วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เมื่อหมอเป็นมะเร็ง/หมอธันย์์/หมอธนาเศรษฐ์์./หมอเตียว


หมอธนาเศรษฐ์์ พื้นชมภูจิรโชติ หมอเด็ก

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์


น.พสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ 
 ศ.นพ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี '
 หมอชัยพร กันกา อดีต ผอ.ศูนย์มะเร็งลพบุรี 

น.พสุรพล รักปทุม
 Dr. Richard Teo 

******************

หมอที่เก่งที่สุดในโลก ไม่มี 
หมอที่ผ่าตัดมะเร็งให้ผม อีก6เดือนป่วยเป็นมะเร็งตามผม แล้วเป็นมะเร็งที่สมองด้วย
หมอที่เก่งที่สุดคือตัวคุณ คือภูมิต้านทานตัวคุณ






******************







(08:45)เป็นหวัด ภูมิแพ้ เริม บอกว่าภูมิต้านทานเราไม่ดีแล้ว
(9:23) มนุษย์เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนเซลล์ได้
(10:53) ผมยืนยันครับ การแพทย์แผนปัจจุบัน มันมีทางตันเยอะมาก เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันมุ่งเน้นให้รักษาโรค
(11:08) ข้อมูลกระทรวงฯ ปัจจุบันอัตราการตายจากมะเร็ง แซงโรคอื่นไปเรียบร้อยแล้ว...มะเร็งยิ่งสู้ คนไข้ยิ่งเยอะ...มะเร็งยิ่งสู้ เรายิ่งแพ้


(12:43) ผมเข้าสู่เส้นทางกัญชาได้ยังไง ในรูปคนนั่งติดกับผมเป็นนายพล เป็นมะเร็งตับก้อนเท่ากำปั้น...ปวดจากมะเร็ง โทร.มาหาผมตอนจะ2ทุ่ม ถ้าเป็นร.พเขาต้องฉีดมอร์ฟีน
ผมรู้มาว่าน้องคนหนึ่ง มันแอบใช้กัญชาหยด เพราะมันนอนไม่หลับ กัญชามันแก้ปวดได้...
เชื่อไหมครับ กัญชาหยดเดียวเนี่ยะ 90%มันหายปวดได้ เหลืออีก10%
มันแค่จุกๆ หยดต่ออีก3ครั้ง ครั้งละชั่วโมง อาการปวดเป็น 0
ผมไม่คิดหรอกว่ากัญชารักษามะเร็งได้ไหม ผมคิดว่าถ้ากัญชาบรรเทาอาการปวดทรมานของคนไข้ได้ แล้วทำไมไม่เอามาใช้
หลังจากนั้นผมก็จับคู่กับนายพลผู้นี้ไปเรียนรู้การใช้กัญชากับ
หมอสมยศ กิตติมั่นคง(เขียนหนังสือกัญชารักษามะเร็ง,2559 https://youtu.be/Ycane4XjsHg)
หมออิสระ เจียวิริยบุญญา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี https://m.kku.ac.th/news/content.php?did=N0016489&l=th)และลุงตู้

(บัณฑูร นิยมาภาhttps://youtu.be/xMCFlaBtg-s

 จัดอบรมทั้งใต้ดินบนดินที่ไหน ผมไป
(15:40)กรมการแพทย์บอกว่าต่อไปนี้น้ำมันกัญชา จะถูกบรรจุในร.พทุกแห่งและจะต้องมีหมอกัญชา1คน เป็นผู้สั่งใช้ เภสัชกัญชา1คนเป็นผู้สั่งจ่ายกัญชา จึงจัดการอบรม6รุ่น...
หมอธีรวัฒน์ร.พจุฬาฯเป็นผู้ดันกัญชาสุดตัวทางการรักษา...
(20:50) วันนี้ถ้าป่วยไปร.พ ถามสาเหตุโรค เกิดจากอะไร เราจะไม่เข้าใจเลย เพราะหมอจะพูดลึกในเรื่องของตัว แต่วันนี้มีผู้ร้ายอยู่2เรื่อง
1.กายเรา เซลล์ของเราเกิดการอักเสบ 
อย่างของผมก็มีผู้ร้ายจู่โจมกระเพาะปัสสาวะ ทำให้อักเสบจนกลายเป็นมะเร็ง
ใครเป็นพาร์กินสันก็มีผู้ร้ายจู่โจมเซลล์สมอง จนสมองเพี้ยนแล้วกลายเป็นพาร์กินสัน
ถามว่าต้นตอการอักเสบคืออะไร
ก็วิถีชีวิตเราล่ะครับ
ปัจจุบันมนุษย์อยู่กับวิถีชีวิตที่ผิดธรรมชาติหมด



