น้ำมะละกอดิบ,ไม่ผสมน้ำผึ้ง,ไม่ผสมเกลืือและน้ำตาล
https://youtu.be/cOGmhc9hvpM
เอนไซม์จากธรรมชาติ หมอบุญชัย
https://youtu.be/aDuK8PCTKw4
เรื่องนำ้หมัก
พระอาจารย์:ที่นี่ทำน้ำเอนไซม์จะใส่น้ำผึ้ง ใส่ของหอมๆลงไป น้ำมะลิให้มีกลิ่นหอม
ถาม:น้ำเอนไซม์มีประโยชน์อะไร ยังไง
ตอบ:ร่างกายต้องมีเอนไซม์ เอนไซม์จากตับ ย่อยส่วนหนึ่ง เพื่อจับสารเคมีส่วนหนึ่ง
แต่ว่าพวกเราปัจจุบันนี้ดำเนินชีวิต สารเคมีเยอะมาก ต้องช่วยร่างกาย
เราก็เอาเอนไซม์ที่เป็นธรรมชาติเนี่ยใส่ลงไป ให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้นอีกเล็กน้อย(=ฤทธิ์ร้อน) ขับเคลื่อนของเสียได้เลย ล้างลำไส้ได้ ล้างไขมันได้ อะไรได้(=ป้าม้วนกินแล้วขับถ่ายสะดวก)
เอนไซม์เป็นพลังชีวิต ทำให้ร่างกายเรากระตือรือล้นขึ้น เพิ่มกระดูกให้อีออนสั่นไหวมากขึ้น ดีขึ้น ช่วยลดความร้อนแรงน้อยลง
ถาม:โรคที่มีความร้อนข้างใน เช่น มะเร็ง
ตอบ:ใช้ได้ผลเลย คนทั่วไปทำได้ ผลไม้ที่เหลือๆใส่น่ำตาลลงไป ทำให้สะอาด ไม่ใช่ปล่อยจนเป็นหนอน ให้อากาศเข้าได้บ้าง ปิดกรองฝุ่นละออง ถ้าให้คุณภาพดี ใช้น้ำแร่ น้ำสะอาด น้ำฝน
ถาม:บางคนเอามาทาหน้า
ตอบ:ได้ มันกัดกินเซลที่ตายๆ พวกนี้เหมือนไดรโว่
ถาม:ใช้แล้วผิวจะบางไหม
ตอบ:ใช้แล้วก็ล้างออก ห้ามหมักหมมตลอด ใช้5-10นาทีล้างออก แม้แต่สะเก็ดเงิน
ถาม:ใครที่จำเป็นต้องกินเอนไซม์มากที่สุด
ตอบ:คนป่วย พวกไม่ออกกำลังกาย
ถาม:ป่วยโรคอะไรที่ห้าม
ตอบ:เลือดจาง ความดันต่ำ
ถาม:เพราะอะไร
ตอบ:ทำให้เลือดจางมากขึ้น ถ้าจะให้ความดันต่ำกิน ต้องใส่น้ำตาลเพิ่มความหวานเข้าไปเกิดความร้อน เป็นพลังงานได้
พระอาจารย์ชัยณรงค์. ธรรมนิยาม รักษากาย รักษาใจ 2/4
ดูเพิ่มที่
น้ำหมักชีวภาพ กับดร รสสุคนธ์ และป้าเช็ง
*************************************แม่บ้านอินเดีย.วิธีเพาะถั่วงอก
https://youtu.be/aP29TAVvLOI
การเลือกชนิดและพันธุ์ของเมล็ดถั่วเขียวผิวดำ
ปัญหาหลัก ประการแรก ถั่วงอกที่เพาะจากเมล็ดถั่วเขียวผิวดำจะมีลักษณะสีขาว มีความกรอบ และรสชาติดีกว่าถั่วเขียวผิวมันและสีของต้นถั่วงอกที่เพาะจากถั่วเขียวผิวดำจะทนต่อการเปลี่ยนสีได้ดีกว่าและเก็บได้นานกว่าถั่วเขียวผิวมัน (อารดา และคณะ, 2551)
ในปัจจุบันมีการใช้ถั่วเขียวผิวดำเป็นวัตถุดิบสำหรับเพาะถั่วงอกมากขึ้น (สุวิมล และคณะ, 2546)
สาเหตุที่ผู้ผลิตถั่วงอกต้องการเมล็ดถั่วเขียวผิวดำ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวผิวดำ มีราคาต่ำกว่าถั่วเขียวผิวมัน การดูแลรักษาง่ายกว่า นอกจากนี้ถั่วงอกที่เพาะจากถั่วเขียวผิวดำมีความแน่นเนื้อ หรือความกรอบมากกว่า และเก็บรักษาได้นานกว่า
หากเป็นเมล็ดถั่วเขียวที่วางขายทั่วๆไป อาจได้ % การงอกต่ำกว่านี้ เนื่องจากได้ผ่านกรรมวิธี เช่น การผ่านเครื่องอบลดความชื้นสูงเกินไป หรือการอบไล่ความชื้น ส่งผลให้เมล็ดถั่วไม่งอก จะใช้ได้เพียงเพื่อเป็นอาหาร หรือทำขนมได้เท่านั้น
สายพันธุ์ที่นิยม เช่น อู่ทอง,กำแพงแสน 1,กำแพงแสน 2,ชัยนาท,ถั่วที่เพาะได้จะมีสีเหลืองอ่อนๆ แต่ถ้าใช้ถั่วเขียวผิวดำ หรือถั่วแขก เมื่อเพาะออกมา จะออกสีเขียวๆกว่า และลำต้นมีสีขาวโดยไม่ต้องใช้สารฟอกขาว
ส่วนการทำให้ถั่วงอกอวบอ้วนนั้น จะใช้น้ำหนักกดทับ เป็นการช่วยเพิ่มความอ้วนตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้สารถั่วอ้วน และก็จะได้ถั่วงอกที่ปลอดสาร หรือบางตำราก็บอกว่า ถ้าใช้น้ำมะพร้าวผสมหัวไชเท้าบดละเอียด รดถั่วงอก ก็จะทำให้อวบอ้วนได้เช่นกัน เพราะมีสรรพคุณเป็นฮอร์โมนพืช มีสารไซโตแคนนิน เป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นถั่วงอก และเพิ่มการแบ่งเซลได้ดี
ปัญหาหลัก ประการที่ 2 คือ เรื่องการให้น้ำหรือการรดน้ำ ต้องสม่ำเสมอและเพียงพอ มีการเพิ่มออกซิเจนในระหว่างการเพาะ ช่วยระบายอากาศให้ถ่ายเทได้ดี อุณหภูมิในการเพาะที่สูงเกินไป จะทำให้ถั่วงอกเน่าได้
ปัญหาหลัก อีกประการหนึ่ง คือ มีการรมสารเคมีกำจัดแมลงมากเกินไป เมล็ดถั่วเขียวมีความชื้นในเมล็ดมาก และผู้จำหน่ายเมล็ดมีการผสมกันระหว่างถั่วใหม่และถั่วเก่า ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ถั่วเขียวพันธุ์ดี การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการปรับปรุงวิธีการเพาะถั่วงอก
