หมออมรา
หลวงปู่แบน
หลวงปู่มั่น
หลวงปู่เทสก์
หลวงปู่ชา
หลวงปู่วัดป่าบ้านตาด
หลวงปู่พุธ
หลวงปู่หล้า
เรื่อง "การบริโภคเนื้อสัตว์"
(วิสัชนาธรรมโดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ)
สมเด็จพระสังฆราช เคยปรารถเรื่องการกินเจกับพระราชินีว่าคนไทย "เข้าใจผิด" อยู่มาก
การกินเจ (ตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์) จริงๆ ไม่ได้บุญ
อธิบาย คือ เราไม่กินข้าวขาหมู แล้วคิด (จิตนาการ) ว่า หมูจะไม่ถูกฆ่า เปรียบได้กับเรา นั่งอยู่บ้านเฉยๆ แล้วคิด (จิตนาการ) ว่า เราไปช่วยสอนหนังสือคนอนาถา บุญที่เราไปสอนหนังสือคนอนาถานั้น ไม่มี ไม่เกิด เพราะเรา นึกๆ คิดๆ ไปเองไม่ได้ทำ ไม่ได้กระทำจริง
ถ้าอยากได้บุญ เราต้องช่วยชีวิตสัตว์ มี ๒ ข้อ คือ
๑.ช่วยชีวิตมันโดยการไถ่ชีวิต ซื้อสัตว์ที่กำลังถูกฆ่านำมาปล่อย
๒.เมตตาสัตว์ไม่ทำร้ายมัน อย่างนี้เป็นบุญ
แต่การกินเจ บุญไม่เกิด
เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง (ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง
เพราะเราไม่ได้ลงมือกระทำจริง (ช่วยชีวิตสัตว์) เป็นเพียงแต่คิดไปเอง
พระพุทธเจ้าปฎิเสธพระเทวทัตเคย มาเสนอให้ชาวพุทธไม่กินเนื้อสัตว์ พร้อมให้เหตุผลว่า
๑. เนื้อสัตว์ไม่ใช่ของเหม็น อกุศลกรรมต่างหากที่เป็นของเหม็น
๒. พระต้อง ควรเป็นผู้เลี้ยงง่าย
๓. อนุญาตในการกินเนื้อสัตว์ที่ -ไม่เห็น -ไม่รู้ -ไม่ใช่เนื้อที่ฆ่าโดยเฉพาะให้ตน
๔. อาหารเป็นแค่ของเลี้ยงกายไม่ให้ตาย อย่าสนใจมาก
การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นบุญหรือไม่
การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็น
การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำอะไร เป็นบุญหรือไม่เป็น
บุญนั้น ต้องอาศัยกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าด้วย บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง (บูรส่งมาทางไลน์อา.2ต.ค59 มีของงามจิตรแทรกข้อ7)
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
(ยินดีในบุญของผู้อื่น(อนุโมทนา)การที่กัลยาณมิตรพูดว่าเอาบุญมาฝาก เรากล่าวคำว่าอนุโมทนาบุญหรือสาธุ เป็นการทำบุญจากจิตที่ยินดีในบุญของผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าสาธุหรืออนุโมทนาบุญ หรือโลภในบุญ พอเห็นใครทำบุญก็เข้าไปสาธุ แบบนี้ไม่เป็นบุญเพราะจิตไม่เป็นกุศล ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จได้ด้วยใจ“ ด้วยเหตุนี้บุญที่ได้รับเป็นบุญที่เราได้กระทำด้วยตัวเอง จึงไม่ใช่บุญของเพื่อน- งามจิตร)
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
ที่มา
งามจิต มุทะธากุลจากเรื่องแสวงบุญ ในซีเคร็ต 8(175) ตุลาคม 2558 หน้า75
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยประพฤติ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานต่างๆ
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
(ยินดีในบุญของผู้อื่น(อนุโมทนา)การที่กัลยาณมิตรพูดว่าเอาบุญมาฝาก เรากล่าวคำว่าอนุโมทนาบุญหรือสาธุ เป็นการทำบุญจากจิตที่ยินดีในบุญของผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าสาธุหรืออนุโมทนาบุญ หรือโลภในบุญ พอเห็นใครทำบุญก็เข้าไปสาธุ แบบนี้ไม่เป็นบุญเพราะจิตไม่เป็นกุศล ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จได้ด้วยใจ“ ด้วยเหตุนี้บุญที่ได้รับเป็นบุญที่เราได้กระทำด้วยตัวเอง จึงไม่ใช่บุญของเพื่อน- งามจิตร)
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความคิดเห็นของตนให้ตรง
ที่มา
งามจิต มุทะธากุลจากเรื่องแสวงบุญ ในซีเคร็ต 8(175) ตุลาคม 2558 หน้า75
เมื่อเทียบเคียงกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ วิธี แล้ว ไม่พบว่าการกินอาหารมังสวิรัติ คือ กินแต่พืชผัก เป็นวิธีทำบุญข้อใดเลย จึงไม่นับว่าเป็นวิธีทำบุญในพระพุทธศาสนา ลองคิดดูว่าถ้าการกินพืช เช่น ผัก หญ้า ได้บุญ แล้วสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ก็ต้องได้บุญมากกว่ามนุษย์ เพราะสัตว์พวกนี้กินพืชตลอดชีวิต ไม่กินเนื้อสัตว์เลย
การกินเนื้อสัตว์ บาป หรือ ไม่?