ทั้งการอยู่การกินที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ เชื้อโรค
คนที่เป็นโรคอ้วน ไขมันที่พุงเป็นโรงงานผลิตฮอร์โมนที่เป็นพิษทำร้ายตัวเอง เกิดเป็นโรคเสื่อมทุกชนิด

มนุษย์มีการอักเสบอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เราเติมน้ำมันให้กับรถ น้ำมันอย่างดีเท่ากับอาหารอย่างดี
มันจะเกิดของเสีย ผ่านท่อไอเสีย มนุษย์ที่กินของที่สะอาดนะครับ
ถามว่าของเสียอยู่ที่ไหน
ก็หายใจไง เหงื่อ อุจจาระ ปัสสาวะ

2.ภูมิต้านทาน
คนเป็นมะเร็งเดินอยู่บนเส้นทางที่ฝืนธรรมชาติ กลับมาอยู่กับธรรมชาติ
(29:32) ท้องผูกภูมิต้านทานเราจะเสื่อมจะล่ม เกิดโรคที่หมอหาสาเหตุไม่ได้ เช่น โรคพุ่มพวง สะเก็ดเงิน รูมาตอย ไทรอยด์

มากินเพื่อสลายพิษ(ดีท็อก)
1.ภูมิต้านทานจะดีที่สุดคือวิถีพุทธ กัญชาไม่ได้สร้างภูมิต้านทาน


ถ้าเครียด ป่วย
ถ้านอนไม่พอ ร่างกายไม่ได้ซ่อม
ออกกำลัง อย่าเกินอย่าน้อย เดินวันละหมื่นก้าว
สารอาหาร เมื่อกินอิ่มคิดว่ากินครบ หรือยังไม่รู้ว่าจะกินอะไร ไม่มีจะกิน
กลุ่มสำคัญคือผักผลไม้5สี5กลุ่ม ขาด ป่วย (หลวงปู่ง่ายกว่าเยอะ กินเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด...)
เช่น เช้ากินกาแฟปาท่องโก๋
เคยถามไหมว่า มันมีสารอาหารอะไรบ้าง ย้อนคิดอีกทีเราป่วยแล้ว
มันมีแต่สารพิษ มีแป้ง มีไขมันอันตราย

เวลาเราปลูกผัก ผักไม่งาม เราใส่ปุ๋ย
เวลาเราป่วย หาหมอ หมอให้ยา ทำไมหมอไม่ให้ปุ๋ยล่ะ
เวลาปลูกพืชผัก ใส่ปุ๋ยแต่เล็ก มันจะสร้างฮอร์โมนเอง ออกลูกออกผล
มนุษย์เช่นเดียวกัน ให้อาหารแต่เล็ก พอโต ผู้หญิงจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายจะเป็นผู้ชาย....

2.กลไกสร้างภูมิต้านทานของมนุษย์
เช่น เป็นมะเร็ง คีย์โม ฉายแสงไง
แต่หมอไม่เคยบอก สร้างภูมิต้านทาน ฆ่ามะเร็งได้
เช่น โจรเข้าบ้าน เราเรียกตำรวจมาจับ ตำรวจไม่อยู่ โจรก็มาใหม่
ทำไมเราไม่สร้างบ้านให้แข็งแรงล่ะ จัดรปภ
ภูมิต้านทาน ผมหมายถึง เราสร้างบ้านให้แข็งแรง...
(12:30) มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมระบบภูมิต้านทานที่ดีตั้งแต่หัวจดเท้า
ไม่เช่นนั้น เราจะพิการ ภูมิต้านทานเปรียบเหมือนทหาร
ภูมิต้านทานถูกกักขังอยู่ในเซลล์ ไม่ให้เพ่นพ่านออกมา
เหมือนทหารถูกกักขังอยู่ในกรมกอง จะฝึกก็ฝึกในกรมกอง
จะมีแม่กุญแจเรียกว่าแคนบินอยคล้องไว้ และมีลูกกุญแจ
ภูมิต้านทานถ้าอยู่ในสมอง มันควบคุม การหลับ การตื่น การจำ การลืม
การชักไม่ชัก การปวดไม่ปวด
ภูมิต้านทานถ้าอยู่ต่ำกว่าสมอง มันควบคุมอวัยวะตับไตไส้พุง...

