รำปิ้งกล้วย
เนื้อกล้วยน้ำว้าสุก1ผล งาขาวคั่วตำ(งาดำคั่วมีแคลเซี่ยมมากที่สุด)ไม่เกิน2ช้อนแกง รำอ่อนคั่ว(รำข้าวสาลีอบ)ไม่เกิน2ช้อนแกง
ใช้มือขยำเข้ากัน ห่อใบตองกลัดไม้จิ้มฟัน ย่างบนกะทะเทฟล่อนปิดฝาหรือเตาถ่าน5-10นาที
คนขี้ร้อนป่วยด้วยภาวะเย็นเกิน ใส่งาและรำอ่อนน้อยหน่อย
คนขี้หนาวป่วยด้วยภาวะเย็นเกิน ใส่งาและรำอ่อนมากหน่อย
งามีฤทธิ์ร้อน บำรุงสมอง บำรุงกระดูก บำรุงรักษาระบบกล้ามเนื้อ และระบบประสาท
. . . . . . . ให้ทำงานปกติ บำรุงผิวพรรณ
รำข้าวมีฤทธิ์ร้อน บำรุงกระดูก ช่วยในขบวนการสร้างพลังงานของเซลล์ บำรุงเลือด
ช่วยต้านมะเร็ง ซับสารพิษจากร่างกาย บำรุงระบบประสาท บำรุงผิวพรรณ
กล้วยน้ำว้า ช่วยให้การทำงานของหัวใจดียิ่งขึ้น
กินเช้าหรือเย็น
สูตรป้านิดดูที่38:20
กล้วยรำงาปิ้ง(สูตรหมอเขียว)
***************************************************************************** พี่อี๊ดแม่ครัวสวนป่านาบุญดอนตาล อธิบายเมนูอาหารสุขภาพและวิธีทำ
ยึดหลักปรุงพอสุก กินตามลำดับดังนี้
ข้าวต้มสุขภาพ:ข้าวสารซาวน้ำและเก็บน้ำที่ซาวไว้ล้างผัก ใส่น้ำต้มจนสุกไม่เละ ผักต้มหลากหลายโดยใส่ผักสุกยากก่อนจบด้วยผักใบเขียว ปรุงรสด้วยเกลือ30%
มะละกอคลุกมะเขือเทศ ใส่น้ำมะขามเปียกผสมน้ำตาลและเกลือ เพิ่มมะนาว
ข้าวกับกับข้าว
ถั่วต้มหมุนเวียนไม่ซ้ำ แยกแช่ถั่วไม่แช่รวมกัน ใส่น้ำแช่มากๆ แช่ค้างคืน ยกเว้นถั่วทอง แช่ 30 นาที ใส่ถั่วสุกยากต้มก่อน ปรุงด้วยเกลือ
น้ำใบบัวบก
06.35 ช่วยความจำ ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่วยสมานแผล
09.50 นำผักปั่น-ผักบุ้ง อ่อมแซบ กล้วยน้ำว้าสุก มะม่วงดิบ มะละกอดิบ
14.02 กรรมและผลของกรรมที่ส่งผลต่อความเจ็บป่วย
น้ำนมธัญพืช
https://youtu.be/0gPjaPGprYI?list=UUs1wz10aK6vUYy9g3zfYG3w
เมนูอาหารปรับสมดุล http://morkeawfansclub-food.blogspot.com/
ก๋วยจั๊บเจ
แช่แผ่นก๊วยจั๊บ10นาทีหรือนุ่ม
ก๋วยจั๊บเจ
แช่แผ่นก๊วยจั๊บ10นาทีหรือนุ่ม
วิธีทำ
แช่ถั่วเขียวซีก 2 ชั่วโมง ให้บานและนิ่มขึ้น
ซาวข้าวสารล้างให้สะอาด และเทถั่วเขียวซีกที่แช่แล้ วเทผสมลงใน
หม้อหุงข้าว ประมาณน้ำที่ใช้หุงขึ้นอยู่ กับข้าวสารเก่าหรือใหม่
เวลาหุงใช้เท่ากับเวลาปรกติ ของหม้อหุงข้าว เมื่อสุกแล้วตักเสริฟ
วิธีทำ
หั่นหัวปลีให้เป็นฝอย ลวกให้สุกคือไม่ฝาด คลุกส่วนผสมในภาชนะได้แก่ หัวปลีลวก ข้าวคั่ว มะนาว เกลือ ซีอิ้ว มีรสเล็กน้อยใส่หัวแดง ใบสะระแหน่ ผักชีใบยาว คลุกอีกครั้งตักใส่จานเสริฟ
หมายเหตุ ท่านที่มีภาวะร้อนเกินมาก ลดหรืองดส่วนผสมที่มีฤทธิ์ร้อน ปรับให้เหมาะสมกับร่างกาย ณ เวลา นั้น ๆ
