสะสมในตัวปลา แต่เท่าที่มีการศึกษากันมานั้น ปริมาณที่ปนเปื้อนอย่างนี้มีไม่มากนัก ปริมาณสารพิษที่ตกค้างในปลานั้นก็ยังมีปริมาณต่ำ เมื่อนำปลามาทำปลาเค็มก็อาจจะยังมีสารพิษตกค้างอยู่บ้าง โดยเฉพาะปลาน้ำจืด ถ้าเป็นปลาน้ำเค็มแล้วอาจจะไม่พบสารพิษตกค้างด้วยสาเหตุนี้
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นการจงใจเอาปลาไปชุบสารฆ่าแมลง เพื่อป้องกันแมลงวันตอมและวางไข่ทำให้เกิดหนอนขึ้น ซึ่งผู้บริโภคเห็นแล้วจะไม่น่ากิน วิธีการเช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคมาก เพราะถ้ามีสารพิษตกค้างอยู่มากๆ อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ถ้าได้รับนานๆ จะรู้สึกอ่อนเพลีย และสุดท้ายอาจชักได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับการใส่สารฟอร์มาลินนั้นเป็นความเข้าใจผิดของผู้ใช้อย่างยิ่ง เพราะคิดว่าสารฟอร์มาลินสามารถจะใช้ในการถนอมอาหารไว้ได้นานๆ ไม่เน่าเสีย แต่ความจริงแล้วสารฟอร์มาลินนั้นเป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่สามารถจะนำมาใส่อาหารได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม เพราะโดยปกติเขาใช้สารชนิดนี้สำหรับฉีดศพหรือแช่ชิ้นเนื้อที่จะนำไปศึกษาวิจัยต่อไปเท่านั้น จะนำมาบริโภคไม่ได้ เพาะฉะนั้นจะใช้แช่ปลาเค็มไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากมีตกค้างอยู่ในปลาเค็มมากๆ นอกจากจะมีกลิ่นไม่น่ากินแล้ว ยังจะเป็นโทษต่อผู้บริโภคอีกด้วย เพราะสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่อยู่ในฟอร์มาลินนั้น จะเป็นอันตรายต่อผิวหนัง และถ้ากินเข้าไปมากๆ อาจทำให้เซลล์ของผนังทางเดินอาหารตายได้ และอาจมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร และเป็นอันตรายต่อไตด้วย
ส่วนเรื่องสีนั้นก็นิยมผสมลงในปลาเค็มเพื่อให้ดูมีสีสดอยู่เสมอ ถ้าหากว่าใช้สีที่อนุญาตให้ผสมกับอาหารได้ก็จะไม่มีอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ถ้าผู้ทำปลาเค็มรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นำสีย้อมผ้ามาผสมลงไปก็จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ เพราะสีย้อมผ้าส่วนใหญ่มักจะทำให้เกิดมะเร็ง และยังอาจจะมีโลหะหนักที่เป็นพิษปะปนอยู่มากด้วย เช่น สารตะกั่ว ซึ่งตะกั่วมีผลโดยตรงที่ทำอันตรายต่อระบบประสาท และระบบการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย
เขาทำปลาเค็มกันอย่างไร
การทำปลาเค็มที่ถูกต้องนั้นไม่มีกระบวนการอะไรมาก เพียงทำให้เกิดสภาวะ 2 อย่าง คือ ทำให้เกลือเข้าไปอยู่ในเนื้อปลา แล้วทำให้แห้งมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การทำให้เค็มนั้นก็เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่จะมาทำให้ปลาเน่าเสียนั้นเจริญเติบโตได้ วิธีการที่ใช้กันทั่วไป ก็คือ การนำปลาสดมาหมักกับเกลือชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนเกลือแทรกเข้าไปในเนื้อปลาดีแล้ว จึงนำออกจากเกลือมาตากแดดให้แห้งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณก็จะได้ปลาเค็มตามต้องการ
สำหรับผู้บริโภคที่ชอบซื้อปลาเค็มมากินนั้นคงจะต้องพิจารณาให้ดี โดยอาจจะใช้การสังเกตในขณะที่ซื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อแนะนำต่อไปนี้จะใช้ได้เต็มที่ เพราะเป็นการยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ควรมีข้อสังเกตบางประการ ดังนี้
1. ดูความแห้งของปลา ปกติแล้วถ้าปลาแห้งดีจะสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าปลาชื้นๆ ซึ่งถ้าทำแห้งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเติมสารเคมีอะไร ก็คิดว่าจะปลอดภัยขึ้น
2. สังเกตดูแมลงวันว่ามีไต่ตอมอยู่บ้างหรือไม่ เพราะที่มีการนำเอาสารฆ่าแมลงมาใช้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงวันหรือมดมาขึ้น ดังนั้นถ้ายังมีแมลงวันบินไปมา มีมดอยู่บ้างก็พอจะเป็นเครื่องชี้วัดว่าไม่ได้พ่นหรือแช่สารฆ่าแมลง
3. ดูลักษณะสีของเนื้อปลา โดยปกติปลาเค็มจะมีสีไม่สดสวยมากนัก ดังนั้น ถ้ามองดูแล้วมีสีแดงสดมากๆ ก็แสดงว่ามีการใส่สีลงไปแล้ว แต่เราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นสีอะไร ดังนั้นถ้าพิจารณาดูแล้วสงสัยว่าจะมีการใส่สีก็ควรหลีกเลี่ยงเสียเพราะเราต้องการกินเฉพาะปลาเค็มไม่ต้องการสี
4. นอกจากการเลือกซื้อแล้ว การบริโภคก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง ก่อนจะนำไปปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการทอด หรือการปิ้ง ควรจะมีการล้างสักครั้งหนึ่งก่อน ก็จะช่วยชำระสิ่งสกปรกต่างๆออกไปได้มาก
5. ที่สำคัญที่สุดคือผู้ทำปลาเค็มควรจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ จงนึกเสียว่าเราทำปลาเค็มไว้บริโภคเอง หรือให้ญาติพี่น้องบริโภค ดังนั้นไม่สมควรจะใช้สารเคมีหรือสารเป็นพิษเป็นอันตรายใส่ลงไปเลย
กล่าวสำหรับผู้บริโภค การทำปลาเค็มนั้นไม่มีขั้นตอนวิธีที่พิสดารแต่อย่างใด ฉะนั้น ถ้าอยากกินปลาเค็มจริงๆ ควรสละเวลาสักนิดเพื่อทำปลาเค็มกินเองจะปลอดภัยที่สุด
https://www.doctor.or.th/article/detail/3135