เช่น คนเป็นมะเร็ง มนุษย์ทุกคนมีภูมิต้านทานที่จะสู้กับมะเร็งอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง วันที่สารก่อมะร็งจู่โจม คนที่ไม่เป็นมะเร็ง จะต้องมี
ลูกกุญแจ ไปไขแม่กุญแจ เพื่อให้ภูมิต้านทานออกไปจัดการเซลมะเร็ง
ถ้าภูมิต้านทานแข็งแรง จัดการฆ่าเซลมะเร็งได้
แต่ถ้าภูมิต้านทานไม่แข็งแรง เซลมะเร็งฆ่าภูมิต้านทาน
มันจึงมีคนป่วยกับไม่ป่วย

การที่จะทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรง แม่กุญแจแข็งแรง ลูกกุญแจไม่ขาด
มาจาก4ข้อข้างล่าง



กัญชาหน้าตามันเหมือนลูกกุญแจ เมื่อใส่น้ำมันกัญชาลงไป มันจึงกลับมาสร้างภูมิต้านทานได้

วันนี้ไม่ว่าคุณจะป่วยด้วยโรคอะไร เช่น เจ็บปวด คุณมีภูมิต้านทานทำให้ไม่เจ็บปวดอยู่แล้ว มีแม่กุญแจคล้องเอาไว้ แต่ลูกกุญแจที่จะไปไขให้ภูมิต้านทาน จัดการความเจ็บปวดออกมาไม่มี เวลาเติมกัญชาเข้าไป
จึงได้ลูกกุญแจ ไปไขภูมิต้านทาน จัดการความเจ็บปวดออกมา คุณจึงไม่เจ็บปวด

เมื่อ20ปีก่อนผมเป็นมะเร็ง ยังไม่มีสารกัญชา ผมใช้สารอาหารที่ดี กับสมดุลชีวิต จะสร้างสารกัญชาขึ้นมาได้เอง
การมีสารกัญชาไว้ทำอาหารต้มยำทำแกง จึงเป็นวิธีธรรมชาติที่สุด
เอาไว้สร้างลูกกุญแจ

สารกัญชาจึงทำให้สวิทเปิดภูมิต้านทานออกมา
แต่ภูมิต้านทานจะแข็งแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสารอาหาร


ตอน1 https://youtu.be/KFwB1LXUuj0
ตอน2 https://youtu.be/D75-veCCfB0

*******************************************


********************************************

ชีวิตนี้อุทิศเพื่อการแพทย์องค์รวม (๑/๒)

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/254713




"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(1)

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"


(จากคอลัมน์ในไทยรัฐ"ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวิจิต" โดย สาทิส อินทรกำแหง /30 ก.ค.2543













