1:18 เจอเภสัชกรคนหนึ่ง หน้าตากวนตีนมาก อายุน้อยกว่าผม แต่กวนตีนมาก กว่าผม ผมบอกว่า ซื้อยาแก้กรดไหลย้อนครับ
เภสัชกร:เอาเกรดไหน มี3เกรด ถูก กลาง แพง คุณภาพยา ขึ้นกับราคา ว่าไงฮึ
ผมก็เลยกวนตีนกลับไปว่า เอาเกรดไหนก็ได้ ที่กินแล้วหายน่ะ
เภสัชกร:ไม่มี ไม่มี โรคนี้ยาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต
ผมหันไปจ้องหน้ามัน เพราะสะดุดกับคำว่า ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไป ตลอดชีวิต
ผมก็เลยถามว่า มันมีการรักษาด้วยวิธีอื่นเหรอ มันค่อยๆชายตามองผม ด้วยสายตาดูถูกอย่างรุนแรง แล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนฟังว่า
คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เกิดจากนิสัยชั่ว5อย่าง
1.กินข้าวไม่ตรงเวลา
2.กินอาหารรสจัดมากๆ โดยเฉพาะเผ็ดจัดมากเกินไป
3.กินมากเกินไป
4.กินแล้วเข้านอนทันที.
5.เครียดตลอดเวลา
ถ้าอยากหาย ให้ไปเปลี่ยนนิสัย ไม่ต้องกินยา ผมกัดฟันแน่น จ้องหน้ามัน พร้อมกับนึกในใจว่า
ทำไมมึงถึงกวยตีน อย่างนี้วะ ผมคิดในใจ แล้วค่อยๆเปิดประตู เดินออกจากร้านไป 10วันผ่านไป ผมไปบรรยายหลายงานหลายจังหวัด คืนหนึ่งกลับเข้าบ้าน ดึกแล้ว ผ่านร้านขายยา ผมรีบจอดรถ เดินเข้าไปในร้าน เจอไอ้เภสกวนตีนคนเดิมเต็มๆ มันหันมาเห็นผม แล้วพูดกับผมว่า เอ้าเป็นไง โรคกรดไหลย้อน ผมปรี่เข้าประชิดตัว แล้วยกมือพนม พร้อมกับก้มหัว บอกมันว่า ขอบพระคุณมากครับ หายแล้วครับ พูดได้แค่นั้น แล้วก็จุกอยู่ที่คอ พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ แล้วรีบเดินออกจากร้าน เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมยกมือไหว้คนขายยา คนที่อายุน้อยกว่าผมมาก ผมพูดอะไรไม่
ออก แต่ผมเชื่อว่า ไอ้เภสัชหนุ่มนี่ มันรู้ ว่าผมจะพูดอะไร มันสามารถสูบเงินจากผมได้เป็น100,000 แล้วก็ทำกำไรมหาศาล แต่มันไม่ทำ มันเลือกที่จะช่วยผมให้หายป่วย โดยไม่ได้เงินสักบาท
(4:00) การดำเนินชีวิตของผมตอนนี้
1.กินข้าวตรงเวลาทุกมื้อ
2.กินอาหารจืด ไม่กินรสจัด เผ็ดจัด
3.กินแค่จานเดียวเลิก ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม
4.มื้อสุดท้ายกินก่อน18:00น. แล้วไม่กินอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม 5.อารมณ์ดีตลอด ยิ้มหัวเราะ ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน
(4:32) ผลที่เกิดตามมาก็คือ พุงผมหายไป ไม่มีหน้าท้อง ไม่อึดอัด สุขภาพดีขึ้น ไม่เป็นโรคอ้วน บุคคลิกภาพดีขึ้น ความมั่นใจดีขึ้นเวลาเข้าสังคม หายใจสะดวก ไม่แน่นท้องเหมือนก่อน ไม่ง่วงนอน ไม่อ่อนเพลียในเวลาทำงานเหมือนก่อน การทำงานและการเคลื่อนไหวร่างกาย คล่องตัวขึ้น ที่สำคัญคือชีวิตผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย
นี่แหละคือเหตุผลที่ผมต้องไหว้ไอ้เวรนี่ตลอดชีวิต ไม่ว่ากูจะเจอมึงที่ไหน
สิ่งมีค่าที่สุดที่มันมอบให้ผมก็คือ
โรคภัยไข้เจ็บ90%ของมึงเนี่ยะ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากเชื้อเลวในการดำเนินชีวิตของมึงทั้งนั้นแหละ
ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามธรรมชาติ มีสุขนิสัยที่ดี คุณจะไม่ป่วย ไม่เป็นโรค
แล้วก็ไม่ต้องไปหาหมอ หมอและยา เขามีไว้รักษาและขายให้กับคนโง่
รุ้ง8สี.มึงป่วยเพราะมึงโง่
https://youtu.be/4J5FQdBWCMs
(07:14) พระกรรมฐานท่านไม่เคยเป็นมะเร็ง เพราะท่านดีท็อกซ์ ล้างพิษอารมณ์อยู่ทุกวัน ...ท่านไม่มีอารมณ์(=โลภ โกรธ หลง เป็นผู้เบิกบานทุกเรื่องทุกปัญหาทั้งกายและใจ หลวงปู่มีทางแก้ไข)
มะเร็งโรคของคนมีความเครียดสูง โรคของคนในเมือง
การหยุดสร้างเซลมะเร็ง จะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต
ในเรื่องของอาหารทำให้เสียความสมดุลมากๆจะก่อมะเร็งขึ้น อารมณ์ การรู้จักตัวเอง การปล่อยวางการออกกำลังกาย
รายการไกลหมอ ตอนไกลมะเร็ง
https://youtu.be/ginQ7SiuJzE
*********************
ปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด
เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผม(หมอสันต์)สรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย…ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง
ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์
เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้ รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย
ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย
ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็น ของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่ง เรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุ ที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำ ให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้ เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่น เลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดิน ไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ
ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย
ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสีย ไม่ดีกว่าหรือ
คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มที่ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว หรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย
จาก: http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น