......โดย รองชัช
#########
ถั่วเหลืองเย็นมาก ถ้าจะให่ดีควรผ่านร้อนก่อนปรุง เพื่อเป็นการช่วยให่ย่อยง่ายและไม่ให้เย็นที่มากเกิน จนกระแทกหรือระคายเคืองร่างกาย
ถั่วเหลือง มีไฟเตตย่อยยาก จึงต้องใช้ร้อนช่วยสลายไฟเตตจึงจะกินปลอดภัย เช่น การหมักเป็นเต้าจี้ยว มิโซะ ซีอิ้ว เต้าฮวย(ใส่นำ้ขิงช่วย) เต้าหู้แผ่นใส่สมุนไพรเผ็ดร้อนหรือเครื่องเทศ ส่วนน้ำเต้าหู้ ถ้าระบไฟย่อยเราดีกินแล้วท้องไม่อืด ก็ไม่เป็นไร
ฤทธิ์เย็นมากกว่าถั่วเหลือง(ยกเว้นเห็ดหอมมีฤทธิฺร้อน) การนำมาผ่านความร้อน จะช่วยให้ กินได้อย่างปลอเภัย เช่น ตากแห้ง หรือคั่วน้ำมันงา หรือทอด หลังจากยกออกจากน้ำมันให้โรยเกลือทันที เพื่อดับพิษน้ำมัน แต่เวลากินให้เขี่ยเกลือออก หรือย่าง หรือแกงใส่สมุนไพรเผ็ดร้อน โดยใส่น้ำน้อยๆ หรือทำเป็นน้ำพริกใส่สมุนไพรเผ็ดร้อน
เอนไซม์ : กินถั่วเพาะงอก
ถั่วเพาะงอกเป็นด่าง ลดอาการปวดข้อ
การเพาะงอกเพื่อการบริโภคนั้นเป็นการเพาะที่เน้นกระทั่งเห็นต้นอ่อนของพืชเริ่มงอกเท่านั่นก่อนจะทำมารับประทาน โดยเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดจะใช้เวลาเพาะที่แตกต่างกันไป บ้างก็ 2-3 วัน บ้างก็ 1 อาทิตย์ บ้าง ทั้งนี้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวน้ำจะเป็นตัวทำให้เมล็ดอ่อนลง ส่งผลให้เอ็นไซม์เร่งปฏิกิริยาทางเคมี และนำเอาสารอาหารที่สะสมอยู่ในเมล็ดออกมาใช้
วันนี้ ได้เอาโปรตีนเกษตร ไปผัดทาน รสชาติ ก็ธรรมชาติดี ท้องไม่อืด แต่ เนื้อโปรตีนไม่เกาะตัว
กินถั่ววันละ1กำมือช่วยให้อายุุยืน
ขนมถั่วแปบ
ถั่วเขียวซีกทอด
1. นำถั่วซีก แช่น้ำต้มร้อน ๆ ไว้ค้างคืน เสร็จแล้วนำใส่กระชอน ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ ซัก 30 นาที แล้วซับด้วยกระดาษซับมันอีกที
2. นำถั่วซีกมาคลุกด้วยน้ำมันเล็กน้อย พอให้มีน้ำมันเคลือบ เสร็จแล้วก็นำไปคั่วด้วยไฟกลาง ๆ ไปหาอ่อน จนถั่วเริ่มเปลี่ยนสีน้ำตาลอ่อน ๆ ก็ปิดไฟ
1. ลูกเดือย
ลูกเดือยเป็นธัญพืชกลุ่มที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่นเดียวกับข้าวเจ้า มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว เป็นธัญพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมกำลัง บำรุงอวัยวะภายใน ช่วยขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้หลับสบาย สามารถช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ลูกเดือยยังมีสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ สำหรับสาวๆ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่ช่วยยับยั้งอาการตกขาวระหว่างรอบเดือน และยังมีกรดอะมิโนต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย ให้
มีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตชนิดดี ไขมันดีแคโรทีน ไนอะซิน วิตามินบี1 บี2 และสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง การบริโภคถั่วสีดำช่วยให้อาหารย่อยง่าย และถั่วดำเหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก รวมถึงความคุมของระดับน้ำตาลในเลือด ถั่วสีดำยังสามารถเป็นประโยชน์สำหรับการทำงานของระบบประสาทในร่างกาย
มีประโยชน์เยอะเพราะมีไฟเบอร์ละลายน้ำ ช่วยลดระดับอินซูลีน ซึ่งอินซูลีนกระตุ้นเซลไขมัน ที่สะสมแคลอรี่ ถ้ามีอินซูลีนน้อยลงไขมันจะเพิ่มน้อย ถั่วช่วยอิ่มเร็วขึ้น กินอาหารน้อยลง กินถั่วได้2ถ้วยต่อวัน กินถั่ว25กรัมต่อวัน กินอย่างอื่นได้แต่กินถั่วเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี
ถั่ว/ธัญพืช/ถั่ว งา ข้าวสาลี ข้าว ทานตะวัน เพาะงอกมีเอนไซม์
ถั่วเหลือง
ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองเย็นมาก ถ้าจะให่ดีควรผ่านร้อนก่อนปรุง เพื่อเป็นการช่วยให่ย่อยง่ายและไม่ให้เย็นที่มากเกิน จนกระแทกหรือระคายเคืองร่างกาย
ถั่วเหลือง มีไฟเตตย่อยยาก จึงต้องใช้ร้อนช่วยสลายไฟเตตจึงจะกินปลอดภัย เช่น การหมักเป็นเต้าจี้ยว มิโซะ ซีอิ้ว เต้าฮวย(ใส่นำ้ขิงช่วย) เต้าหู้แผ่นใส่สมุนไพรเผ็ดร้อนหรือเครื่องเทศ ส่วนน้ำเต้าหู้ ถ้าระบไฟย่อยเราดีกินแล้วท้องไม่อืด ก็ไม่เป็นไร
(ใจเพชร มีทรัพย์.ถอดรหัสสุขภาพ1 ร้อน-เย็นไม่สมดุล.หน้า93-94.)