******************************************************************************* เนื้อหมู

ฆ่าแล้วกองกับพื้น เขาว่าคนฆ่าหมูเก่งที่สุด ไปเล่นโบว์ลิ่งจะชนะเลิศ เพราะฆ่าเสร็จ โยนไถไปอีกฝากหนึ่งของห้อง ตรงเป๊ะเลย ไปกองอยู่โน่น ไม่ระมัดระวังในเรื่องความสะอาด เสื้อไม่ใส่ไปแบกหมูที่เชือดแล้ว

โดยเฉพาะเครื่องใน เอามากองๆ ฉีดน้ำ อย่างดีแค่เอาใส่ถุงขึ้นรถกะบะปนไปกับเนื้อหมู เชื้อโรคส่วนใหญ่มาจากเครื่องใน ถ้าไม่แยกเครื่องในกับเนื้อหมูให้ดี มีโอกาสปนเชื้อโรคได้เยอะ แต่ถ้าทำสะอาดก็กินได้ ยกเว้นโรคเก๊าท์กินไม่ได้ ส่วนของเครื่องในที่มีพิษมากที่สุดคือไส้

โรงฆ่าหมูเองหลังบ้าน ในต่างจังหวัดมีเยอะ ไม่ได้มาตรฐาน (ป้านีเอาขาหมูติดสะโพกยังเห็นเป็นขาอยู่เลยมาให้วัด หมูเลี้ยงปล่อยในนาแล้วหมากัดตายหลายตัว จะใช่ขาหมูนี้ไหม)

การขนไปขาย ไม่ได้แช่เย็นควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจะช่วยไม่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโต ส่วนใหญ่ขนใส่กะบะหลังฆ่า

ห้ามกินเนื้อหมูดิบ ต้องผ่านความร้อน

เขียงขายหมูไม่ควบคุมอุณหภูมิ เอาหมูแขวนไว้ทั้งวัน พอชิ้นไหนเริ่มมีกลิ่น เอาชิ้นนั้นไปใส่ตู้เย็น เอาในตู้เย็นออกมาแขวนใหม่  วนอยู่อย่างนี้ ซึ่งในตู้เย็น เชื้อโรคบางตัวอยู่ได้ แนะนำให้เขียงหมูวางหมูในกะบะควบคุมความเย็น และแยกเครื่องในจากเนื้อหมู หรือจะเอาแช่น้ำแช็งก็ได้

********************************************************************************* ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต
https://youtu.be/2PbBH8YKS0c