วิธีทำ
ต้มน้ำให้เดือด ใส่ผักกวางตุ้ง ปิดฝาลวกให้สุก ประมาณ 4 นาที
ดูให้ก้านในใส ถ้าไม่สุกจะเหม็นเขียว และขม
สุกแล้วตักเสริฟ จิ้มทานกับเกลือ
ส่วนผสมฤทธิ์เย็น
แผ่นเมี่ยง,ผักกาดหอม,มะเขือเทศ,เส้นมะละกอดิบ,
ผักบุ้งจีน,แตงกวา,มะขามเปียก, เกลือ,น้ำตาล
ปรับใช้ผักฤทธิ์เย็นได้ตามช อบ
วิธีทำ
ล้างผักให้สะอาด แล้วนำมาห่อด้วยแผ่นเมี่ยง
น้ำจิ้ม ต้มน้ำมะขามเปียก ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล
ปรุงให้ได้ 3 รส เสร็จแล้วจัด ใส่จานเสริฟ
ผักบุ้งจีน,แตงกวา,มะขามเปียก, เกลือ,น้ำตาล
ปรับใช้ผักฤทธิ์เย็นได้ตามช
วิธีทำ
ล้างผักให้สะอาด แล้วนำมาห่อด้วยแผ่นเมี่ยง
น้ำจิ้ม ต้มน้ำมะขามเปียก ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล
ปรุงให้ได้ 3 รส เสร็จแล้วจัด ใส่จานเสริฟ
ผัดมะละกอกับฟักเขียว: มะละกอห่าม, ฟักเขียว, เห็ดฟาง,ใบอ่อมแซบ,เกลือ
วิธีทำ
ขูดมะละกอและฟักเขียวเป็นเส ้น หั่นเห็ดฟางเป็นชิ้นเล็ก
เด็ดใบอ่อมแซบ ตั้งกะทะไฟปานกลางใส่น้ำร้อ น 1-2 ทัพพี ใส่มะละกอ และฟัก ผัดจนเส้นมะละกอนิ่มไม่แข็ง ถ้าน้ำเริ่มแห้งเติมน้ำได้ เมื่อนิ่มใส่เห็ดฟาง ชิมรส เติมเกลือเล็กน้อย และโรยด้วย ใบอ่อมแซบ เสร็จแล้วตักเสริฟ
ขูดมะละกอและฟักเขียวเป็นเส
เด็ดใบอ่อมแซบ ตั้งกะทะไฟปานกลางใส่น้ำร้อ
หมกหรือนึ่งหัวปลี https://youtu.be/MyLEFfZ8CWc
สวนป่านาบุญ3 ส้มตำ แกงอ่อม
http://youtu.be/-AExqLA8MOU
ยำวุ้นเส้น
แกงอ่อม
แกงอ่อม
1.ต้มน้ำเดือดปุดๆ ใส่ตะไคร้ หอมแดง รอเดือด
2.ใส่น้ำย่านาง หัวไชเท้า รอเดือด
3.ใส่ฟักเขียว รอฟักสุก ใส่มะละกอห่าม ฟักทอง รอสุก
4. ผักหวานบ้าน อ่อมแซบ เกลือ30%
5.โรยใบแมงลัก
สูตรอาหารปรับสมดุล
******************************************************************************
ป้าเช็งสอนแจ๋ว ทำกับข้าว
******************************************************************************
******************************************************************************
แฟนห้ามกินมังสวิรัติ เพราะซีด
30 กันยายน 2554
คุณหมอสันต์คะ
ดิฉันทานอาหารมังสะวิรัติแล้วถูกแฟนห้าม โดยอ้างว่าทานแล้วซีด เมื่อไปให้หมอตรวจหมอก็บอกว่าเป็นโลหิตจาง ค่า Hb ได้ 11.3 และหมอแนะนำว่าให้เลิกทานมังสะวิรัติ ดิฉันไม่เชื่อ คนทานมังสะวิรัติมีทั่วโลก งั้นเขาก็เป็นโลหิตจางกันหมดสิคะ จึงอยากถามคุณหมอถ้าดิฉันจะทานมังสวิรัติต่อไปจะต้องทำอย่างไรดีจึงจะไม่ซีด
..............................................