เห็ด
ฤทธิ์เย็นมากกว่าถั่วเหลือง(ยกเว้นเห็ดหอมมีฤทธิฺร้อน) การนำมาผ่านความร้อน จะช่วยให้ กินได้อย่างปลอเภัย เช่น ตากแห้ง หรือคั่วน้ำมันงา หรือทอด หลังจากยกออกจากน้ำมันให้โรยเกลือทันที เพื่อดับพิษน้ำมัน แต่เวลากินให้เขี่ยเกลือออก หรือย่าง หรือแกงใส่สมุนไพรเผ็ดร้อน โดยใส่น้ำน้อยๆ หรือทำเป็นน้ำพริกใส่สมุนไพรเผ็ดร้อน
งา
วันหนึ่งไม่ควรกินเกิน2ช้อนแกง ควรกินงาที่คั่วเป็นเมล็ดหรือบดใหม่ๆไม่เกิน1วัน ไม่ควรกินงาบดทิ้งค้างไว้ อาจจะมีสารก่อมะเร็ง
เอนไซม์ : กินถั่วเพาะงอก
ถั่วเพาะงอกเป็นด่าง ลดอาการปวดข้อ
29 เม.ย.59 เราแช่ถั่วเขียวไว้เมื่อคืน เช้ามีตุ่มงอก
ถั่วแดงและลูกเดือย
วิธีกิน เราปั่นถั่วทั้งหมดกับใบเตย 2 ใบ ใส่น้ำกรอง คั้นแยกกาก ดื่มสดไม่ต้องต้ม 1 ถ้วยกาแฟ ก่อน 6 โมงเย็น และเอาน้ำไปปั่นกับผักผลไม้กับมะขามเปียก กะทิตอนเช้า กินก่อนอาหารเช้าและอาหารกลางวัน
พอเพาะงอก ดูว่ามีติ่งทุกอย่างแล้วก็เอาทุกอย่างมาปั่นรวมกัน เสร็จแล้วก็นำไปต้ม ง่ายเหมือนทำข้าวต้ม แต่แตกต่างตรงที่เราจะเอาวัตถุดิบทุกอย่างไปทำให้งอกก่อน ซึ่งการทำโจ๊กและเครื่องดื่มธัญพืชในลักษณะต้มสดมีข้อดีคือ ทำง่าย สะดวก วัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่น ใช้ระยะเวลาสั้นในการปรุง ทำให้มีคุณค่าทางอาหารและโภชนาการค่อนข้างสูง เพราะไม่ได้ผ่านความร้อนนาน
เอนไซม์ คือตัวเร่งปฏิกิริยาของขบวนการสันดาปในร่างกาย ไม่ว่ามนุษย์ พืชหรือสัตว์ล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องใช้เอนไซม์ในการดำรงชีวิต
เอนไซม์มีความสำคัญต่อการทำงานในทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่การย่อยอาหาร ไปจนถึงการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ถ้าปราศจากเอนไซม์แล้ว ร่างกายจะไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆได้ การทำงานภายในเซลล์จะยุติ และเป็นอันตรายจนถึงขั้นถึงแก่ชีวิตได้ การขาดเอนไซม์บางชนิดจะทำให้ขบวนการทำงานของร่างกายช้าลง ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
เอนไซม์มีความสำคัญต่อการทำงานในทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่การย่อยอาหาร ไปจนถึงการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ถ้าปราศจากเอนไซม์แล้ว ร่างกายจะไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆได้ การทำงานภายในเซลล์จะยุติ และเป็นอันตรายจนถึงขั้นถึงแก่ชีวิตได้ การขาดเอนไซม์บางชนิดจะทำให้ขบวนการทำงานของร่างกายช้าลง ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
เอนไซม์มีหลากหลายชนิดด้วยกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการทำงานของเอนไซม์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น
· เอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยอาหาร : ยกตัวอย่างเช่น ตับอ่อนจะผลิตของเหลวที่เรียกว่า pancreatin ซึ่งประกอบด้วยเอนไซม์หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ เอนไซม์ amylaseทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต เอนไซม์lipaseย่อยไขมัน เอนไซม์ proteaseย่อยโปรตีน ดังนั้นถ้าตับอ่อนเสื่อมสภาพจะส่งผลต่อการย่อยอาหารทุกกลุ่ม เนื่องจากร่างกายเรามีความสามารถในการผลิตเอนไซม์ได้จำกัด
อาหารที่ประกอบด้วยเอนไซม์ คือผัก-ผลไม้สด
แต่เอนไซม์ในผัก-ผลไม้สดนั้นมีความเข้มข้นน้อยกว่าเอนไซม์ในพวกต้นงอกมาก (ต้นงอกบางชนิดมีเอนไซม์มากกว่าพืชถึง 100เท่า )
ช่วงเวลาที่ต้นงอกมีเอนไซม์และปริมาณสารอาหารสูงที่สุด คือช่วงหลังจากปลูกแล้วประมาณ 2-7 วัน ( ขึ้นอยู่กับชนิดของต้นงอก) ดังนั้นเราจึงควรบริโภคต้นงอกในช่วงเวลาดังกล่าว
เอนไซม์ในต้นงอกมีหลากหลายชนิดด้วยกัน แต่เอนไซม์ที่ควรให้ความสำคัญในต้นงอก คือ SOD และ โคเอนไซม์Q10· SOD (superoxidase dimutase) เป็นเอนไซม์ทีทำหน้าที่ดักจับและทำลายแบคทีเรีย จุลชีพ และของเสียจากเซลล์ ซึ่งถือว่าเป็นเอนไซม์สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน· โคเอนไซม์Q10 เป็นเอนไซม์ที่ทำ
หน้าที่ปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ คอยให้พลังงานแก่เซลล์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของวิตามินอีในการทำลายสารอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นตัวเร่งขบวนการสร้างพลังงานของร่างกายในขบวนการต่างๆ เอนไซม์ชนิดนี้พบในเมล็ดพืชที่ยังไม่ถูกความร้อนเช่น ถั่ว รวมถึงต้นงอก
ปริมาณเอนไซม์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณเอนไซม์จะมีมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น และเมื่ออายุ 80 ปี เอนไซม์จะลดลงถึง 30 เท่า ดังนั้นการกินอาหารที่มีเอนไซม์ตามธรรมชาติจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้แก่เรา คนที่เหนื่อยง่ายและป่วยง่าย สาเหตุหลักมาจากการกินอาหารที่ขาดแคลนเอนไซม์ อาหารเหล่านั้นนอกจากจะไม่เพิ่มพลังชีวิตให้เรา ยังอาจถูกเปลี่ยนเป็นสารพิษแทน
ที่จริงแล้วเมล็ดพืชทุกชนิดประกอบด้วยเอนไซม์จำนวนมาก แต่ขณะที่เมล็ดนั้นแห้งอยู่เอนไซม์จะไม่ทำงาน เพราะเอนไซม์นั้นจะพักการทำงานชั่วคราวโดยสารยับยั้งที่มีอยู่ในเมล็ดพืช ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมล็ดพืชสามารถอยู่ในดินได้เป็นเวลาหลายปีโดยไม่เน่าเปื่อย แต่สำหรับมนุษย์ ไม่ควรรับประทานเมล็ดพืชดิบๆเพราะเราไม่สามารถกำจัดสารยับยั้งเอนไซม์ในเมล็ดพืชได้ ดังนั้นเมล็ดพืชจึงเป็นอาหารที่ย่อยยากสำหรับมนุษย์ เราจึงต้องใช้การหุงต้มหรือปรุงให้สุกเพื่อช่วยทำให้ย่อยง่ายขึ้น แต่ความร้อนจากการหุงต้มก็ทำลายคุณค่าของเอนไซม์สำคัญที่อยู่ในเมล็ดนั้นๆ ทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าของเอนไซม์ได้ครบถ้วนและสามารถกำจัดสารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้คือ การปลูกต้นงอก แล้วนำมาบริโภคสด ซึ่งอาจจะเป็นการกินทั้งต้น หรือนำมาคั้นน้ำก็ได้
การปรุงอาหารให้สุกจะทำลายเอนไซม์ที่มีอยู่ในอาหาร นอกจากนี้เอนไซม์ยังอาจถูกทำลายหรือลดปริมาณลงได้ในสภาพต่อไปนี้