การที่จะวินิจฉัยว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ต้องพิจารณาว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ นั้นจะผิดศีลก็ต่อเมื่อ
ประกอบด้วย องค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป
แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป
ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย
แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป
ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มีส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อมตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย
มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต”
“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”
การกินผักก็อาจจะต้องฆ่าสัตว์ทางอ้อมไปด้วยเช่นกัน เพราะต้องไถดิน ใส่ปุ๋ย ใช้ยากำจัดแมลง อาจทำให้แมลงต่างๆ ไส้เดือนตายได้ ถ้าแบบนี้บาปก็คงไม่ต้องทำสัมมาอาชีพกันเลย
หลวงปู่แหวนท่านบอกว่า
"ไอ้วัวควายกินหญ้าอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"
~~~~~~~~
https://m.facebook.com/hiran.somban.3/albums/204073236468051
~~~~~~~~
https://m.facebook.com/hiran.somban.3/albums/204073236468051
***************************************************************
ตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุและการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เริ่มที่47.05
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มันมาจากศีลข้อที่1ของเราบกพร่องหรือว่าทะลุ เพราะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเขาก็รักชีวิตเขา เมื่อเราไปล่วงเกิน ถึงเขาไม่จองเวรเรา กรรมของเราก็ต้องได้รับ ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราเชื่อตรงนี้จริงๆ แล้วเราก็แผ่ส่วนกุศลไปให้สรรพสิ่งที่เราได้ไปเบียดเบียนเขา แล้วเป็นเหตุให้เราต้องมีความทุกข์ มีความเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ขออโหสิเขา เราเพียรทำไปจริงๆ ถ้ามันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เขาก็คงใจอ่อน หรือเขาก็คงเห็นว่ามันสมควรกับค่าเสียหายที่เขาได้เสียไปแล้ว เขาก็ยอม มันก็จบมันก็ดีขึ้น
ตอบคำถามเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติ เริ่มที่ 48.31
ท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยพูดว่า เวลาเรากินอย่ากินด้วยอุปาทาน เราไม่ได้กินมังสวิรัติหรือว่าเราไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เรากินดินกับน้ำ คือเวลาที่เราพิจารณาอาหารที่เรากิน ให้เราบอกกับตัวเองว่า เนี่ยะเราเอาดินเพื่อเข้าไปซ่อมแซมดินกับน้ำในร่างกายเรา อย่างเวลาเราอาบน้ำ วันไหนเราเหนื่อยมากๆ ขี้ไคลเราเนี่ยะ เห็นเลยใช่ไหมคะ ผิวหนังเราก็คือดินอย่างนี้แหละ และถ้าเผื่อเราพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรากินอะไรเราก็กินได้ทั้งนั้น....
ตอนไปอยู่วัดกับท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านจะบอกว่าต้องทำตนเป็นคนเลี้ยงง่าย ชาวบ้านเขากินอะไร เขาใส่บาตรอะไรมา เราก็ต้องกินให้ได้...ท่านอาจารย์จะบอกว่า มันไม่สำคัญเท่ากับเราไปสมมติมันว่ามันเป็นสัตว์เป็นผัก ให้เราคิดว่าร่างกายเรามันเป็นสิ่งที่พร่องอยู่เนืองนิจ เราก็ต้องเอาน้ำเอาดินเติมเข้าไป เพราะตัวเราก็เหมือนดินที่ถูกลม ถูกร้อน มันก็แตก มันก็ระเหย เราก็ต้องซ่อมแซมมัน ให้มันอยู่ในสภาพที่ให้ความสะดวกกับเราตามสมควรที่เราจะได้ปฏิบัติได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเผื่อร่างกายเราเจ็บป่วย มันทรมาน โอกาสที่จะให้เรามีสติมีปัญญามันก็ยากใช่ไหมคะ เพราะว่่ามันจะวับๆไปอยู่กับความเจ็บป่วย
(50.24) พระพุทธเจ้าเองก็มีธรรมโอสถที่ท่านบอกว่า พระถ้าไปอยู่ในที่ๆมันไม่มียาไม่มีหมอ ถึงท่านจะประทานยารักษาโรคเป็นปัจจัย1ใน4อย่าง...ให้เรานึกถึงว่า ถ้าเผื่อเราแน่วแน่จริงๆ แล้วเราปฏิบัติจริงๆ แยกกายแยกจิตได้จริงๆ กายมันก็ได้เยียวยามันตามสภาพ แล้วมันก็ฟื้นคืนมันขึ้นมาได้
(51.01) ถามว่าแต่มันก็เสื่อมไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ
หมอตอบว่า แต่มันก็เสื่อมไปในสภาพที่มันก็ยังพอใช้งานได้ มันก็ไม่ทำให้เราพิการทุพลภาพไป เพราะคนบางคนที่อยู่จนอายุ80 90 100 เขาก็ยังเดินเหินได้ ในขณะที่คนบางคนอายุแค่50 60 ก็เดินไม่ได้แล้ว
*******************************************************************************
หลวงปู่แบนสอนเรื่องกินอาหาร
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=756785981089545&id=550180491750096
กระรอก...ต้นมะเม่ามีดอกก็กินดอก มีใบก็กินใบเวลาไม่มีก็กินเปลือกมัน...ไม่จำเป็นต้องกินต้ม กินตุ๋น อาหารที่เค้าจูงวัว จูงสัตว์ไปฆ่า... อาหารอะไรกินแล้วไม่หายใจก็เหมือนกัน มีอะไรกินแล้วไม่เป็นบาปก็กินเถอะ
********************************************************
6:56 ลูกศิษย์ที่มีครู เมื่อท่าน(หลวงปู่มั่น)เตือน ท่าน(อาจารย์อุ่น)ก็พลิกอย่างหนัก หยุดเลย การไม่ฉันเนื้อฉันปลาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทีนี้เริ่มมาฉันเนื้อฉันปลา เอาไข่ใส่บาตร เริ่มฉันเนื้อฉันปลา คำแรก อาเจียนออกมา ท่านพลิกเลย
เอาจนฉันเนื้อฉันปลาได้ตามปกติ จนมรณะภาพไป เป็นลูกศิษย์ที่ดีที่ยอมรับครู หาได้ยาก ลูกศิษย์ก็ยอมรับอาจารย์ อาจารย์ก็ยอมรับที่จะแนะนำสั่งสอนต่อไป
...เมื่อเห็นว่าไม่ถูก ท่านก็ปล่อยปุ๊บ ปล่อยปุ๊บ เมื่อเห็นว่าถูก ท่านก็จับมาพิจารณา...
ท่านไม่มีทิฐิมานะ เมื่อเห็นว่าไม่ถูก ท่านปัดเลย ทันที
https://youtu.be/MB9g4mHgwmg
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน
“คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผลที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=42002
หลวงปู่มั่นอธิบายถึงเนื้อสัตว์ที่ห้ามกิน10อย่าง
หลวงปู่เทสก์ คัดมาบางส่วนจากหนังสือ “ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21465
ตอบคำถามเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติ เริ่มที่ 48.31
ท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยพูดว่า เวลาเรากินอย่ากินด้วยอุปาทาน เราไม่ได้กินมังสวิรัติหรือว่าเราไม่ได้กินเนื้อสัตว์ เรากินดินกับน้ำ คือเวลาที่เราพิจารณาอาหารที่เรากิน ให้เราบอกกับตัวเองว่า เนี่ยะเราเอาดินเพื่อเข้าไปซ่อมแซมดินกับน้ำในร่างกายเรา อย่างเวลาเราอาบน้ำ วันไหนเราเหนื่อยมากๆ ขี้ไคลเราเนี่ยะ เห็นเลยใช่ไหมคะ ผิวหนังเราก็คือดินอย่างนี้แหละ และถ้าเผื่อเราพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรากินอะไรเราก็กินได้ทั้งนั้น....