ผมกลับเมืองไทยแล้วครับ ตั้งใจจะเขียนเรื่องความรู้ต่างๆเกี่ยวกับระบบการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานต่อทันที
แต่ต้องชะงักไว้ก่อน ขออนุญาติท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง เขียนถึงศาสตราจารย์นายแพทย์ซึ่งผมรักและเคารพอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ท่านจากพวกเราไปในขณะที่ผมกำลังรีบเร่งจะหาตั๋วเครื่องบินกลับมา อย่างน้อยก็เพื่อจะทันดูแลท่านวาระสุดท้าย
แต่ไม่ทันการ กว่าผมจะได้ตั๋วกลับมาเป็นวันเดียวกับที่ท่านเสียชีวิตพอดี
ท่านคือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันย์โสภาคย์ เกษมสันต์
ท่านจากไปแล้ว ความรู้และประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ท่านฝากทิ้งไว้ให้แก่สังคมไทยนั้น เป็นบุญคุญอย่างยิ่งใหญ่เหลือคณานับ
เมื่อท่านเป็นนายแพทย์ ท่านก็อุทิศตนให้แก่คนไข้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินทองเหมือนอย่างนายแพทย์บางคน แต่ที่ท่านสนใจอย่างที่สุดก็คือ ทำอย่างไรจะช่วยให้คนไข้หายและแข็งแรงอย่างเร็วและดีที่สุด
และเมื่อท่านกลายเป็นคนไข้เสียเอง โดยเฉพาะเป็นคนไข้มะเร็งซึ่งแพทย์ทุกคนรู้ดีว่ายากที่จะเอาชนะโรคร้ายได้ ท่านก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะต่อสู้กับมะเร็งด้วยตัวของท่านเอง ด้วยความกล้าหาญและด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะอุทิศตัวเองให้เป็นเครื่องทดลองว่า การรักษามะเร็งวิธีที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร
และนี่เอง ปณิธานอันสูงส่งซึ่งน่ายกย่องและสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะการจะทำเช่นนั้นได้นั้นต้องการความกล้าหาญไม่กลัวตาย และความกล้าหาญในการที่จะต่อสู้กับคำวิพากษ์วิจารณ์จากวงการแพทย์บางกลุ่มซึ่งพยายามจับผิดคอยให้ร้ายป้ายสีด้วย
อาจารย์ธันย์โสภาคย์ หรือที่ใครๆที่คุ้นเคยเรียกกันว่า"อาจารย์หม่อม" นั้นเป็นทั้งนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และเป็นศัลยแพทย์ฝีมือเยี่ยมสูงสุดคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านจบแพทย์จากศิริราชแล้ว ท่านก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ท่านเรียนเป็นศัลยแพทย์ เชี่ยวชาญการผ่าตัดทางช่องท้อง และจากการที่ต้องเป็นแพทย์เวรที่ทำงานหนัก ต้องอยู่เวรคืนเว้นคืน ต้องผ่าตัดไม่เว้นแต่ละวันนี่เอง ที่ทำให้อาจารย์หม่อมกลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว
เพราะฉะนั้น ย่อมไม่มีใครสงสัยในเรื่องความรู้และฝีมือในการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาเป็นอาจารย์ผู้ก่อตั้งแผนกศัลยศาสตร์ด้านกระดูกและข้อของคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นอกจากจะสอนนักเรียนแพทย์แล้ว ท่านยังเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลสวนดอกหรือโรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ด้วย และที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่นี่เองที่ท่านต้องรักษาพยาบาลคนไข้มะเร็งทางช่องท้องเป็นจำนวนมาก และก็ที่นี่อีกเหมือนกันที่ท่านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า การรักษามะเร็งด้วยวิธีผ่าตัดและตามด้วยการฉายแสงและให้เคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ตรงกันข้ามมีช่องว่างซึ่งเป็นปริศนายิ่งใหญ่ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมเมื่อให้การรักษาอย่างดีที่สุดตามกระบวนตามวิธีการแพทย์แล้ว คนไข้ก็ยังเสียชีวิตด้วยมะเร็งเป็นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันอาจารย์หม่อมก็ได้พบความจริงด้วยตนเองว่า การรักษาตามแบบแผน (CONVENTIONAL)การแพทย์ปัจจุบันนั้นเป็นแค่เพียงการชะลอความตาย ไม่ใช่เป็นการรักษาเพื่อให้หายขาด
ความจริงในด้านนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่ออาจารย์หม่อมเป็นมะเร็งเสียเอง อาจารย์หม่อมป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเองเมื่อปี 2541 การผ่าตัดตามแบบฉบับมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อย่างอาจารย์หม่อมนั้น ส่วนมากจะต้องตัดลำไส้ส่วนปลายออกทิ้ง และก็ต้องเจาะรูถ่ายอุจจาระให้ถ่ายออกทางหน้าท้อง
การถ่ายทางหน้าท้องนี้เป็นการถ่ายถาวร และต้องถ่ายเช่นนั้นไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและทุลักทุเล ซึ่งอาจารย์หม่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทรมานมาก
แต่อาจารย์หม่อมโชคดีที่ไม่ต้องถ่ายทางหน้าท้อง เพราะแพทย์ลูกศิษย์ที่ผ่าตัดนั้น"ฝีมือดี"มาก อาจารย์หม่อมได้เขียนชมเชยไว้ในหนังสือ"เส้นทางสายมะเร็ง"ของท่านว่า "ไม่มีแม้แต่ท่อระบายเลือดที่ช่องท้องที่เรียกว่า"เดรน" เป็นความวิเศษล้นเหลือ เขาทำได้อย่างไรกัน ผลงานของเขาดีกว่า เนี้ยบกว่าผลงานที่อาจารย์เคยทำมาแต่ก่อนอย่างมากมาย"
เพราะฝีมือผ่าตัดที่เยี่ยมยอดของนายแพทย์ลูกศิษย์ของอาจารย์นี่เองที่ทำให้อาจารย์หม่อมเกิดความเชื่อในการรักษามะเร็งตามแผนปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าอาจารย์หม่อมจะสบายใจมากเมื่อตอนฟื้นจากการผ่าตัดและคลำท้องดูแล้ว ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของคอลอสโตมี่(COLOSTOMY)
แต่อาจารย์ยังมีความกังวลอยู่อีกว่าเซลล์มะเร็งในช่องท้องจะถูกผ่าตัดออกไปหมดได้หรือไม่ หรือว่ายังหลงอยู่อีก จากการถามแพทย์ผู้ผ่าตัด ปรากฏว่า เซลล์มะเร็งน่าจะหลงเหลืออยู่ เพราะตอนผ่าตัดนั้น ก้อนมะเร็งถูกผ่าตัดพ้นจากขอบของก้อนเพียงนิดเดียว ถือเป็นระยะที่ยังไม่ปลอดภัย แม้จะผ่าตัดไปแล้ว
สำหรับรายมะเร็งของอาจารย์หม่อม ถ้ามะเร็งยังหลงเหลืออยู่ มันจะเข้าหลอดเลือดดำ แล้วพุ่งตรงไปที่ตับ เพราะฉะนั้นตามหลักการรักษาตามวิธีปัจจุบัน จึงมีทางเหลืออยู่ 2 วิธีคือ ฉายรังสีบำบัดและตามด้วยเคมีบำบัด
นี่คือเรื่องที่อาจารย์หม่อมต้องคิดหนัก เพราะอาจารย์หม่อมได้ศึกษามามากเหลือเกิน เรื่องของรังสีบำบัดและเคมีบำบัด เรื่องรังสีบำบัดนั้นตัดไปเลย เพราะอาจารย์หม่อมรู้ดีว่าเรื่องฉายรังสีที่ลำไส้หลังผ่าตัดนั้น รังสีบำบัดจะทำลายเซลล์บุลำไส้ จนกระทั่งลำไส้อักเสบ บวม ไม่ยอมให้อาหารผ่าน ในที่สุดลำไส้ทั้งขดอาจเกาะติดกันนัวเนียเป็นปัญหาใหญ่
ส่วนในด้านการใช้เคมีบำบัดนั้น อาจารย์หม่อมยังลังเลใจอยู่มาก แม้ว่าแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางเคมีบำบัดจะชักชวนเป็นการใหญ่ว่า ยาฉีด 5-เอฟยูที่ใช้กันมากนั้นได้ผลดี แต่อาจารย์ก็รู้ดีว่า "ได้ผลดี" นั้นไม่รวมถึงคุณภาพชีวิตระหว่างการใช้ยาว่าต้องทรมานกายและใจเพียงไร นอกไปจากสถิติจากคนไข้มะเร็งที่อาจารย์เคยรักษามา และใช้ยาตัวนี้ไม่ใช่สถิติที่น่าชื่นชมแต่ประการใด อาจารย์จึงได้ตัดสินใจว่าจะลองศึกษาดูวิธีการรักษาแบบอื่นๆดูก่อน
และนั่นเองเป็นโอกาสที่ผมกับอาจารย์หม่อมได้รู้จักกัน เพราะอาจารย์หม่อมต้องการศึกษาว่าการรักษาตามแนวชีวจิตนั้นคืออะไรแน่ และรักษาได้ผลจริงหรือเปล่า
คำถามแรกของอาจารย์ที่ถามผมคือ "อาจารย์คิดว่า ผมควรจะใช้เคมีบำบัดหรือเปล่า"
คำตอบของผมสั้นที่สุด "อาจารย์เป็นหมอ อาจารย์ย่อมรู้ดีกว่าผม อาจารย์ตัดสินใจเองดีกว่าครับ"
ผมเพิ่งทราบว่าคำตอบเช่นนั้นถูกใจอาจารย์มาก และคำตอบนั้นอีกเหมือนกันที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกัน คบกันมาได้จนถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์
อาจารย์หม่อมเขียนไว้ว่า "ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจไม่รับเคมีบำบัด อันเป็นสิทธิของผู้ป่วยทุกคนในอันที่จะเลือกได้ โดยที่แพทย์จะต้องไม่ขัดขวาง"
แต่ผลสุดท้าย อาจารย์ก็ต้องยอมรับเคมีบำบัดเพราะแพทย์เคมีบำบัดกล่าวว่า "อาจารย์ทรยศต่อวิชาชีพ โดยการไปใช้วิธีรักษานอกระบบ (ชีวจิต)"
อาจารย์ยอมรับเคมีอยู่ 5 คอร์ส เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่างในทางร้าย มีอาการทรุดลง อาจารย์จึงเลิกใช้เคมีบำบัด และหันมาใช้วิธีชีวจิต และอาจารย์ก็แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง ไปวิ่งมาราธอนได้ แข่งจักรยานเสือภูเขา ขึ้นดอยสุเทพ ไปไหนทำอะไรก็ได้ แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง
เสร็จแล้วแพทย์เคมีบำบัดผู้นั้นก็มาตามอาจารย์หม่อมไปรับเคมีบำบัดอีก บอกว่าเป็นยาใหม่มีผลดีมาก อาจารย์ก็กลับไปรับเคมีบำบัด อาการทรุดลง จนเสียชีวิต
แต่ทำไมเล่าครับ เมื่ออาจารย์หม่อมเสียชีวิตแพทย์เคมีบำบัดไม่พูดถึงยาเคมีบำบัดตัวใหม่นั้นเลย กลับช่วยกันโหมกระพือข่าวว่า เพราะอาจารย์หม่อมมารักษาชีวจิตจึงเสียชีวิต
เคราะห์ดีที่อาจารย์หม่อมคงจะคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงเขียนหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อนท่านจะเสียชีวิต ว่าชีวจิตได้ช่วยท่านไว้อย่างไร และเคมีบำบัดได้ทำลายท่านอย่างไร
ขอโอกาสเขียนต่อคราวหน้าอีกครั้งครับ.