o ความเย็น (การแช่เย็น) จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ถึงแม้ว่าการแช่เย็นจะช่วยให้เก็บอาหารได้นานขึ้น แต่คุณค่าของเอนไซม์ก็จะลดลงด้วย
o สารกันบูด (รวมถึงเกลือ) สามารถยืดอายุของอาหารได้โดยสารกันบูดจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ และทำลายเอนไซม์ด้วย
o การตากแห้ง จะทำลายเอนไซม์
o อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป จะสามารถเก็บได้นานขึ้น แต่ในขบวนการผลิตจะใช้ความร้อนจากขบวนการผลิตจะทำลายคุณค่าเอนไซม์ทั้งหมด
o คลื่นความร้อนจากไมโครเวฟ สามารถทำลายเอนไซม์ในอาหารได้
เอนไซม์นั้นไวต่อความร้อน และถูกทำลายได้เมื่อความร้อนเกิน 45 องศาเซลเซียส ดังนั้นการหุงต้มที่เราทำกัน(อุณหภูมิจุดเดือดของน้ำที่ 100 องศาเซลเซียส) จึงทำลายคุณค่าของเอนไซม์ที่มีอยู่เกือบทั้งหมด
หากอาหารที่กินส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ผ่านการปรุงสุกหรืออาหารสำเร็จรูปแล้ว ต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อย เช่นตับอ่อนจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตเอนไซม์ หรือน้ำย่อยมาเพื่อใช้ย่อยอาหารที่ไม่มีเอนไซม์ในตัวมัน ซึ่งอาการอย่างแรกที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาการขาดเอนไซม์ คือ ปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร คุณจะพบอาการท้องอืด มีลมในทางเดินอาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ลำไส้ทำงานไม่ปกติ นอกจากนี้ภาวะขาดเอนไซม์ยังทำให้เกิดโรคและความผิดปกติอีกกว่า 200 อย่าง อาทิเช่น ข้ออักเสบ ผิวหนังอักเสบ ข้อต่อล็อค ขาดพลังงาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต มะเร็ง รอยเหี่ยวย่นที่ผิวหนังก่อนวัย อวัยวะต่างๆทำงานได้จำกัด
เราควรกินอาหารสดที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุกที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับเอนไซม์และทำให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง การบริโภคอาหารพวกต้นงอกเป็นประจำจะช่วยให้คุณได้รับเอนไซม์และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ต้นงอกเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและให้พลังงานสูง เมล็ดพืชที่คุณสามารถนำมาเพาะเป็นต้นงอกได้มีหลายชนิด เช่น
· ตระกูลถั่ว เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่ออยู่ในรูปของต้นงอก กลับเป็นอาหารที่ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในร่างกาย
· ทานตะวัน ประกอบด้วยวิตามินบีและดีสูง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิด
· งา เป็นแหล่งของแคลเซียม ธาตุเหล็ก ไนอะซิน โปรตีนและฟอสฟอรัส (ฟอสฟอรัสจะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตื่นตัวและมีสมาธิ และยังเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟันอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับทารกและเด็ก)
· อัลฟาฟ่า เป็นเมล็ดพืชที่นิยมนำมาเพาะเป็นต้นงอก เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์จำนวนมาก วิตามินเอ วิตามินบีคอมเพลกซ์ ซี ดี อี จี เค นอกจากนี้ยังประกอบด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัสและซัลเฟอร์ปริมาณมาก)
· ธัญพืช : ต้นงอกของต้นกล้าข้าวสาลีเป็นธัญพืชอัศจรรย์ อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด ได้แก่ วิตามินซี อี บีคอมเพลกซ์แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพทัสเซียม โปรตีน เอนไซม์ และคลอโรฟิลล์ แต่เมื่อเรานำต้นข้าวสาลีไปปรุงให้สุก กลับเป็นสาเหตุของภาวะภูมิแพ้ ภาวะท้องผูก ในขณะที่ต้นกล้าข้าวสาลีนั้นประกอบด้วยแป้งจำนวนมากซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
ต้นงอกจัดเป็นพืชมหัศจรรย์ เนื่องมีปริมาณวิตามินและสารอาหารสูงกว่าพืชชนิดเดียวกันที่โตเต็มที่แล้ว พบว่าในต้นงอกบางชนิดมีวิตามินเพิ่มขึ้นถึง 500% ยกตัวอย่างเช่น ต้นกล้าข้าวสาลีมีวิตามินบี12 เพิ่มขึ้น 4 เท่า วิตามินบีอื่นๆเพิ่มขึ้น 3-12 เท่า วิตามินอี เพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือในต้นถั่วงอกมีวิตามินเอมากกว่าเมล็ดถั่วแห้ง 2.5 เท่า หรือ ในเมล็ดถั่วซึ่งแหล่งที่อุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แต่ปราศจากวิตามินซี เมื่อครั้งที่เรานำมาเพาะเป็นต้นงอก พบว่ามีปริมาณวิตามินซีในต้นงอก 3.5 ออนซ์มีมากถึง 20 มิลลิกรัม
ถั่วเพาะงอก. http://www.princecommercial.net/beaninformation/
การนำเอาเมล็ดธัญพืชและเมล็ดถั่วชนิดต่างๆมาเพาะเป็นเมล็ดงอกหรือต้นอ่อนเพื่อบริโภค เพราะในระหว่างที่พืชเตรียมการที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์หรือในระหว่างการสร้างเมล็ดนั้น มันจะคัดเลือกอาหารที่ดีที่สุดเก็บสะสมไว้ในเมล็ดเพื่อให้ลูกหลานได้สืบพันธุ์ที่ดีต่อไป เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าถั่วแต่ละชนิดมีประโยชน์มากมายแตกต่างกันไปแต่ว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าถั่วสามารถนำมาเพาะงอกได้เหมือนกับข้าวแถมยังมีประโยชน์มากมาย อาทิเช่น สารกาบ้าที่สูงกว่าข้าวกล้องงอกหลายเท่า ซึ่งได้รับการตรวจสอบจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนั้นยังมีสาร เบต้า-แคโรทีน ฟอสฟอรัส กรดแอสปาร์ติก วิตามินซี บี12 ซึ่งช่วยซ่อมแซมเซลล์ มีธาตุเหล็กและเลซิติน ช่วยบำรุงสมองระบบประสาท คนจีนในสมัยก่อนเชื่อว่า ถั่วมีสาร ออซินัน (Auxinon) ช่วยชะลอความแก่
การเพาะงอกเพื่อการบริโภคนั้นเป็นการเพาะที่เน้นกระทั่งเห็นต้นอ่อนของพืชเริ่มงอกเท่านั่นก่อนจะทำมารับประทาน โดยเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดจะใช้เวลาเพาะที่แตกต่างกันไป บ้างก็ 2-3 วัน บ้างก็ 1 อาทิตย์ บ้าง ทั้งนี้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวน้ำจะเป็นตัวทำให้เมล็ดอ่อนลง ส่งผลให้เอ็นไซม์เร่งปฏิกิริยาทางเคมี และนำเอาสารอาหารที่สะสมอยู่ในเมล็ดออกมาใช้