ตอนไปอยู่วัดกับท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านจะบอกว่าต้องทำตนเป็นคนเลี้ยงง่าย ชาวบ้านเขากินอะไร เขาใส่บาตรอะไรมา เราก็ต้องกินให้ได้...ท่านอาจารย์จะบอกว่า มันไม่สำคัญเท่ากับเราไปสมมติมันว่ามันเป็นสัตว์เป็นผัก ให้เราคิดว่าร่างกายเรามันเป็นสิ่งที่พร่องอยู่เนืองนิจ เราก็ต้องเอาน้ำเอาดินเติมเข้าไป เพราะตัวเราก็เหมือนดินที่ถูกลม ถูกร้อน มันก็แตก มันก็ระเหย เราก็ต้องซ่อมแซมมัน ให้มันอยู่ในสภาพที่ให้ความสะดวกกับเราตามสมควรที่เราจะได้ปฏิบัติได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเผื่อร่างกายเราเจ็บป่วย มันทรมาน โอกาสที่จะให้เรามีสติมีปัญญามันก็ยากใช่ไหมคะ เพราะว่่ามันจะวับๆไปอยู่กับความเจ็บป่วย
(50.24) พระพุทธเจ้าเองก็มีธรรมโอสถที่ท่านบอกว่า พระถ้าไปอยู่ในที่ๆมันไม่มียาไม่มีหมอ ถึงท่านจะประทานยารักษาโรคเป็นปัจจัย1ใน4อย่าง...ให้เรานึกถึงว่า ถ้าเผื่อเราแน่วแน่จริงๆ แล้วเราปฏิบัติจริงๆ แยกกายแยกจิตได้จริงๆ กายมันก็ได้เยียวยามันตามสภาพ แล้วมันก็ฟื้นคืนมันขึ้นมาได้
(51.01) ถามว่าแต่มันก็เสื่อมไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ
หมอตอบว่า แต่มันก็เสื่อมไปในสภาพที่มันก็ยังพอใช้งานได้ มันก็ไม่ทำให้เราพิการทุพลภาพไป เพราะคนบางคนที่อยู่จนอายุ80 90 100 เขาก็ยังเดินเหินได้ ในขณะที่คนบางคนอายุแค่50 60 ก็เดินไม่ได้แล้ว
*******************************************************************************
หลวงปู่แบนสอนเรื่องกินอาหาร
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=756785981089545&id=550180491750096
กระรอก...ต้นมะเม่ามีดอกก็กินดอก มีใบก็กินใบเวลาไม่มีก็กินเปลือกมัน...ไม่จำเป็นต้องกินต้ม กินตุ๋น อาหารที่เค้าจูงวัว จูงสัตว์ไปฆ่า... อาหารอะไรกินแล้วไม่หายใจก็เหมือนกัน มีอะไรกินแล้วไม่เป็นบาปก็กินเถอะ
********************************************************
6:56 ลูกศิษย์ที่มีครู เมื่อท่าน(หลวงปู่มั่น)เตือน ท่าน(อาจารย์อุ่น)ก็พลิกอย่างหนัก หยุดเลย การไม่ฉันเนื้อฉันปลาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทีนี้เริ่มมาฉันเนื้อฉันปลา เอาไข่ใส่บาตร เริ่มฉันเนื้อฉันปลา คำแรก อาเจียนออกมา ท่านพลิกเลย
เอาจนฉันเนื้อฉันปลาได้ตามปกติ จนมรณะภาพไป เป็นลูกศิษย์ที่ดีที่ยอมรับครู หาได้ยาก ลูกศิษย์ก็ยอมรับอาจารย์ อาจารย์ก็ยอมรับที่จะแนะนำสั่งสอนต่อไป
...เมื่อเห็นว่าไม่ถูก ท่านก็ปล่อยปุ๊บ ปล่อยปุ๊บ เมื่อเห็นว่าถูก ท่านก็จับมาพิจารณา...
ท่านไม่มีทิฐิมานะ เมื่อเห็นว่าไม่ถูก ท่านปัดเลย ทันที
https://youtu.be/MB9g4mHgwmg
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน
“คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก
พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว
ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา
ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า
ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน
คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน เมื่อท่านพูดจบลง คณะญาติโยมที่มาด้วยเงียบกริบ มองตากันปริบๆ ไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงอะไรอีก บางคนคงจะรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามันผ่าลงที่กบาลฤดูแล้ง บางคนก็คงจะเห็นเหตุผลที่ท่านแสดงอย่างคมคาย แต่สำหรับบางคนที่จิตใจไม่ยอมรับความจริง ก็ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์ไป
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=42002
หลวงปู่มั่นอธิบายถึงเนื้อสัตว์ที่ห้ามกิน10อย่าง
เกร็ดประวัติ และ ปกิณกธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ๑ จากหนังสือ "รำลึกวันวาน"
เรื่องมังสะ 10 อย่าง ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงห้าม
ท่านอธิบายให้ฟังว่า เนื้อมนุษย์ไม่เป็นค่านิยม ผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงติเตียน เพราะความเป็นมนุษย์มีค่ามาก เกิดกินกันขึ้น มหันตภัยก็เกิดขึ้นแก่โลกไม่สิ้นสุด สัตว์นอกจากนี้เป็นอันตราย สมัยก่อนมีมาก พระออกธุดงค์บริโภคเนื้อสัตว์อันตรายเหล่านี้ กลิ่นของสัตว์จะออกจากร่างกายผู้บริโภค เช่น ฉันเนื้องู กลิ่นงูก็ออก งูได้กลิ่นก็เลื้อยมาหา นึกว่าพวกเดียวกัน พอมาถึงไม่ใช่พวกเดียวกัน ก็ฉกกัดเอา เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ตั้งใจมาเจริญสมณธรรม เลยไม่ได้อะไรเพราะตายเสียก่อน พระพุทธเจ้าจึงทรงห้าม
*********************************************************************
*********************************************************************
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21465
อุบาสิกาคนหนึ่งมีวัยประมาณ ๖๐ กว่าปีแล้ว แกไปปฏิบัติอยู่วัดหินหมากเป้งเสมอๆ
อยู่มาแกสมาทานมังสาวิรัต แล้วชักชวนผู้เขียน (หลวงปู่เทสก์) ทำอย่างแกบ้าง
ผู้เขียนบอกว่า เมื่อผู้เขียนทำอย่างนั้นแล้วเขาต้องตามปฏิบัติผู้เขียนนะ
เพราะผู้เขียนหากินเองอย่างเขาไม่ได้ เขาได้ถามปัญหาว่า
(๑๐) ถาม รับประทานมังสวิรัติผิดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ
หลวงปู่ตอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก จะต้องอธิบายกันมากจึงจะเข้าใจ
คนเกิดมาในโลกนี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กินเลือดเนื้อของผู้อื่นทั้งสิ้น
เดิมแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาก็กินอาหารของมารดา
ที่ซึมซาบเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายจึงเติบโตขึ้นมาได้
คลอดออกมาแล้วจนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เช่นนั้นเหมือนกัน
พึ่งมาปฏิวัติรับประทานมังสาวิรัตเมื่อโตขึ้นมานี่เอง
เรื่องนี้จึงเป็นความฝ่าฝืนความรู้สึกของคนส่วนมาก