วันนี้ (20 มิ.ย.59) ศ.ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปทุมธานี ลงพื้นที่ตรวจจับผู้ค้าเนื้อหมูในตลาดสี่มุมเมือง ย่านรังสิต พบลอบผสมสารบอแรกซ์ในเนื้อหมู ว่า สารบอแรกซ์เป็นสารห้ามใช้ผสมในอาหาร และกิจการอาหารทุกประเภท เนื่องจากมีอันตรายต่อร่างกาย โดยจะเข้าไปสะสมในกรวยไต ทำให้เซล์เนื้อเยื่อไตอักเสบ หากสะสมไปนานๆ จะทำให้ไตพิการหรือไตวายได้ และสะสมในสมอง ทำให้สมองอักเสบ ทำงานไม่ปกติ ถือเป็นผลกระทบที่รุนแรงมาก ส่วนผลกระทบในระยะสั้นจะทำให้กระดูกอ่อนแอ แต่หากร่างกายยังแข็งแรงดีสารดังกล่าวก็จะทำอันตรายกับกระดูกได้น้อย แต่หากครั้งแรกก็ได้รับสารตัวนี้ในปริมาณมากก็ทำให้อันตรายกับไตได้เช่นกัน
ศ.ดร.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า สารบอแรกซ์มีคุณสมบัติทำให้อาหารไม่เน่าเสียง่าย จึงมักพบการลักลอบผสมในอาหาร อย่างกรณีนี้พบว่ามีการทาเอาไว้ที่เขียงหมู หากเอาทิ้งไว้ประมาณครึ่งวันสารตัวนี้ก็จะยังอยู่ที่ผิวด้านนอกของเนื้อหมูสามารถล้างทำความสะอาดได้บ้าง แต่ถ้าทิ้งเอาไว้นานๆ สารบอแรกซ์จะซึมเข้าไปในเนื้อหมู ซึ่งความร้อนก็ไม่สามารถทำลายได้ ทั้งนี้ ปัญหาสารบอแรกซ์จะไม่มีสี ไม่มีกลิ่นจึงตรวจสอบได้ยาก แต่ก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยการนำเนื้อหมูไปล้างในน้ำ แล้วใช้กระดาษกรองหรือกระดาษชำระหนาๆ ชุบขมิ้นจุ่มในน้ำล้างเนื้อหมูดังกล่าว หากกระดาษเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีม่วงๆ แดงๆ แสดงว่ามีสารบอแรกซ์ปนอยู่ และยิ่งหากสีเข้มก็ยิ่งปนมาก

https://mgronline.com/qol/detail/9590000061622


******************************************************************************** เชื้อราในอาหาร อย่าเสียดาย โยนทิ้ง


หลวงปู่สอนทำแจ่ว
“กระเทียมไม่เอาเปลือกออก หอมแดงปอกเปลือกเหลือส่วนขาวๆ พริก1-2เม็ด ต้มจนงวด(=ผ่านความร้อนกว่า10นาที) โขลกกับข่า ตะไคร้ ขิง มะนาว น้ำปลา
17/ศ.05 ก.ย.57(หลังล้างพิษตับ 13)

ทางโลกเพิ่งรู้ว่า
เชื้อราในอาหารสร้างสารพิษ สีเหลือง น้ำตาล ดำ
หลักการง่ายๆ ถ้าเจอเชื้อราอย่าเสียดาย โยนทิ้ง อย่ากิน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราสีอะไร  เชื้อราสีขาวในมะขามจะกินไหม
แม้แต่หมาก็อย่าโยนให้กิน เพราะสารพิษนี้สร้างมะเร็งในตับ
เชื้อราถึง 80% มีในถั่วลิสง ในร้านก๋วยเตี๋ยวใช้วิธีเติมทุกวัน พริกป่นด้วย แต่ไม่เอาของเก่าทิ้ง มันก็หมักหมมอยู่อย่านั้น รองลงมาเป็นข้าวโพดแห้ง(ข้างโพดคั่ว)  หอม กระเทียม
เชื้อราในหอมกระเทียม ถ้าพบราดำๆ มีสารพิษ อย่าเสียดาย ทิ้ง
เชื้อราในข้าวโพด  คนแอฟริกากินข้าวโพด จะมีเชื้อราเป็นมะเร็งในปอดกันเยอะ(หลวงปู่ไม่ให้เอาข้าวโพดเข้าวัด)
เชื้อราในขนมปัง เสียดาย เอาไปปิ้ง แล้วขูดๆผิวทิ้ง เชื้อราไม่ออกหรอก เพราะมันฝังอยู่ในเนื้อขนมปังแล้ว
เชื้อราในผลไม้   คนขายจะตัดทิ้งแล้วเอามาขาย เช่นในมะละกอ แอปเปิ้ลที่จุกจะเน่าๆ จะเจอสารพิษจากเชื้อรา(มิน่าหลวงปู่จึงไม่ให้ปอกผลไม้ ท่านจะปอกเอง) (ผลไม้รถเข็น ผลไม้ตัดแต่งในห้างจึงมีความเสี่ยง)

ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต
https://youtu.be/2PbBH8YKS0c

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น