ใช้การสังเกตดู คือนำข้าวหรือเมล็ดถั่วแช่น้ำห่อผ้าขาวบางใส่ในถุงดำกะเวลานับชั่วโมงไป หมั่นคอยเปลี่ยนน้ำ แล้วก็คอยดูติ่งในส่วนที่เป็นเจิมของข้าวว่ามีการงอกออกมานิดหนึ่งก็เป็นอันใช้ได้ ชาวบ้านก็เข้าใจเพราะเหมือนกับการนำข้าวเปลือกไปแช่น้ำเพื่อเพาะกล้า พอเพาะงอกทุกอย่างแล้วก็เอาทุกอย่างมาปั่นรวมกัน เสร็จแล้วก็นำไปต้ม ง่ายเหมือนทำข้าวต้ม แต่แตกต่างตรงที่เราจะเอาวัตถุดิบทุกอย่างไปทำให้งอกก่อน ซึ่งการทำโจ๊กและเครื่องดื่มธัญพืชในลักษณะต้มสดมีข้อดีคือ ทำง่าย สะดวก วัตถุดิบหาได้ในท้องถิ่น ใช้ระยะเวลาสั้นในการปรุง ทำให้มีคุณค่าทางอาหารและโภชนาการค่อนข้างสูง เพราะไม่ได้ผ่านความร้อนนาน และยังได้คุณค่าทางอาหารเพิ่มจากส่วนหรือกระบวนการเพาะงอก อย่างข้าวก็ได้สารกาบา หรือข้าวเหนียวดำก็จะได้พวกสารสีแดงที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
https://m.facebook.com/agriculturemag/photos/a.410935172277415.81424.327080917329508/674027652634831/
https://m.facebook.com/agriculturemag/photos/a.410935172277415.81424.327080917329508/674027652634831/
*******************************************************************
เปลี่ยนวิธีกิน พิชิตโรคร้าย ความดัน เบาหวาน มะเร็ง คอเรสเตอรอล ไม่ต้องรักษาด้วยยา
17.50 ควรเปลี่ยนชนิดโปรตีน เป็นโปรตีนสะอาดและไม่เกิดโรค
ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2009, 08:19:55 PM »
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 18, 2009, 09:50:24 PM โดย นพ.ทัศนัย เผือกพิพัฒน์ » |
*******************************************************************
อ้างข้อมูลจาก1 หนังสือ ทำไมคุณถึงป่วย เล่ม 1 เล่ม 2 นพ.เปี่ยมโชค พบว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง เป็นโทษ มากกว่าประโยชน์ แนะนำให้ทานถั่วชนิดอื่นแทน
2 ดูรายการสุขภาพ ของ สถานี FMTV ตอนเช้า 6.30 - 7.00 น. อ.ไพรลั่น แพทย์แผนไทย แนะนำให้ทานขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด ร่วมกับ ถั่ว เพื่อเพิ่มธาตุไฟ ท้องจะได้ไม่อืด
เวลาทานถั่ว อ.แนะนำให้ทำโปรตีนเกษตร ปราศจากถั่วเหลือง โดยใช้ส่วนประกอบดังนี้
1 ถั่ว ดำ แดง ขาว เขียว ลิสง ลูกเดือย ข้าวฟ่าง งาดำ งาขาว ผมเพิ่มถั่วเลนทิลแดง ถั่วเลนทิลน้ำตาล
2 จมูกข้าวสาลี สาหร่ายวากาเมะ (จริงๆใช้สาหร่ายอะไรก็ได้ แต่พอดี food landมีสาหร่ายยี่ห้อนี้)
3 ขิง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม พริกไทย อบเชย เม็ดผักชี (เครื่องเทศ แล้วแต่สรรหา แต่ต้องมี ขิง ข่า ตะไคร้ )
4 เกลือ ซีอิ้วขาว
5 แป้งหมี่กึน (เป็นแป้งทำไส้ ลูกชิ้นมังสาวิรัติทำจากข้าวสาลีมีสารกรูเตน ผมใช้ประมาณ 10 % ของน้ำหนักถั่ว กะเอานะ)
ขั้นตอน
1 ล้างถั่วทั้งหมด แล้วแช่น้ำสะอาด ประมาณ ครึ่งคืน เพื่อให้ถั่วงอก นิ่ม ได้สาร gaba ด้วย
2 นำถั่วทั้งหมด + เครื่องเทศ มาบด ปั่นให้ละเอียด หรือ ตำ แล้วแต่ถนัด (ที่บ้านผมมีที่โม่ เลยสะดวกหน่อย )
3 นำส่วนประกอบข้อ 2 มานวดใส่แป้ง ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ้ว ให้ออกรส เล็กน้อย
4 พอนวดเสร็จ นำมาปั้นเป็นก้อนแบบ ลูกชิ้นปลาเป็นท่อนๆ แล้วนำไปนึ่งให้สุก
5 เราจะได้โปรตีนเกษตร ทานแล้วท้องไม่อืด แต่ต้องแช่เย็น เวลามาทำประกอบอาหาร ก็เอามาหั่นแทนหมูได้เลย
วันนี้ ได้เอาโปรตีนเกษตร ไปผัดทาน รสชาติ ก็ธรรมชาติดี ท้องไม่อืด แต่ เนื้อโปรตีนไม่เกาะตัว
คิดว่า ใส่แป้งหมี่กึน น้อยไป คราวหน้า อาจใส่ 30 % ของน้ำหนักถั่ว น่าจะดี
ถ้าเอาไปทอดคิดว่าอร่อย
กินถั่ววันละ1กำมือช่วยให้อายุุยืน
****************************************************************
ขนมถั่วแปบ
ถั่วเขียวซีกทอด
1. นำถั่วซีก แช่น้ำต้มร้อน ๆ ไว้ค้างคืน เสร็จแล้วนำใส่กระชอน ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ ซัก 30 นาที แล้วซับด้วยกระดาษซับมันอีกที
2. นำถั่วซีกมาคลุกด้วยน้ำมันเล็กน้อย พอให้มีน้ำมันเคลือบ เสร็จแล้วก็นำไปคั่วด้วยไฟกลาง ๆ ไปหาอ่อน จนถั่วเริ่มเปลี่ยนสีน้ำตาลอ่อน ๆ ก็ปิดไฟ
***************
สำหรับธัญพืชไทยดาวเด่นที่หาซื้อได้สะดวก แต่ให้ประโยชน์ไม่ธรรมดาของบ้านเรา ได้แก่
1. ลูกเดือย
ลูกเดือยเป็นธัญพืชกลุ่มที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่นเดียวกับข้าวเจ้า มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว เป็นธัญพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้หาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพง มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมกำลัง บำรุงอวัยวะภายใน ช่วยขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้หลับสบาย สามารถช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ลูกเดือยยังมีสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ที่ช่วยยับยั้งการเกิดเนื้องอก จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้ สำหรับสาวๆ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่ช่วยยับยั้งอาการตกขาวระหว่างรอบเดือน และยังมีกรดอะมิโนต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย ให้
2. ถั่วแดงเมล็ดใหญ่ต้มสุก
เป็นธัญพืชตระกูลถั่วที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Red Kidney bean ไม่ใช่ Red bean เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ด้วยรูปร่างลักษณะเหมือนไต ฝรั่งก็เลยเรียกว่าถั่วรูปไตนั่นเอง ถั่วแดงเมล็ดใหญ่เป็นธัญพืชที่ให้โปรตีนสูงไม่น้อยหน้าเนื้อสัตว์เลยทีเดียว แถมไม่ส่งผลเสียใดๆ ต่อร่างกาย ให้พลังงาน มีกากใยที่ทานแล้วช่วยให้อิ่มนานอยู่ท้อง
ส่วนเรื่องของคุณค่าทางอาหาร ถั่วแดงเมล็ดใหญ่นั้นเป็นธัญพืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด นอกจากนี้ในถั่วแดงเมล็ดใหญ่ยังมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อได้