ตอบครับ(นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์)
สาเหตุของโรคโลหิตจางมีเยอะแยะแป๊ะตราไก่นะครับ แต่คุณให้ข้อมูลมาประเด็นเดียวคือการทานมังสวิรัติผมก็จะตอบประเด็นเดียว คือโลหิตจางจากการขาดอาหาร ก็แล้วกัน
ถ้าถามว่าคนกินมังสะวิรัติมีอัตราการเป็นโรคโลหิตจางมากกว่าคนกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงไหม ตอบว่า “จริงครับ”
แล้วถ้าถามต่อว่ามีวิธีทานมังสวิรัติโดยไม่ให้มีปัญหาโลหิตจางไหม ตอบว่า “มีครับ”
โลหิตจางที่เกิดจากขาดสารอาหาร มีอยู่สี่ประเด็นเท่านั้นคือ ขาดโปรตีน ขาดวิตามินบี12 ขาดธาตุเหล็ก และขาดโฟเลท เรามาว่ากันไปทีละประเด็นนะครับ
1. ประเด็นโปรตีน พึงทราบก่อนว่าอาหารโปรตีนทุกชนิดเมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะย่อยลงไปเป็นกรดอามิโนก่อน แล้วค่อยเอาไปประกอบเป็นเนื้อหนังมังสาขึ้นมาภายหลัง ในบรรดากรดอามิโนทั้งหลายนี้ บางส่วนร่างกายก็สร้างขึ้นเองได้ แต่มีอยู่ 8 ตัวที่ร่างกายสร้างขึ้นไม่ได้ คือ ทริปโตแฟน, เฟนิลอะลานีน, ไลซีน, ทริโอนีน, วาลีน, เมไทโอนีน, ลิวซีน, ไอโซลิวซีน ประเด็นมันอยู่ที่ว่าพืชทุกชนิดไม่มีชนิดไหนมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ตัว เช่นถั่วเหลืองที่ว่ามีกรดอะมิโนจำเป็นมากที่สุดก็มีแค่ 7 ตัว ยังขาดเมไทโอนีน งามีเมไทโอนีนแยะแต่ขาดตัวอื่นหลายตัว ข้าวกล้องมีเมไทโอนีนแต่ขาดไลซีน เป็นต้น ดังนั้นการทานมังสวิรัติต้องทานพืชอาหารโปรตีนหลายคละกันเพื่อให้ได้กรดอะมิโนจำเป็นครบทุกตัว เช่นทานถั่วเหลืองผสมกับงา (สูตรยอดนิยม) หุงข้าวกล้องกับถั่วดำ จึงจะได้โปรตีนครบเหมือนทานโปรตีนจากสัตว์ เพราะโปรตีนจากสัตว์เช่นนมวัวและไข่จะมีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ตัวในตัวของมันเอง
2. ประเด็นวิตามินบี.12 วิตามินตัวนี้ได้จากการสร้างสรรค์ของบักเตรี ผ่านกระบวนการหมัก ดังนั้นคนไทยซึ่งชอบทานของหมักๆเหม็นๆ เช่น กะปิ น้ำปลา ปลาร้า กันเป็นประจำอยู่แล้วจึงไม่ขาดวิตามินบี.12 ถึงจะเป็นมังสวิรัติเคร่งครัดไม่ทานกะปิน้ำปลาหรือปล้าร้าเลย ในผักสดที่เราทานก็มีวิตามินบี.12 อยู่บ้าง และเรายังมีทางได้วิตามินบี.12 มาจากการที่บักเตรี ในลำไส้ของเรา เอาสารคาร์โบไฮเดรตในกลุ่มโอลิโกแซคคาไรด์จากอาหาร เช่น ถั่วไปย่อยด้วยวิธีหมักจนได้แก้สและวิตามินบี.12 ออกมาเป็นผลพลอยได้ แค่นี้ก็พอใช้แล้ว
ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อเราทานยาปฏิชีวนะซึ่งมักทำให้บักเตรีที่หมักอาหารในลำไส้ของเราเกิดล้มตายเป็นเบือ เมื่อนั้นคนทานมังสวิรัติก็จะขาดวิตามินบี.12 ได้ อีกกรณีหนึ่งมีข้อมูลการศึกษาในผู้สูงอายุอเมริกันว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้นลำไส้จะดูดซึมวิตามินบี.12 ไปใช้ได้น้อยลง ดังนั้นในทั้งสองกรณีคือเมื่อทานยาปฏิชีวนะ หรือเมื่ออายุมากขึ้น ผมแนะนำว่าคนที่ทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดน่าจะทานวิตามินบี.12 เสริมด้วย