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่
พระเทวทัตก็เคยเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาให้พระพุทธองค์
ได้ทรงอนุมัติแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ไม่ทรงอนุญาต
จึงได้ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า พระสงฆ์องค์ใดเห็นดีกับเราก็ไปกับเรา
ภิกษุที่บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมวินัยจึงได้ติดตามพระเทวทัตไป
นั่นก็โลกแตกครั้งหนึ่งล่ะ ผลที่สุดพระเทวทัตถึงแก่มรณภาพไป
พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเห็นความอาฆาตของพระเทวทัตซึ่งมีต่อพระพุทธเจ้า
จึงกลับเข้ามาหาพระพุทธเจ้าอีก
ฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัททั้งหลาย
จึงไม่ควรยกเอาคำนี้ขึ้นมากล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
มันจะเป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน
ส่วนฆราวาสนั้นก็ปล่อยเขาตามเรื่อง
ถ้าหากรับประทานมังสาวิรัตเฉพาะตน เพื่อทรมานตน
เพราะจิตใจของตนมันชอบการทรมานอย่างนั้นก็สมควรอยู่
ถ้าอ้างว่ามังสาวิรัตเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้เขียนก็ขอร้องเถิด
มันจะกลายเป็นวังคศาสนาไป มิใช่สัตถุศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริง
มังสาวิรัตนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านก็รู้ดีเหมือนกันว่าคนในสมัยนั้นเขานิยมกันขนาดไหน และเขาปฏิบัติกันได้ มากน้อยเพียงใด
พระองค์จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุฉันเนื้อได้โดยปราศจากโทษ ๓ ประการ
*******************************************************************************
กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก" พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=34808
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชาเกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร
อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด
เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง
บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัคว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติเว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด
บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้
ท่านตอบว่า
“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน
ความจริงแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว
การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้
ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา
นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน
การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา
เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน
มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก”
“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป
อย่าถึงกับฆ่าเขากิน
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้คิดอยูในการกระทำภายนอก
พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเราสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น”
(คัดลอกบางตอนมาจาก “ใต้ร่มโพธิญาณ” ใน ข่าวสารกัลยาณธรรม
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ , หน้า ๕๔-๕๕)
*******************************************************************************
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เรื่องฉันเนื้อฉันปลา วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
...เรื่องฉันเนื้อฉันปลานี้ก็มีในพุทธบัญญัติแล้ว พระเทวทัตมาขอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ทำตามจึงได้แยกจากพระพุทธเจ้า
๑) ให้พระอยู่ในป่าเป็นวัตร เป็นประจำชีวิตตั้งแต่วันบวช เข้าบ้านเป็นผิด พระองค์ก็อนุญาตไม่ได้ เพราะพระเกิดมากับญาติกับโยม พระมีความเคลื่อนไหวไปมาได้ ตถาคตเองก็อยู่ได้ทั้งป่าทั้งบ้านเกี่ยวกับโลกสงสาร แน่ะ เราอนุญาตไม่ได้
๒) ไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา ถ้าฉันเป็นผิด อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดมาตามที่อธิบายผ่านมาแล้ว พระองค์ยังทรงเล็งญาณดูอีกนะ เอาย่อๆ นักปฏิบัติภาวนาจะรู้เรื่องของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ได้เต็มกำลังของตัวเอง
ขอไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา คือเนื้อปลาเหล่านี้ สัตว์บางประเภทๆ นี้ รายไหนตายไปเนื้อหนังของเขา เขาหวังประโยชน์จากเนื้อหนังของเขาตลอด เวลาได้นี้ไปทำบุญให้ทานเขามีหวังได้รับ ถ้าปิดเสียนี้ทางเดินของเขาที่จะได้บุญได้กุศลไม่มี
เอ้าไม่ต้องพูดไกลละ คุณแม่แก้วก็เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนั่นแหละ แกนั่งภาวนาอยู่ตอนเช้า
มีบุรุษคนหนึ่งเข้ามาขอ คุณแม่ นี่ผมเป็นหมูถูกนายบินยิงอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น ที่ห้วยทรายนะ ไปเผลอตัวถูกเขายิงตาย เวลาผมตายแล้วนี้เขาเอาเนื้อหนังมาถวาย ขอให้ฉันฉลองเมตตาให้ผมด้วย นี่เห็นไหมล่ะ ผมตายด้วยความพลั้งเผลอ คือหิวน้ำไปกินน้ำเขาฆ่าตาย เขายิง
พอตื่นเช้ามาก็เรียกหมู่เพื่อนมา ทำไมแปลกๆ อย่างนี้ มันจะจริงไหม มันเป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ แกก็เล่าให้เขาฟัง ไม่นานพวกลูกเมียของนายบินที่ฆ่าหมูตายแล้วเอาเนื้อมาถวายสำนักแม่ชี
นี่เนื้ออะไร โอ๋ย เนื้อหมูนี่ไอ้บินมันไปฆ่า ได้หมูมาจากภูเขานั้นๆ เลยเอามาทำบุญให้ทาน เป็นไงเข้ากันได้ไหมล่ะ ตรงเป๋งเลย ชื่อไอ้บินจริงๆ ยิงหมูตายแล้ว ทางนี้มาบอกไว้ก่อน เวลาเขาเอาเนื้อมาทานนี้ให้ฉลองศรัทธาให้ผมหน่อย ผมจะได้มีส่วนบุญส่วนกุศลจากเนื้อนี้ ผมสุดวิสัยตายไปแล้ว บุญกุศลจะเป็นเครื่องหนุนผม เวลาเขาเอามาถวายขอให้คุณแม่ช่วยฉลองให้หน่อย