3. เม็ดบัว(ฤทธิ์ร้อน)
เม็ดบัวหรือลูกบัว คือ เมล็ดของดอกบัวหลวง ที่สามารถทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง เป็นธัญพืชที่เป็นส่วนผสมในตำรับยาหลายตำรับ มีคาร์โบไฮเดรต จึงให้พลังงาน โดยสรรพคุณที่โดดเด่นของเม็ดบัวคือ ถ้าทานแบบสด เม็ดบัวจะมีวิตามินซีสูง หากทานแบบอบแห้งจะมีโปรตีนสูง ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีแคลเซียม ในตำราแพทย์แผนจีน เม็ดบัวมีฤทธิ์เป็นกลาง ช่วยบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ รวมถึงอวัยวะภายในร่างกาย ช่วยบำรุงข้อ แก้ร้อนในและดับกระหาย ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความอ่อนเพลีย
4.ข้าวเหนียวดำหรือข้าวก่ำ อีกหนึ่ง Super Food ที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารมีประโยชน์จำนวนมาก โดยสำหรับธัญพืชจำพวกข้าว ข้าวเหนียวดำถือว่ามีประโยชน์มากกว่าข้าวขาวที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน เพราะข้าวเหนียวดำมีสารอาหาร OPC ที่มีคุณสมบัติช่วยในเรื่องชะลอความเสื่อมของร่างกายหรือการแก่ก่อนวัย โดยสารอาหารชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับที่พบในองุ่นดำ องุ่นแดง และเปลือกสน
นอกจากสาร OPC แล้ว ยังพบว่าในข้าวเหนียวดำมีสารแกมมาโอไรซานอล ที่ช่วยลดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นโรคหัวใจ สารแอนโทไซยานินที่มีสรรพคุณช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งปอด และที่สำคัญข้าวเหนียวดำยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงอีกด้วย
https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=3077885054647772908#editor/target=post;postID=3799248400022451884;onPublishedMenu=allposts;onClosedMenu=allposts;postNum=5;src=postname
เป็นธัญพืชตระกูลถั่วที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Red Kidney bean ไม่ใช่ Red bean เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ ด้วยรูปร่างลักษณะเหมือนไต ฝรั่งก็เลยเรียกว่าถั่วรูปไตนั่นเอง ถั่วแดงเมล็ดใหญ่เป็นธัญพืชที่ให้โปรตีนสูงไม่น้อยหน้าเนื้อสัตว์เลยทีเดียว แถมไม่ส่งผลเสียใดๆ ต่อร่างกาย ให้พลังงาน มีกากใยที่ทานแล้วช่วยให้อิ่มนานอยู่ท้อง
ส่วนเรื่องของคุณค่าทางอาหาร ถั่วแดงเมล็ดใหญ่นั้นเป็นธัญพืชที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด นอกจากนี้ในถั่วแดงเมล็ดใหญ่ยังมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อได้
3. เม็ดบัว(ฤทธิ์ร้อน)
เม็ดบัวหรือลูกบัว คือ เมล็ดของดอกบัวหลวง ที่สามารถทานได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง เป็นธัญพืชที่เป็นส่วนผสมในตำรับยาหลายตำรับ มีคาร์โบไฮเดรต จึงให้พลังงาน โดยสรรพคุณที่โดดเด่นของเม็ดบัวคือ ถ้าทานแบบสด เม็ดบัวจะมีวิตามินซีสูง หากทานแบบอบแห้งจะมีโปรตีนสูง ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีแคลเซียม ในตำราแพทย์แผนจีน เม็ดบัวมีฤทธิ์เป็นกลาง ช่วยบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ รวมถึงอวัยวะภายในร่างกาย ช่วยบำรุงข้อ แก้ร้อนในและดับกระหาย ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความอ่อนเพลีย
4.ข้าวเหนียวดำหรือข้าวก่ำ อีกหนึ่ง Super Food ที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารมีประโยชน์จำนวนมาก โดยสำหรับธัญพืชจำพวกข้าว ข้าวเหนียวดำถือว่ามีประโยชน์มากกว่าข้าวขาวที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน เพราะข้าวเหนียวดำมีสารอาหาร OPC ที่มีคุณสมบัติช่วยในเรื่องชะลอความเสื่อมของร่างกายหรือการแก่ก่อนวัย โดยสารอาหารชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับที่พบในองุ่นดำ องุ่นแดง และเปลือกสน
นอกจากสาร OPC แล้ว ยังพบว่าในข้าวเหนียวดำมีสารแกมมาโอไรซานอล ที่ช่วยลดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นโรคหัวใจ สารแอนโทไซยานินที่มีสรรพคุณช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งปอด และที่สำคัญข้าวเหนียวดำยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงอีกด้วย
https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=3077885054647772908#editor/target=post;postID=3799248400022451884;onPublishedMenu=allposts;onClosedMenu=allposts;postNum=5;src=postname
ถั่วสีดำ
มีคุณสมบัติ ช่วยบำรุงเลือด ขับของเหลวในร่างกายขับลม ขจัดพิษ บำรุงไต ขับเหงื่อ แก้ร้อนในบำรุงสายตา ลดการบวมน้ำ บรรเทาอาการเหน็บชา ดีซ่าน ไตเสื่อม ปวดเอว
มีโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตชนิดดี ไขมันดีแคโรทีน ไนอะซิน วิตามินบี1 บี2 และสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง การบริโภคถั่วสีดำช่วยให้อาหารย่อยง่าย และถั่วดำเหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก รวมถึงความคุมของระดับน้ำตาลในเลือด ถั่วสีดำยังสามารถเป็นประโยชน์สำหรับการทำงานของระบบประสาทในร่างกาย
ถั่ว1/4ตัวช่วยการเผาผลาญ
มีประโยชน์เยอะเพราะมีไฟเบอร์ละลายน้ำ ช่วยลดระดับอินซูลีน ซึ่งอินซูลีนกระตุ้นเซลไขมัน ที่สะสมแคลอรี่ ถ้ามีอินซูลีนน้อยลงไขมันจะเพิ่มน้อย ถั่วช่วยอิ่มเร็วขึ้น กินอาหารน้อยลง กินถั่วได้2ถ้วยต่อวัน กินถั่ว25กรัมต่อวัน กินอย่างอื่นได้แต่กินถั่วเป็นตัวเริ่มต้นที่ดี
https://youtu.be/cQRaILk1Hoc เริ่มดูที่12:47
**************************************************************
ไม่ควรกินถั่วงอกดิบ
ควรนำไปต้มหรือทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากถั่วงอกดิบมีกรดไฟติกมาก กลิ่นเหม็นเขียวที่เราพบในผักนั่นแหละคือกลิ่นของไฟเตต สำหรับผู้ที่ปวดเข่าควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เนื่องจากกรดชนิดนี้จะไปแย่งจับแคลเซียม ที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
ประโยชน์ของถั่วงอก
- ถั่วงอกเป็นผักที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับร่างกาย