3. ประเด็นธาตุเหล็ก อาหารมังสวิรัติจะมีธาตุเหล็กเหลือเฟือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในถั่ว ผักที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักกูด ผักแว่น ใบแมงลัก เห็ดฟาง พริกหวาน กะเพราแดง ขึ้นฉ่าย และธัญพืช แต่ธาตุเหล็กที่ได้จากอาหารที่เป็นพืชไม่ได้อยู่ในรูปของโมเลกุลฮีม ร่างกายนำมาใช้ยากเพราะต้องอาศัยกรดสกัดเอาตัวเหล็กออกมาก่อนจึงจะดูดซึมไปใช้ได้ ต่างจากธาตุเหล็กจากสัตว์เช่นเลือด ตับ เนื้อ ซึ่งอยู่ในรูปของฮีมที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่าย คนทานมังสวิรัติจึงต้องทานอาหารที่ให้ธาตุเหล็กมาก ร่วมกับอาหารที่ให้วิตามินซีมากเพราะวิตามินซีช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก งานวิจัยผู้ทานอาหารมังสวิรัติพบว่าการทานอาหารประเภทข้าวและผักที่เราทานอยู่เป็นประจำโดยไม่มีเนื้อสัตว์เลย การดูดซึมธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารไปใช้จะเกิดขึ้นเพียง 3-10% เท่านั้น แต่ถ้าได้วิตามินซีจากผลไม้อีก 25-75 มก. (ฝรั่งประมาณครึ่งลูก) การดูดซึมของธาตุเหล็กที่มีอยู่ในข้าวและผักนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10-12% จึงควรทานอาหารที่มีวิตามินซี.สูงร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงไปด้วยเสมอ ถ้าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงก็ เช่น ส้ม ผรั่ง มะม่วง มะละกอ แคนตาลูป มะเฟือง สตรอเบอรี่ กีวี สับปะรด ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูงก็เช่น พริกหวาน ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง พริก มะเขือเทศ บรอกโคลี
ยังมีประเด็น สารแทนนิน ที่พบในน้ำชา กาแฟ จะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กให้ร่างกายได้รับเหล็กน้อยลงไปอีก แคลเซียมที่ได้จากนมหรือจากยาเม็ดแคลเซียมก็ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก จะเห็นว่าผู้ทานมังสวิรัตินั้นมีความเสี่ยงที่จะขาดธาตุเหล็กได้ง่ายๆ จากหลายสาเหตุ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีหลักฐานว่าซีดหรือโลหิตจาง ควรตรวจเลือดดูค่า ferritin ซึ่งเป็นโปรตีนบอกระดับเหล็กในร่างกาย หากต่ำก็แสดงว่าเป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กแน่นอน ต้องทานธาตุเหล็กเสริมทันทีและต้องวิเคราะห์แบบแผนวิธีทานอาหารของตนว่าทำไมจึงได้รับเหล็กไม่พอแล้วปรับวิธีทานเสียใหม่