พอพระออกบิณฑบาตกลับมานี้ เขาก็เอาเนื้อหมูมา เราซักใหญ่เลยที่นี่เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นสักครู่ พูดกันยังไม่จบ มาก็เรื่องเข้ากันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อย่างนี้เป็นต้น เข้าใจไหม มันลึกลับ สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้นจะห้ามกันได้ยังไง
เมื่อห้ามอันนี้ความมุ่งหมายของสัตว์ที่ตายไปแล้วจะไม่มีทางก้าวเดิน ไม่มีทางออก เข้าใจไหม ต้องอาศัยบุญกุศลจากเนื้อหนังของเขาที่ตายไปแล้วนั้นมาหนุนตัวเองไปอีก เข้าใจเหรอ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงห้ามเรื่องการฉันเนื้อฉันปลา คือพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตคำขอของพระเทวทัต เอาสดๆ ร้อนๆ มาพูดนี่ พระพุทธเจ้าทราบด้วยญาณ อันนี้เรายกมาเพียงตัวอย่างย่อๆ เพียงเท่านี้ นี่ละเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ
มีความเห็นจากผู้ตั้งกระทู้นี้
"ในชาดกเรื่อง สสปัณฑิต สมัยที่องค์พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย โดยให้ชีวิตเป็นทานนั้น หากทุกคนเป็นมังสวิรัตหมด การให้ทานของพระองค์ก็สูญเปล่าแน่"
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2838&CatID=2
*******************************************************************************
หลวงพ่อพุธการรับประทานมังสวิรัติดีหรือไม่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35664
การปฏิบัติงดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์นี้เป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขอสนับสนุน
แต่ปัญหาสำคัญว่า ผู้ปฏิบัติแล้วอย่าเอาความดีที่เราปฏิบัติไปเที่ยวข่มขู่คนอื่น
การปฏิบัติอันใดปฏิบัติแล้วอย่าถือว่าข้อวัตรปฏิบัติของตนดีวิเศษ
แล้วเที่ยวไปข่มขู่คนอื่นนั้น มันกลายเป็นบาป เป็นฉายาแห่งมุสาวาท ไม่ควรทำ
ที่มา... หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม (ธรรมปฏิบัติ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=47844
*******************************************************************************
หลวงปู่หล้า “30.04 ถ้าพระภิกษุไม่กินเนื้อเขาไม่ฆ่ากันหรอก แต่พระภิกษุไม่มีภรรยาทำไมเขาเอากัน“
https://youtu.be/mU6X0P-ajdY
*******************************************************************************
เราควรกินอาหารแค่สามมื้อต่อวัน ไม่ควรมากกว่านี้ แม้แค่ลูกอมหนึ่งเม็ดก็ไม่ควร แต่ในระหว่างมื้อ เราสามารถดื่มน้ำผลไม้ได้สองครั้ง นั่นคือศักยภาพ หรือความสามารถที่ร่างกายภายในของเราจะแบกรับไว้ได้มากที่สุด ดูฉบับสมบูรณ์ที่นี่ http://www.organicthailand.com/webboard_167489_1279_th?lang=enอยู่มาแกสมาทานมังสาวิรัต แล้วชักชวนผู้เขียน (หลวงปู่เทสก์) ทำอย่างแกบ้าง
ผู้เขียนบอกว่า เมื่อผู้เขียนทำอย่างนั้นแล้วเขาต้องตามปฏิบัติผู้เขียนนะ
เพราะผู้เขียนหากินเองอย่างเขาไม่ได้ เขาได้ถามปัญหาว่า
(๑๐) ถาม รับประทานมังสวิรัติผิดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ
หลวงปู่ตอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก จะต้องอธิบายกันมากจึงจะเข้าใจ
คนเกิดมาในโลกนี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กินเลือดเนื้อของผู้อื่นทั้งสิ้น
เดิมแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาก็กินอาหารของมารดา
ที่ซึมซาบเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายจึงเติบโตขึ้นมาได้
คลอดออกมาแล้วจนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เช่นนั้นเหมือนกัน
พึ่งมาปฏิวัติรับประทานมังสาวิรัตเมื่อโตขึ้นมานี่เอง
เรื่องนี้จึงเป็นความฝ่าฝืนความรู้สึกของคนส่วนมาก
เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่
พระเทวทัตก็เคยเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาให้พระพุทธองค์
ได้ทรงอนุมัติแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ไม่ทรงอนุญาต
จึงได้ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า พระสงฆ์องค์ใดเห็นดีกับเราก็ไปกับเรา
ภิกษุที่บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมวินัยจึงได้ติดตามพระเทวทัตไป
นั่นก็โลกแตกครั้งหนึ่งล่ะ ผลที่สุดพระเทวทัตถึงแก่มรณภาพไป
พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเห็นความอาฆาตของพระเทวทัตซึ่งมีต่อพระพุทธเจ้า
จึงกลับเข้ามาหาพระพุทธเจ้าอีก
ฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัททั้งหลาย
จึงไม่ควรยกเอาคำนี้ขึ้นมากล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
มันจะเป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน
ส่วนฆราวาสนั้นก็ปล่อยเขาตามเรื่อง
ถ้าหากรับประทานมังสาวิรัตเฉพาะตน เพื่อทรมานตน
เพราะจิตใจของตนมันชอบการทรมานอย่างนั้นก็สมควรอยู่
ถ้าอ้างว่ามังสาวิรัตเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้เขียนก็ขอร้องเถิด
มันจะกลายเป็นวังคศาสนาไป มิใช่สัตถุศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริง
มังสาวิรัตนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านก็รู้ดีเหมือนกันว่าคนในสมัยนั้นเขานิยมกันขนาดไหน และเขาปฏิบัติกันได้ มากน้อยเพียงใด
พระองค์จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุฉันเนื้อได้โดยปราศจากโทษ ๓ ประการ
๑. โดยไม่ได้ใช้ให้เขาฆ่ามาเพื่อตน
๒. โดยไม่ได้เห็นได้ยินเขาฆ่าเพื่อตน
๓. โดยไม่สงสัยเขาจะฆ่าเพื่อให้ตน
เมื่อพ้นจากโทษ ๓ ประการนี้แล้วฉันได้
ถึงเราจะกินและไม่กิน ทั้งโลกนี้โดยส่วนมากเขาก็ฆ่ากันอยู่อย่างนั้น
พระยังชีพเนื่องด้วยคนอื่น ถ้าไปในถิ่นที่เขารับประทานเนื้อ