http://www.geocities.ws/pimpawatree/chemo2.htm

"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(2/สุดท้าย)


ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"











ขอเรียนให้ทราบล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับว่าบทความชื้นนี้ไม่ต้องการตำหนิติเตียนหรือโต้แย้งเรื่องวิธีรักษามะเร็งของระบบการแพทย์ใดๆทั้งสิ้น ผมต้องการเพียงแต่
1. พูดความจริงเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาตัวของอาจารย์หม่อม การแถลงถึงความจริงต่างๆนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง แต่ทั้งหมดเป็นข้อความจากข้อเขียนของอาจารย์หม่อมซึ่งท่านได้เขียนไว้ในหนังสือรวมเล่ม "เมื่อหมอเป็นมะเร็ง" และในนิตยสาร"ชีวจิต"
และอีกส่วนหนึ่งที่มีค่าสำหรับผมและวงการแพทย์ทั้งหมดอย่างเหลือเกินก็คือ จากบันทึกเทปของอาจารย์หม่อมสองครั้ง ครั้งหนึ่งบันทึกไว้เมื่อต้นปีที่แล้ว และอีกครั้งหนึ่งก่อนท่านจะเสียชีวิตไม่กี่วัน
ทั้งข้อเขียนและบันทึกเทปอาจารย์หม่อมนี้ ผมเห็นว่าเป็นของมีค่าสูงสุดสำหรับวงวิชาการสำหรับการแพทย์ และสำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและความตาย
2. ทั้งอาจารย์หม่อมและตัวผมเองมีจุดยืนร่วมกันและเหมือนกัน เห็นว่าการแพทย์ทางเลือกและผสมผสานนั้นเป็นประโยชน์และมีคุณค่ามหาศาลสำหรับประชาชน ผู้เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและกับแพทย์ทุกคน
สำหรับตัวอาจารย์หม่อมนั้นท่านมีกฏเกณฑ์พิเศษสำหรับการแพทย์ทางเลือก คือ ท่านสนใจในการแพทย์ทางเลือกทุกระบบ แต่ก่อนที่ท่านจะยอมรับและเอามาใช้กับคนไข้และตัวท่านเองนั้น ท่านจะต้องศึกษาและทดลองจนกระทั่งเห็นผลจากการบำบัดนั้นๆ หรือจากยาชนิดนั้นๆ โดยเหตุนี้เราจึงพบ"ความกล้าหาญ"และ"ความเสียสละ"ของอาจารย์หม่อมเป็นพิเศษกว่าแพทย์และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ เพราะท่านยอมเอาตัวท่านเป็นเครื่องทดลองและยอมเสี่ยงกับความตาย แม้แต่ตอนเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์หม่อมเอง
สำหรับตัวผมนั้น นอกจากจะชอบทดลองทั้งยาและการบำบัดวิธีต่างๆด้วยตนเองแล้ว ผมยังศึกษาการแพทย์แผนปัจจุบันเพิ่มเติมอีกหลายสาขา และผมจะยืนยันอยุ่ตลอดเวลาทั้งการพูดการเขียนทุกแห่งว่า ในด้านการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานนั้นจะต้องยึดเอาการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลักเสมอไป
โดยเหตุนี้เมื่อตอนแรกๆที่มีข่าวลือและการให้ร้ายป้ายสีว่า ตัวผมหรือชีวจิตนั้นต่อต้านหรือแอนตี้การรักษาแบบปัจจุบัน ผมจึงอดประหลาดใจและตกใจไม่ได้ แต่ต่อมาในระยะหลังๆเมื่อรู้จักแกะดำบางคนในวงการแพทย์ รู้จักความอิจฉาริษยาของสังคมเมืองไทย รู้จักผลประโยชน์จากเงินก้อนมหาศาลของบริษัทยาและวงการยา ผมก็เลิกประหลาดใจ และเตรียมตัวไว้รับกับการให้ร้ายป้ายสี และความสกปรกโสมมจากวงการต่างๆได้อย่างเยือกเย็นกว่าเดิม
อาจารย์หม่อมเขียนและให้สัมภาษณ์ว่า พอผมเป็นมะเร็งปั๊บ ผมศึกษาจากตำราเยอะจากรอบโลก แล้วในที่สุดก็จับหลักได้ว่า การรักษามะเร็งจะได้ผลดีต้องตัดเคมีกับฉายรังสีออก ผ่าตัดดีสำหรับบางราย ยึดหลักอยู่แค่นี้ แล้วสร้างพื้นฐาน Immune Function System