4. ประเด็นโฟเลทหรือกรดโฟลิก งานวิจัยอาหารไทยพบว่าโฟเลตมีมากในถั่วผักคะน้า กะหล่ำ ผักโขม ผักกาด และผลไม้เช่นส้ม สับปะรด ฝรั่ง มะละกอ คนเป็นมังสะวิรัติจึงไม่ขาดโฟเลทยกเว้นเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ซึ่งร่างกายต้องการมากเป็นพิเศษ ประเด็นสำคัญคือการสูญเสียโฟเลตจากการปรุงอาหารด้วยความร้อน งานวิจัยเดียวกันพบว่าการนึ่งผัก 20-60 นาทีทำให้โฟเลตเสียไป 90% ดังนั้นจึงควรหาโอกาสทานผักสดหรือผักที่ที่ไม่ต้องปรุงด้วยความร้อนนานๆด้วย
******************************************************************************
โปรตีนเกษตร
********************************
เกิดหลังจากวิกฤตอีกวิกฤตหนึ่ง คือพอเราหายจากโรค ปีถัดมา 2547 สามีป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก อันนี้หนักเลย แม้ว่าจะตรวจพบเร็วและอยู่ในขั้นต้น แต่วิธีการรักษามะเร็ง แพทย์จะทำคีโม ต้องฉายแสงและผ่าตัด ผลข้างเคียงคือผมร่วง เหนื่อย ไม่มีแรง หายใจไม่ออก และพอผ่าตัดต่อมลูกหมากก็ทำให้ฉี่ไม่ได้ ต้องใส่แพมเพิร์ส เพราะต่อมลูกหมากเป็นท่อที่เกาะท่อปัสสาวะ แล้วท่อปัสสาวะเคลื่อนตัวได้ด้วยการขยับของต่อมลูกหมาก พอไม่มี ก็เหมือนท่อวางเฉยๆ คุมการฉี่ไม่ได้ ก็ปรึกษากันเราก็เอาแนวความคิดเราบอกกับเขาซึ่งเขาเป็นทั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลและที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้วย ตกลงกันได้ว่าเราจะไม่ป่วยเพราะรักษา ก็ตัดสินใจย้อนศรไปทางธรรมชาติบำบัด โอเค เราใช้ชีวิตผิดมาแล้ว เครียดกินอาหารไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง
ป้านิดดา สามี และหลาน
ศาสตราจารย์ ดร.ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์ อดีตนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลและที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก
*************************************
แบบดั้งเดิม จะใช้วัตถุดิบ ได้แก่ โปรตีนสกัดจากถั่วเขียว แป้งถั่วเหลืองชนิดมีไขมันเต็ม ดีแอลเมทไธโอนิน เกลือไอโอไดด์ วิตามินรวม โซเดียมคาร์บอเนต และสารละลายกรดเกลือ 3% นำมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกันในเครื่องผสม จากนั้นนำมาเกลี่ยบนถาดและตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้แห้งโดยใช้ตู้อบ หรือถ้านำมาตีป่นหยาบๆ จะได้โปรตีนเกษตรแห้งแบบเนื้อสับ
ปัจจุบันผลิตมาจากแป้งถั่วเหลืองพร่องไขมัน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืชถึง 50 เปอร์เซ็นต์
วิธีการใช้โปรตีนเกษตร
1.แช่ในน้ำเย็น โดยใช้โปรตีนเกษตร 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน
2.ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จะดูดน้ำจนพองนิ่ม หรือแช่ในน้ำเดือดใช้เวลา 2 นาที
3.บีบน้ำออก นำไปประกอบอาหารได้
4.ล้างหลาย ๆ ครั้งจนหมดกลิ่นอับ บีบให้แห้ง