พระที่ฉันมังสาวิรัตก็จะอยู่ด้วยกับเขามิได้
และคนที่จะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามิใช่มีแต่พวกมังสาวิรัต
มีทั้งมังสาวิรัตและรับประทานเนื้อด้วย
คนเหล่านั้นถ้าหากฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจดี
แล้วก็จะไม่เป็นอุปสรรคแก่กันและกัน
สำหรับพระภิกษุพระวินัยสิกขาบทของพระยังมีมากที่ยังปฏิบัติไม่ครบถ้วน
ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มายกโทษซึ่งกันและกัน
ผู้เขียนจะยกเรื่องพระคณาจารย์ฉันมังสาวิรัตองค์หนึ่งมาเล่าสู่ให้ฟัง
เมื่อราว ๔๐ กว่าปีมานี้เอง ทีแรกท่านก็ฉันตามธรรมดาๆ อย่างเราท่านทั้งหลายฉันกันอยู่อย่างนี้แหละ
เมื่อพระโลกนารถเข้ามาเมืองไทยมีคุณนายคนหนึ่งไปเรียนกินเจกับพระโลกนารถแล้วทำถวายท่าน
ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากหลาย ลูกศิษย์เหล่านั้นก็เลยทำตามพระองค์นั้น
ต่อมาท่านชักชวนหมู่เพื่อนให้ทำตาม เมื่อหมู่เพื่อนไม่ทำตามก็หาว่าย่อหย่อนต่อการปฏิบัติ
ท่านก็เลยดีคนเดียว หมู่เพื่อนคบค้าสมาคมไม่ได้ ลูกศิษย์ลูกหาค่อยๆ หายไปๆ
จะไปรุกขมูลทางไหนต้องให้พระล่วงหน้าไปก่อน
บอกชาวบ้านว่าท่านอาจารย์ท่านฉันเจ
ต้องจัดหาอาหารอย่างนั้นๆ เว้นอย่างนั้นๆ ท่านถึงจะฉันได้
เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านที่เขาไม่รู้ เขาเอาห่อเนื้อมาใส่บาตรให้
ท่านก็จับเอาของเขาปาทิ้งเสีย ทีหลังเขาเลยพากันไม่ใส่บาตร
เห็นท่านเดินมาเขาพากันมองหน้าท่านเป็นแถวเลย
อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำเกินควร ไม่สมแก่สมณะสารูปผู้สำรวมเลย
เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติต่อ
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ธรรมอย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้เราได้ทำมาแล้ว
ซึ่งไม่มีใครจะทำได้เหมือนเรา แต่ก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได้
ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน
ธรรม ๔ อย่าง คือ
เกลียดอย่างยิ่ง ๑
กลัวอย่างยิ่ง ๑
ระวังอย่างยิ่ง ๑
ตบะอย่างยิ่ง ๑
เกลียดอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ เห็นร่างกายของตนและของคนอื่นเป็นของน่าเกลียด
และทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นของน่าเบื่อหน่ายแทบจะอยู่ไม่ได้เสียเลย
นั่นเรียกว่า เห็นหน้าเดียว
คนทั้งโลกพร้อมด้วยตัวของเราทำไม่จึงอยู่มาได้จนบัดนี้ เขาโง่หรือตัวเราโง่
ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้วเกิดสลดสังเวชเบื่อหน่าย
ถอนความยินดีในโลกด้วยอุบายแยบคายอันชอบแล้ว
กลัวอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ กลัวบาปอกุศลแม้แต่อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็กลัว
เป็นต้นว่าจะยกย่างเดินเหิรไปมาที่ไหนก็กลัวจะไปเหยียบมดและตัวแมลงต่างๆ ให้ตายเป็นอาบัติ นั่นเรียกว่า ระวังส่งออกไปนอก
พระวินัยท่านสอนให้ระวังที่ใจถ้าไม่มีเจตนาแกล้งทำให้ล่วงเกินก็ไม่เป็นอาบัติ
ระวังอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดกิเลสบาปอกุศลทั้งหลาย
ซึ่งมันล่องลอยมาตาม อายตนะทั้ง ๖ นี้
ระวังจนไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินสิ่งต่างๆ จนเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว
เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านก็เอาตาลปัตรบังหน้าไว้ กลัวมันจะเห็นคน
อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิงหลอกเจ้า กิเลสมันไม่ได้เกิดขึ้นที่อายตนะ แต่มันจะเกิดที่ใจต่างหาก
ขอโทษเถิด คนตายแล้วให้ผู้หญิงคนสวยๆ ไปนอนด้วย มันก็นิ่งเฉย
ผู้หญิงที่ไปนอนกลับกลัวเสียอีก
ตบะอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ นักพรตที่ทำความเพียรเร่งบำเพ็ญตบะธรรมที่จะให้พ้นจากทุกข์ในเดี๋ยวนั้น
ทำความเพียรตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ไม่คิดถึงชีวิตชีวาเลย
เหมือนกับกิเลสมันเป็นตัวเป็นตนวิ่งจับผูกเอามาได้ฉะนั้น
แท้จริงกิเลสมันวิ่งเข้ามาซุกอยู่ในความเพียร (คือ ความอยากพ้นจากทุกข์) นั่นเอง
ไม่รู้ตัวมัน ความอยาก ทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา
ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน
ความเกลียด ความกลัว ความระวัง และตบะ อย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้
พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
จึงละเสีย แล้วทรงปฏิบัติทางสายกลางจึงทรงสำเร็จพระโพธิญาณ
๒. โดยไม่ได้เห็นได้ยินเขาฆ่าเพื่อตน
๓. โดยไม่สงสัยเขาจะฆ่าเพื่อให้ตน
เมื่อพ้นจากโทษ ๓ ประการนี้แล้วฉันได้
ถึงเราจะกินและไม่กิน ทั้งโลกนี้โดยส่วนมากเขาก็ฆ่ากันอยู่อย่างนั้น
พระยังชีพเนื่องด้วยคนอื่น ถ้าไปในถิ่นที่เขารับประทานเนื้อ
พระที่ฉันมังสาวิรัตก็จะอยู่ด้วยกับเขามิได้
และคนที่จะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามิใช่มีแต่พวกมังสาวิรัต
มีทั้งมังสาวิรัตและรับประทานเนื้อด้วย
คนเหล่านั้นถ้าหากฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจดี
แล้วก็จะไม่เป็นอุปสรรคแก่กันและกัน
สำหรับพระภิกษุพระวินัยสิกขาบทของพระยังมีมากที่ยังปฏิบัติไม่ครบถ้วน
ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มายกโทษซึ่งกันและกัน
ผู้เขียนจะยกเรื่องพระคณาจารย์ฉันมังสาวิรัตองค์หนึ่งมาเล่าสู่ให้ฟัง
เมื่อราว ๔๐ กว่าปีมานี้เอง ทีแรกท่านก็ฉันตามธรรมดาๆ อย่างเราท่านทั้งหลายฉันกันอยู่อย่างนี้แหละ
เมื่อพระโลกนารถเข้ามาเมืองไทยมีคุณนายคนหนึ่งไปเรียนกินเจกับพระโลกนารถแล้วทำถวายท่าน
ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากหลาย ลูกศิษย์เหล่านั้นก็เลยทำตามพระองค์นั้น
ต่อมาท่านชักชวนหมู่เพื่อนให้ทำตาม เมื่อหมู่เพื่อนไม่ทำตามก็หาว่าย่อหย่อนต่อการปฏิบัติ