"คือหลักชีวจิตนั่นเอง หลักชีวจิตทั้งนั้น แต่ชีวจิตมันไม่ทำลายก้อนมะเร็งได้ อาจารย์สาทิสก็บอก มะเร็งไม่ต้องทำลายนะ ให้มันอยู่กับที่ แล้วเราก็อยู่กับมัน พอแล้ว แต่ผมไม่ทำอย่างนั้น ดิ้นรน มียาตัวใหม่มา ผมก็ลองคีโมตัวใหม่ ผมผิดพลาดสาหัสสากรรจ์ เขียนลง "ชีวจิต" คนตื่นเต้นทั่วเมือง โทรศัพท์เข้ามาบอกฉัน อยากได้ยานี่บ้าง จะไปซื้อที่ไหน จะบ้าเหรอ ย้ำไปแล้ว ไม่อ่านบรรทัดสุดท้ายว่า ใช้เองไม่ได้ ข้อจำกัด อันตรายมาก"
ยานี้เขาไม่ได้มีการศึกษาระยะยาว แค่ระยะสั้นๆไม่พอหรอก แต่เนื่องจากคนอเมริกันเสียงมันใหญ่ เรียกร้องให้เอายาตัวนี้ออกมาใช้โดยเร็ว เพราะผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมมีมาก ใช้แรกๆก็ดี ดีจนเลื่อมใส ผมศึกษาแค่ 4 เดือน ก็รู้แล้วว่ามันดื้อ มะเร็งแตกออกไป ที่ผมเขียนเรื่อง "วันตับแตก" เพิ่งผ่านไปสองเดือนก่อน อาการก็ทรุดลงๆ คือมีก้อนใหญ่แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ จึงชี้ให้เห็นเลยว่ารักษาชีวจิตจะไม่เป็นแบบนี้
เรื่องการอยู่ร่วมกับมะเร็งนั้น เมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้ ตอนแรกๆมีแต่คนหัวเราะเยาะ แต่หลักการของผมนั้นมีอยู่ง่ายๆว่า มะเร็งไม่ใช่โรค แต่มันเกิดจากตัวเราเอง มะเร็งคือก้อนเนื้อซึ่งเกิดจากกลุ่มเซลล์เกาะตัวกันเป็นก้อน เดิมทีก็เป็นเซลล์ปกติ หรือเซลล์ดีๆของเรา แต่เสร็จแล้วเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ จากเซลล์ดีเป็นเซลล์เนื้อร้าย เกาะกลุ่มโตขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะสำคัญของเราล้มเหลว หรือระบบบางระบบล้มเหลวจนเราต้องสิ้นชีวิตลงไป
สรุปสั้นๆอีกทีว่า เซลล์มะเร็งนั้นแต่ก่อนนี้ก็คือเซลล์ดีๆของเราเอง แล้วเกิดกลายพันธุ์จนเป็นเซลล์มะเร็งเนื้อร้าย
การรักษาตามแนวชีวจิตขั้นต้น เราเริ่มที่การบำรุงภูมิชีวิต หรือ Immune System ของเราก่อน เพราะเราคือภูมิชีวิตสำคัญที่สุดต่อการมีชีวิตสืบไป ถ้าภูมิชีวิตเราดี เราไม่ป่วย ถ้าเราป่วย แปลว่าภูมิชีวิตของเราป่วยด้วย
ขั้นที่สอง เราจะเริ่มแก้อาการเฉพาะหน้า เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง อาจจะมีอาการเลือดออกภายใน กินอาหารไม่ได้ หายใจไม่สะดวก หมดแรง เหล่านี้เป็นต้น ขั้นที่สองนี้เราต้องหยุดและแก้อาการต่างๆให้หมดไปหรือดีขึ้น
ขั้นที่สาม เราจะเริ่มบำรุงร่างกายทุกส่วน ทุกระบบให้ดีขึ้น ให้กินได้นอนหลับ
ขั้นที่สี่ เราต้องปรับบำรุงวิถีชีวิต ชีวิตประจำวัน การฟื้นฟูจิตใจ การคลายเครียด การมองโลกในแง่ดี
ขั้นที่ห้า เราต้องสร้างระเบียบวินัยในการดูแลตัวเอง ในการรักษาตัวเอง และในการปฏิบัติตามวิถีชีวิตและชีวิตประจำวันอย่างเคร่งครัด
จากการรักษาปฏิบัติและทำตัวเช่นนี้ เรามีผู้ป่วยมะเร็งที่กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ มีชีวิตที่แข็งแรง จิตใจสงบสุขมากมาย นี่ไม่ใช่การโอ้อวด จะเห็นว่าเราไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวว่าเรารักษามะเร็งได้ แต่เราจะพูดว่าเราได้ชี้แนะในการปฏิบัติตัว จนกระทั่งเขาแข็งแรงสุขภาพดี สุขกายสุขใจ สามารถไปใช้ชีวิตตามปกติสุข ทำงานทำการประกอบอาชีพตามปกติสุขทุกประการ
นี่คือการอยู่ร่วมกับมะเร็ง ตามวิธีของชีวจิต