- มีส่วนช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวนุ่ม เปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล (วิตามินอี)
- การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง
- วิตามินซีจากถั่วงอกช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายและยังช่วยป้องกันหวัดได้อีกด้วย
- ช่วยบำรุงประสาทและสมอง รวมทั้งช่วยในการทำงานของสมอง (เลซิทิน-Lecithin)
- ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เนื่องจากถั่วงอกเป็นที่ผักที่มีแคลเซียมสูง
- มีส่วนช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
- การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยในการชะลอวัย ต้านความแก่ คงความอ่อนเยาว์ เนื่องจากมีสารออซินอน (Auxinon) ที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้ร่างกายคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้นานยิ่งขึ้น
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
- มีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้ (ต้องเป็นถั่วงอกปลอดสารนะ)
- การรับประทานถั่วงอกเป็นประจำจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะไปช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL)
- การรับประทานถั่วงอกจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
- วิตามินซีจากถั่วงอกเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดต่าง ๆ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทำงาน
- ถั่วงอกมีประโยชน์ช่วยดับร้อนและปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี
- ช่วยลดระดับเอสโตรเจนในร่างกาย เพราะฮอร์โมนของผู้หญิงมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างเซลลูไลท์ ช่วยเก็บน้ำและช่วยเร่งการผลิตไขมัน ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงไม่ควรจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเกินไป
- มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย (วิตามินบี 12)
- ถั่วงอกมีสรรพคุณทางยาช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด
- สรรพคุณของถั่วงอกช่วยในการขับเสมหะ ทำให้ปอดโล่ง
- ถั่วงอกเป็นผักที่ย่อยง่ายมาก ๆ การรับประทานถั่วงอกจะช่วยประหยัดเวลาการทำงานของระบบการย่อยอาหารได้ และทำให้ขับถ่ายได้สะดวก
- ถั่วงอกมีสรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
- การรับประทานถั่วงอกก่อนมีประจำเดือนจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของประจำเดือนได้
- สรรพคุณถั่วงอกช่วยลดและกำจัดของเสียหรือสิ่งตกค้างในร่างกายได้ (Toxin)
- ถั่วงอกเป็นผักที่เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากถั่วงอกมีน้ำตาลที่น้อยมาก ๆ
- ธาตุซิลิกาในถั่วงอกมีส่วนช่วยป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยในการดูดซับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เรารับประทานเข้าไป ถ้าหากไม่มีซิลิกา การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ก็จะไม่มีประโยชน์เลย
- นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ในการรักษาสิวและจุดด่างดำอีกด้วย
- ประโยชน์ถั่วงอกกับการนำมาใช้ประกอบอาหาร เมนูถั่วงอกหรืออาหารที่ประกอบไปด้วยถั่วงอก เช่น ยำถั่วงอกกุ้งสด ผัดถั่วงอก แกงจืดถั่วงอกหมูสับ แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวต่าง ๆ เกาเหลาทุกชนิด ผัดหมี่ซั่ว หมี่กะทิ ปอเปี๊ยะ ขนมหัวผักกาด เกี๊ยวกุ้ง ต้มยำถั่วงอกใส่หมูสับ ผัดไทย ถั่วงอกชุบแป้งทอด
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โดยไฟเตต จะพบมากในพืชตระกูล ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรืองา ดังนั้นในถั่วงอกดิบจึงมีไฟเตตสูง แต่ถ้าปรุงให้สุกไฟเตตจะสลายไป หรือมีปริมาณน้อยลง โอกาสที่ไฟเตตจะไปดูดซับแร่ธาตุต่าง ๆ จึงน้อยกว่าการกินดิบ ๆ ไฟเตตจะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มัน จะไปจับ หรือดูดซับธาตุแคลเซียม เหล็ก สังกะสี และฟอสฟอรัส หากกินเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ได้ ถ้าเรากินอาหารที่มีแร่ธาตุเหล่านี้เข้าไป พร้อมกับถั่วงอกดิบ ไฟเตตก็จะดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ การกินถั่วงอกดิบต่อมื้อหรือต่อวันในปริมาณมาก ๆ เป็นกิโลกรัม ถือว่าเป็นอันตราย แต่ในชีวิตประจำวันของคนเราไม่ได้กินถั่วงอกมากมายขนาดนั้นจึงไม่ต้องกลัว ถ้ากลัวก่อนที่จะกินก็ควรปรุงให้สุกก่อน เพราะการปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ไฟเตตจะไม่สลายไปหมด ไฟเตตก็ยังคงมีอยู่ คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ และไม่รู้ว่าอาหารชนิดใดมีไฟเตตอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การรกินอาหารทุกอย่างสด ๆ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป ส่วนถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ก่อนที่จะนำไปปรุงให้สุก ควรนำไปแช่น้ำก่อนสัก 3 ชั่วโมง จะทำให้ไฟเตตและแป้งในถั่วคลายตัวลง พอนำไปปรุงจะทำให้สุกเร็วขึ้น ไม่ไปหมักต่อในท้อง จนทำให้ท้องอืด นอกจากถั่วงอกและพืชตระกูลถั่วที่มีไฟเตตแล้ว ยังพบไฟเตตในผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ขี้หล็ก ผักโขม กลิ่นเหม็นเขียวที่เราพบในผักนั่นแหละคือกลิ่นของไฟเตต นอกจากนี้ยังพบในผลไม้ เช่น สับปะรด ลำไย มะม่วง ทุเรียน แก้วมังกร รวมไปถึงเต้าหู้ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต แต่ปริมาณที่พบน้อยกว่าพืชตระกูลถั่วมาก แต่อยากให้เดินทางสายกลาง คือ การกินอาหารไม่ซ้ำซากหรือมากจนเกินไป
วิธีเพาะถั่วงอกด้วยทิชชู ในซึ้ง
https://youtu.be/oMHrtw3MVfk
เราเพาะถั่วงอกเอง
ศ.7 ก.ค60 ที่วัดป่าศรีหนองนา ได้ถั่วงอกที่เพาะมาผัดกะเทียมหอมแดงไม่ใส่หมู โรยผักชีต้นหอม ปรุงรสด้วยเกลือกับน้ำตาลมะพร้าว1ชช.