******************************************************************************
วิธีรับประทานกะปิเจ
1. ปั่นหรือใส่แบบพิมพ์ เป็นแผ่นๆ ตากแดดให้แห้ง ไว้ย่าง, ทอด รับประทานได้
2. ห่อใบตอง เหมือนหมกปลาแดก หมกหรือนึ่ง เอาข้าวเหนียว จิ้มรับประทานได้
3. ใส่กระทะตั้งไฟ คั่วไฟอ่อนๆ จนเป็นกะปิแห้ง เก็บใส่ขวดโหลไว้ ใส่น้ำพริก หรือใส่แกงได้
https://www.asoke.info/veget/V003.html
******************************************************************************
1. ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ใส่โปรตีนเกษตรที่แช่น้ำไว้ลงต้มจนสุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
2. ปรุงรสซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว น้ำตาลมะพร้าวและพริกป่นลงในอ่างผสม คนผสมให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่โปรตีนเกษตรต้มสุก ลงเคล้าผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่ข้าวคั่ว ผักชีฝรั่งซอย และใบสะระแหน่ เคล้าผสมให้เข้ากันอีกครั้ง
*********************************************************************************
1. แช่โปรตีนเกษตรแช่น้ำจนเย็น โดยใช้โปรตีนเกษตร 1 ส่วนต่อน้ำ 2 ส่วน ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จะดูดน้ำจนพองนิ่ม หรือแช่ในน้ำเดือดใช้เวลา 2 นาที ล้างหลาย ๆ ครั้งจนหมดกลิ่นอับ บีบให้แห้ง
2. หมักโปรตีนเกษตรด้วยขิงสับ ซีอิ๊วขาว น้ำตาลมะพร้าว แป้งข้าวโพด คลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 20 นาที
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อนใส่โปรตีนเกษตรที่หมักไว้ ผัดพอทั่ว เติมน้ำเปล่า ใส่ถั่วขาว เบาไฟ เคี่ยวไฟอ่อนจนรสชาติกลมกล่อม
*********************************************************************************
น้ำพริกโปรตีนเกษตร(เราดัดแปลงจากน้ำพริกเห็ด)
1. แช่
2.ใส่น้ำมันลงกระทะ ยกขึ้นตั้งบนไฟกลาง พอน้ำมันร้อนใส่โปรตีนเกษตรลงผัด
3.ปรุงรสด้วยพริกขี้หนูแห้งคั่ว น้ำมะขามเปียก เกลือป่น น้ำตาลทราย และน้ำ ผัดให้เข้ากัน
4.พอน้ำพริกเริ่มแห้ง และเหนียวจับตัวกันก็ปิดไฟได้เลย
(=ทำแล้วโปรตีนเกษตรไม่นิ่ม)
ส้มปลาน้อย
1.นำถั่วดำแช่น้ำ1คืน ต้มจนนิ่ม
2.เอาถั่วดำใส่ครก ตำให้ละเอียด ใส่เกลือหรือซีอิ๊วขาว กระเทียมป่น โขลกไปเรื่อยๆ เติมตะไคร้หั่น มะเขือขื่นหั่น และ ข้าวคั่วหลังสุด ถ้าบีบมะนาวใส่ ก็จะมีรสเปรี้ยว รับประทานได้เลย หรือทิ้งไว้ข้ามคืน ก็จะมีรสเปรี้ยว กินกับข้าว จนหมด
(=ทำแล้วโปรตีนเกษตรไม่นิ่ม)
ส้มปลาน้อย
1.นำถั่วดำแช่น้ำ1คืน ต้มจนนิ่ม
2.เอาถั่วดำใส่ครก ตำให้ละเอียด ใส่เกลือหรือซีอิ๊วขาว กระเทียมป่น โขลกไปเรื่อยๆ เติมตะไคร้หั่น มะเขือขื่นหั่น และ ข้าวคั่วหลังสุด ถ้าบีบมะนาวใส่ ก็จะมีรสเปรี้ยว รับประทานได้เลย หรือทิ้งไว้ข้ามคืน ก็จะมีรสเปรี้ยว กินกับข้าว จนหมด