ท่านก็เลยดีคนเดียว หมู่เพื่อนคบค้าสมาคมไม่ได้ ลูกศิษย์ลูกหาค่อยๆ หายไปๆ
จะไปรุกขมูลทางไหนต้องให้พระล่วงหน้าไปก่อน
บอกชาวบ้านว่าท่านอาจารย์ท่านฉันเจ
ต้องจัดหาอาหารอย่างนั้นๆ เว้นอย่างนั้นๆ ท่านถึงจะฉันได้
เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านที่เขาไม่รู้ เขาเอาห่อเนื้อมาใส่บาตรให้
ท่านก็จับเอาของเขาปาทิ้งเสีย ทีหลังเขาเลยพากันไม่ใส่บาตร
เห็นท่านเดินมาเขาพากันมองหน้าท่านเป็นแถวเลย
อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำเกินควร ไม่สมแก่สมณะสารูปผู้สำรวมเลย
เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติต่อ
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ธรรมอย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้เราได้ทำมาแล้ว
ซึ่งไม่มีใครจะทำได้เหมือนเรา แต่ก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได้
ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน
ธรรม ๔ อย่าง คือ
เกลียดอย่างยิ่ง ๑
กลัวอย่างยิ่ง ๑
ระวังอย่างยิ่ง ๑
ตบะอย่างยิ่ง ๑
เกลียดอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ เห็นร่างกายของตนและของคนอื่นเป็นของน่าเกลียด
และทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นของน่าเบื่อหน่ายแทบจะอยู่ไม่ได้เสียเลย
นั่นเรียกว่า เห็นหน้าเดียว
คนทั้งโลกพร้อมด้วยตัวของเราทำไม่จึงอยู่มาได้จนบัดนี้ เขาโง่หรือตัวเราโง่
ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้วเกิดสลดสังเวชเบื่อหน่าย
ถอนความยินดีในโลกด้วยอุบายแยบคายอันชอบแล้ว
กลัวอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ กลัวบาปอกุศลแม้แต่อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็กลัว
เป็นต้นว่าจะยกย่างเดินเหิรไปมาที่ไหนก็กลัวจะไปเหยียบมดและตัวแมลงต่างๆ ให้ตายเป็นอาบัติ นั่นเรียกว่า ระวังส่งออกไปนอก
พระวินัยท่านสอนให้ระวังที่ใจถ้าไม่มีเจตนาแกล้งทำให้ล่วงเกินก็ไม่เป็นอาบัติ
ระวังอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดกิเลสบาปอกุศลทั้งหลาย
ซึ่งมันล่องลอยมาตาม อายตนะทั้ง ๖ นี้
ระวังจนไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินสิ่งต่างๆ จนเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว
เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านก็เอาตาลปัตรบังหน้าไว้ กลัวมันจะเห็นคน
อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิงหลอกเจ้า กิเลสมันไม่ได้เกิดขึ้นที่อายตนะ แต่มันจะเกิดที่ใจต่างหาก
ขอโทษเถิด คนตายแล้วให้ผู้หญิงคนสวยๆ ไปนอนด้วย มันก็นิ่งเฉย
ผู้หญิงที่ไปนอนกลับกลัวเสียอีก
ตบะอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ นักพรตที่ทำความเพียรเร่งบำเพ็ญตบะธรรมที่จะให้พ้นจากทุกข์ในเดี๋ยวนั้น
ทำความเพียรตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ไม่คิดถึงชีวิตชีวาเลย
เหมือนกับกิเลสมันเป็นตัวเป็นตนวิ่งจับผูกเอามาได้ฉะนั้น
แท้จริงกิเลสมันวิ่งเข้ามาซุกอยู่ในความเพียร (คือ ความอยากพ้นจากทุกข์) นั่นเอง
ไม่รู้ตัวมัน ความอยาก ทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา
ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน
ความเกลียด ความกลัว ความระวัง และตบะ อย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้
พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
จึงละเสีย แล้วทรงปฏิบัติทางสายกลางจึงทรงสำเร็จพระโพธิญาณ
*******************************************************************************
กินเจ...กินเนื้อ - "กบ" กับ "คางคก" พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=34808
วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชาเกี่ยวกับเรื่องการกินเจกับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร
อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด
เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างกันมากมายหลายแห่ง
บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัคว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติเว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด
บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้
ท่านตอบว่า
“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน
ความจริงแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว
การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้
ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา
นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว
ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อ ก็รังเกียจและโกรธเขา ไปด่าว่านินทาเขา
เอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา
ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน
การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้น มันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา
เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน
มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก”
“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ
คนกินเนื้อก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป
อย่าถึงกับฆ่าเขากิน
ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้ อย่าให้คิดอยูในการกระทำภายนอก
พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร
ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเราสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย ก็จะเกิดขึ้น
จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น”
(คัดลอกบางตอนมาจาก “ใต้ร่มโพธิญาณ” ใน ข่าวสารกัลยาณธรรม
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ , หน้า ๕๔-๕๕)