ควรปรับปรุง ถั่วงอกที่ได้กำลังกิน ครั้งต่อไปควรเอาถุงน้ำทับด้านบนจะอ้วนกว่านี้
ลองชุบแป้งทอดแทนผัด
ควรทำซ้ำ คือ
1.ใช้ถั่วเขียวขนาด400กรัมของโลตัส เพราะสดและเสียน้อย
2.เลือกเมล็ดเสียออกให้หมด
3.รดน้ำเช้าเย็นโดยเปิดผ่านก็อก
4.ใช้ถุงธรรมดาใส่ตะแกรง ไม่ต้องถุงดำไม่ต้องเจาะถุง แต่ต้องเอาถุงเก็บใต้ซิงที่มืดๆ
5.โรยเมล็ดถั่วให้กระจายทั่วแผ่นตะแกรงสีดำจนเต็มแผ่น นิ้วเกลี่ยไม่ให้เมล็ดซ้อนกัน
ทดลองเพาะถั่วงอกเอง เปิดดูเช้าวันที่ ๔ ทิ้งไว้ไม่ตัดถึงเที่ยง ใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวควรเก็บเช้าวันที่๓ดีกว่า รสชาดหวานนิดๆ ไม่จืดเหมือนซื้อ
ขั้นตอน
๑ แช่ถั่วเขียว ๑ คืน
๒ เอากระสอบวางในตะแกรงพลาสติก ตามด้วยตาข่ายพลาสติก
๓ โรยเม็ดถั่วเกลี่ยให้เสมอ
๔ เอากระสอบวาง เป็นชั้นที่๑
๕ ทั้งที่ ๒ เอาตาข่ายวาง โรยเม็ดถั่ว
๖ เอากระสอบวาง
๗ รดน้ำให้ชุ่ม ใส่ในถุงดำที่เจาะรูก้นถุง เอาถุงใส่น้ำทับอีกที
๘ รดน้ำเช้าเย็น ถ้ากระสอบชุ่ม รดเฉพาะเช้าก็ได้
๙ วันที่๓เก็บได้ ไม่ควรเกินวันที่ ๔ เพราะใบจะยาว
รองก้นถังด้วนกระสอบป่าน
ตามด้วยตะแกรง
1.เอาถั่วเขียวล้างเม็ดให้สะอาด เก็บเม็ดดิน เม็ดแตกออก
2.ผสมน้ำร้อน 1 ส่วน กับน้ำธรรมดา 2 ส่วน เทลงในกะละมังถั่ว
3. ทิ้งไว้ 6-7ชม.
4.ซาวเอาเม็ดเสียทิ้ง สำคัญเลทอกทิ้งออกให้หมด จะได้ถั่วงอกน่ากิน
5.เรียงเม็ดถั่วเขียวบนตะแกรง ทำสัก 2 ชั้น
6. ปิดฝาถัง เก็บที่ทึบแสง
7. รดน้ำเช้าสายบ่ายเย็น 3 วัน
8. เปิดฝาถัง ใช้มีดตัดรากตรงส่วนตะแกรง ไม่ใช่ตรงกระสอบป่าน
9. ล้างถั่วงอกให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง เก็บใส่ตู้เย็น (ลองทำจะไม่ล้างน้ำ เก็บใส่ตู้เย็นเลย)
1.แช่ถั่วเขียวในน้ำร้อน1คืน (พฤ.2ทุ่ม)
2.โรยถั่วเขียวลงหม้อใหญ่ให้ไม่เห็นก้นหม้อ ปิดฝาทิ้งไว้ (เช้าวันศ.)
3.เช้าเทน้ำออก ใช้กระดาษทิชชูชุบน้ำนิดหนึ่ง วางซับด้านบน
4.รดน้ำเช้า เย็น
5.ครบ4วัน(เช้าวันอังคาร) เทน้ำในหม้อทิ้ง เปิดน้ำใส่หม้อล้างทิ้ง1ครั้ง
6.เปิดน้ำใส่ทิ้งไว้1 คืน ค่อยล้างออกเพื่อให้เปลือกเขียวๆหลุดออก
เพาะถั่วงอกในถาด
1.ถาดหรือกะละมัง แช่ถั่วเขียว1คืนจะมีตุ่มขาวๆโผล่ออกมา
2.ทิชชูชุบน้ำวางก้นถาด
3.โรยถั่วเขียวห่างๆกัน อย่าให้แน่น ทิชชูชุบน้ำวางทับ
4โรยถั่วเขียวห่างๆกัน อย่าให้แน่นเป็นชั้นที่2 ทิชชูชุบน้ำวางทับ
5.ผ้าชุบน้ำวางปิดทับอีกชั้น คลุมให้สนิท
6.ใส่ถุง(ที่สาธิตใช้ถุงธรรมดาและมัดปากถุง
7. ทิ้งไว้3วัน ไม่ต้องลดนำ้
อัง.15พ.ย59 ก่อนเที่ยง เพาะเองใส่กะละมัง แช่ถั่วงอกไว้ตั้งแต่เย็นจ.14 ทำตามคลิป ยกเว้นใส่ถุงดำ ถั่วงอกเป็นตุ่มหัวใหญ่ หางไม่งอก น้ำมากเกินจนทำให้หัวถั่วงอกยุ่ยกลิ่นไม่ดีจะเน่า
เพาะถั่วงอกในขวด2ลิตร
1.เจาะรูทั่วขวดโดยใช้มีด
2.แช่ถั่วในน้ำ1คืน ใส่ถั่วไม่ให้เม็ดซ้อนกัน แน่นเกินไป
3.ใช้เวลา4วัน รดน้ำวันละครั้ง
ประสบการณ์จากตนเอง
1/ศ.4พ.ย59 แช่ถั่วงอกตอนหัวค่ำจนถึงเที่ยงส.5พ.ย59
เอาขวดน้ำหลวงปู่ทิ้งตรงที่รองน้ำฝนมาเจาะให้ทั่ว โดยใช้ปลายมีดจิ้มแล้วบิด
ตัดช่องให้กว้าง
เอาถั่วโรยลงไปอย่าให้ซ้อนกันหนา ให้กระจาย เอาทิชูพับหนาวางปิด เปิดก็อกลดน้ำ
ใส่ถุงดำ วางในห้องครัวที่ไม่มีแสง
2/ส.5พยใกล้ค่ำเปิดก็อกน้ำตรงช่อง เอียงน้ำให้ไหลออกตามรู
3/อา.6พยใกล้ค่ำเปิดก็อกน้ำตรงช่อง เอียงน้ำให้ไหลออกตามรู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น