******************************************************************************
แกงจืด(เราดัดแปลงจากแกงจืดฟองเต้าหู้ยัดไส้เจ)
1. หมักโปรตีนเกษตรโดยผสม วุ้นเส้น ซีอิ๊วขาวหรือเกลือ และแป้งสาลีอเนกประสงค์ คลุกให้เข้ากัน
2.ตั้งน้ำเดือดใส่รากผักชีกระเทียมตำจนน้ำเดือด ใส่โปรตีนเกษตรรอจนน้ำเดือดอีกครั้ง ใส่ผักต่างๆและขึ้นฉ่ายหั่นท่อนลงไป พอผักสุกดีแล้ว ปิดไฟ
******************************************************************************
เปาะเปี๊ยะทอด https://www.asoke.info/veget/V001.html
1. ซอยกะหล่ำปลี -แครอท -มันแกว
2. ผัดกะหล่ำปลีพอสลบ (พักไว้) ผัดแครอทให้สุก ใส่เกลือ พริกไทย ปิดไฟก่อน ใส่มันแกว กะหล่ำปลี ที่พักไว้
3. ห่อใส่ใบปอเปี๊ยะ (นำแป้งข้าวจ้าว ละลายน้ำข้นๆ) ห่อแล้ว เอาแป้งปะ ปลายห่อ แล้วม้วนห่อให้สวย นำลงทอด
2. ผัดกะหล่ำปลีพอสลบ (พักไว้) ผัดแครอทให้สุก ใส่เกลือ พริกไทย ปิดไฟก่อน ใส่มันแกว กะหล่ำปลี ที่พักไว้
3. ห่อใส่ใบปอเปี๊ยะ (นำแป้งข้าวจ้าว ละลายน้ำข้นๆ) ห่อแล้ว เอาแป้งปะ ปลายห่อ แล้วม้วนห่อให้สวย นำลงทอด
วิธีทำน้ำจิ้ม
น้ำตาลทราย 1/2 กก น้ำส้มสายชู ครึ่งขวด เกลือพอประมาณ คอยชิม พอเริ่มเหนียว ใส่พริกตำลงไป หัวไชเท้าซอย ใส่เล็กน้อย ตักเสิร์ฟคู่กับ ปอเปี๊ยะทอด
******************************************************************************
ไก่ผัดขิง
เอาน้ำมัน ตั้งไฟแรงปานกลาง ทุบกระเทียมเจียว ให้เหลือง ใส่ขิง โปรตีน เห็ดหูหนู เห็ดฟาง น้ำตาล ซีอิ้ว ชิมรสตามชอบ ใส่หอมใหญ่ พริกแดง พอสุกยกลง
******************************************************************************
******************************************************************************
1. เอาวุ้นเส้นไปแช่น้ำให้เส้นนิ่มก่อน
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อน ใส่วุ้นเส้นลงไปผัดจนเริ่มใส ใส่ผักกาดขาว ผักบุ้ง ถั่วงอก ถั่วลันเตา ข้าวโพดอ่อนลงไป ตามด้วยเส้นมะละกอ ปรุงรสตามชอบ ผัดให้เข้ากัน
******************************************************************************
2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมลงไปเจียวจนหอม
3. ใส่กะหล่ำปลีลงไปในกระทะ (ยังไม่ต้องผัด) ให้ทิ้งไว้ 10 วินาทีก่อน จากนั้นค่อย ๆ ผัดให้กะหล่ำปลีโดนความร้อนทั่ว ๆ แต่ยังไม่ต้องสุกมาก นำมารวมตรงกลางกระทะ
4. ราด
3. ใส่กะหล่ำปลีลงไปในกระทะ (ยังไม่ต้องผัด) ให้ทิ้งไว้ 10 วินาทีก่อน จากนั้นค่อย ๆ ผัดให้กะหล่ำปลีโดนความร้อนทั่ว ๆ แต่ยังไม่ต้องสุกมาก นำมารวมตรงกลางกระทะ
4. ราด
******************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น