*******************************************************************************
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เรื่องฉันเนื้อฉันปลา วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
...เรื่องฉันเนื้อฉันปลานี้ก็มีในพุทธบัญญัติแล้ว พระเทวทัตมาขอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ทำตามจึงได้แยกจากพระพุทธเจ้า
๑) ให้พระอยู่ในป่าเป็นวัตร เป็นประจำชีวิตตั้งแต่วันบวช เข้าบ้านเป็นผิด พระองค์ก็อนุญาตไม่ได้ เพราะพระเกิดมากับญาติกับโยม พระมีความเคลื่อนไหวไปมาได้ ตถาคตเองก็อยู่ได้ทั้งป่าทั้งบ้านเกี่ยวกับโลกสงสาร แน่ะ เราอนุญาตไม่ได้
๒) ไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา ถ้าฉันเป็นผิด อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดมาตามที่อธิบายผ่านมาแล้ว พระองค์ยังทรงเล็งญาณดูอีกนะ เอาย่อๆ นักปฏิบัติภาวนาจะรู้เรื่องของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ได้เต็มกำลังของตัวเอง
ขอไม่ให้ฉันเนื้อฉันปลา คือเนื้อปลาเหล่านี้ สัตว์บางประเภทๆ นี้ รายไหนตายไปเนื้อหนังของเขา เขาหวังประโยชน์จากเนื้อหนังของเขาตลอด เวลาได้นี้ไปทำบุญให้ทานเขามีหวังได้รับ ถ้าปิดเสียนี้ทางเดินของเขาที่จะได้บุญได้กุศลไม่มี
เอ้าไม่ต้องพูดไกลละ คุณแม่แก้วก็เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัว ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนั่นแหละ แกนั่งภาวนาอยู่ตอนเช้า
มีบุรุษคนหนึ่งเข้ามาขอ คุณแม่ นี่ผมเป็นหมูถูกนายบินยิงอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น ที่ห้วยทรายนะ ไปเผลอตัวถูกเขายิงตาย เวลาผมตายแล้วนี้เขาเอาเนื้อหนังมาถวาย ขอให้ฉันฉลองเมตตาให้ผมด้วย นี่เห็นไหมล่ะ ผมตายด้วยความพลั้งเผลอ คือหิวน้ำไปกินน้ำเขาฆ่าตาย เขายิง
พอตื่นเช้ามาก็เรียกหมู่เพื่อนมา ทำไมแปลกๆ อย่างนี้ มันจะจริงไหม มันเป็นอย่างนั้นเมื่อคืนนี้ แกก็เล่าให้เขาฟัง ไม่นานพวกลูกเมียของนายบินที่ฆ่าหมูตายแล้วเอาเนื้อมาถวายสำนักแม่ชี
นี่เนื้ออะไร โอ๋ย เนื้อหมูนี่ไอ้บินมันไปฆ่า ได้หมูมาจากภูเขานั้นๆ เลยเอามาทำบุญให้ทาน เป็นไงเข้ากันได้ไหมล่ะ ตรงเป๋งเลย ชื่อไอ้บินจริงๆ ยิงหมูตายแล้ว ทางนี้มาบอกไว้ก่อน เวลาเขาเอาเนื้อมาทานนี้ให้ฉลองศรัทธาให้ผมหน่อย ผมจะได้มีส่วนบุญส่วนกุศลจากเนื้อนี้ ผมสุดวิสัยตายไปแล้ว บุญกุศลจะเป็นเครื่องหนุนผม เวลาเขาเอามาถวายขอให้คุณแม่ช่วยฉลองให้หน่อย
พอพระออกบิณฑบาตกลับมานี้ เขาก็เอาเนื้อหมูมา เราซักใหญ่เลยที่นี่เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นสักครู่ พูดกันยังไม่จบ มาก็เรื่องเข้ากันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อย่างนี้เป็นต้น เข้าใจไหม มันลึกลับ สัตว์ทั้งหลายที่ตายไปนั้นจะห้ามกันได้ยังไง
เมื่อห้ามอันนี้ความมุ่งหมายของสัตว์ที่ตายไปแล้วจะไม่มีทางก้าวเดิน ไม่มีทางออก เข้าใจไหม ต้องอาศัยบุญกุศลจากเนื้อหนังของเขาที่ตายไปแล้วนั้นมาหนุนตัวเองไปอีก เข้าใจเหรอ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ทรงห้ามเรื่องการฉันเนื้อฉันปลา คือพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตคำขอของพระเทวทัต เอาสดๆ ร้อนๆ มาพูดนี่ พระพุทธเจ้าทราบด้วยญาณ อันนี้เรายกมาเพียงตัวอย่างย่อๆ เพียงเท่านี้ นี่ละเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับ
มีความเห็นจากผู้ตั้งกระทู้นี้
"ในชาดกเรื่อง สสปัณฑิต สมัยที่องค์พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย โดยให้ชีวิตเป็นทานนั้น หากทุกคนเป็นมังสวิรัตหมด การให้ทานของพระองค์ก็สูญเปล่าแน่"
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2838&CatID=2
*******************************************************************************
หลวงพ่อพุธการรับประทานมังสวิรัติดีหรือไม่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35664
การปฏิบัติงดเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์นี้เป็นข้อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ขอสนับสนุน
แต่ปัญหาสำคัญว่า ผู้ปฏิบัติแล้วอย่าเอาความดีที่เราปฏิบัติไปเที่ยวข่มขู่คนอื่น
การปฏิบัติอันใดปฏิบัติแล้วอย่าถือว่าข้อวัตรปฏิบัติของตนดีวิเศษ
แล้วเที่ยวไปข่มขู่คนอื่นนั้น มันกลายเป็นบาป เป็นฉายาแห่งมุสาวาท ไม่ควรทำ
ที่มา... หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม (ธรรมปฏิบัติ)http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=47844
*******************************************************************************
หลวงปู่หล้า “30.04 ถ้าพระภิกษุไม่กินเนื้อเขาไม่ฆ่ากันหรอก แต่พระภิกษุไม่มีภรรยาทำไมเขาเอากัน“
https://youtu.be/mU6X0P-ajdY
เคล็ดลับของผมคืออะไร เคล็ดลับก็คือ ผมไม่เคยกินอาหารเกินสามมื้อ
อาหารหลักคือผลไม้สองมื้อ อาหารปรุงสุกหนึ่งมือ
ตอนเช้าเริ่มด้วยการดื่มน้ำมะพร้าว หรือน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว แปดโมงทานผลไม้
มื้อเที่ยงกินข้าวกับผัก
มื้อเย็นเป็นผลไม้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ร่างกายของเราสามารถทำงานติดต่อกันได้โดยไม่มีปัญหาอะไรด้วยอาหารเหล่านี้
ฉะนั้น เราควรลดปริมาณอาหารลง
สำหรับคนทั่วไปสามารถทานอาหารปรุงสุกสองมื้อ อย่างน้อยผลไม้หนึ่งมื้อ ไม่ควรกินข้าวทั้งสามมื้อ
อาหารที่ปรุงสุกไว้เกินสามชั่วโมง นั่นคือสารพิษ ไม่ควรกินต่อไป
เราสามารถปรับได้คือกินข้าวในมื้อเย็น กินผลไม้ในมื้อกลางวัน
มีคนเป็นพันๆคนนำผัก ผลไม้ไปทานที่ทำงาน แทนที่จะเป็นข้าวกล่อง
หรือไม่มื้อเช้าเราก็สามารถกินข้าวได้ เราใช้วิธีเหล่านี้ปรับเปลี่ยนได้
http://www.organicthailand.com/webboard_167489_1279_th?lang=en
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น