สิ่งที่ผมได้พบด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างยิ่งกับผู้ป่วยเป็นมะเร็งหลายคน ก็คือ ท่านเหล่านั้นยังติดใจอยู่กับตัวเลขที่เกี่ยวกับมะเร็ง บางคนจะมาย้ำกับผม ย้ำแล้วย้ำเล่าว่า ตัวเลข CEA ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งยังอยู่ในตัว และค่าของ CEA ของผู้ป่วยมะเร็งก็ขึ้นสูงอย่างน่าตกใจ เขาก็จะถามผมว่า ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าการรักษามะเร็งไม่ได้ผลใช่ไหม
ผมจะบอกง่ายๆว่า ผมไม่ทราบ เพราะเราไม่ได้รักษามะเร็ง แต่เรารักษาภูมิชีวิต เราไม่ได้ยึดเอาตัวเลข CEA เป็นเรื่องใหญ่ แต่เราจะยึดเอาว่า สุขภาพของคุณเป็นอย่างไร คุณดีขึ้นหรือเปล่า แข็งแรงขึ้นหรือเปล่า และไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้หรือเปล่า เราดูที่ตรงนี้
อาจารย์หม่อมท่านเข้าใจจุดสำคัญของชีวิต เรื่องการอยู่ร่วมกันกับมะเร็งนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมีหลายคนในวงการแพทย์มาชี้ผลของจทำอัลตราซาวด์ว่าก้อนมะเร็งยังอยู่บ้าง รายงานจากการใช้ยาเคมีตัวใหม่เป็นสัญญาณที่ดีบ้าง อาจารย์หม่อมก็อดหวั่นไหวไปไม่ได้
ท่านบอกว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์เสมอมา หลักฐานการค้นคว้า วิจัยยา และรายงานผลของการใช้ยา ทำให้อาจารย์หม่อมเริ่มให้ความสนใจ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ท่านเห็นว่าท่านควรจะเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทดลองการใช้ยานี้ ท่านจึงยอมเสี่ยงเอาตัวเองเป็นเครื่องทดลอง เพื่อทดสอบและทดลองในวงการแพทย์
แต่กว่าที่ท่านจะรู้ตัวว่ายาตัวนี้เป็นเป็นอันตรายก็สายไปเสียแล้ว
ท่านกล่าวว่า "ผมจะรอดหรือไม่ ไม่ถือเป็นความผิดหรือถูกของใคร และไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย เพราะผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นมะเร็ง ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมดทั้งด้านสุขภาพ ครอบครัว และสังคม ผมเป็นหนี้บุญคุณมะเร็ง"
วงการแพทย์เมืองไทย จะไม่นึกว่าเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์หม่อมบ้างเลยหรือ ความรู้ที่ "อาจารย์หม่อม" อุทิศให้กับวงการแพทย์ ประสบการณ์จากการทดลองและเอาชีวิตของตนเองเข้าเสี่ยงนั้น จะไม่เป็นประโยชน์อันใดกับวงการแพทย์เชียวหรือ ?
http://www.geocities.ws/pimpawatree/chemo3.htm



 1.หมอธันย์โสวภาค เกษมสันต์ 











หลังชนกำแพง

เกิดอะไรขึ้นเมื่อหมอบอกท่านว่าเป็นมะเร็ง

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสิ้นหวัง

บทกวีของ "ธันย์ โสภาคย์" 


สู้ศึกมะเร็งของผู้สนใจ



2.หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ 
http://ucapps1.nhso.go.th/mitrapap/images/book/pdf_book/Book_02.pdf(ปัจจุบันไม่พบเว็บนี้)































    3. ศ.นพ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี 'อดีตหมอหลวงถึงแก่อนิจกรรม สิริอายุ 78 ปี | MCOT.net
    จากมะเร็งตับอ่อน เป็นหนึ่งในวิสัญญีแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย ปริญญาเอกทางวิสัญญีวิทยาจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ๒๕๒๕ เป็นแพทย์ผู้ถวายอภิบาลประจำห้องบรรทม ภายหลังทรงฟื้นจากอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัว 



    4. หมอชัยพร กันกา อดีต ผอ.ศูนย์มะเร็งลพบุรี ณ.ศูนย์มะเร็ง จ.ลพบุรี เป็นไวรัสตับอักเสบซี มะเร็งตับ อาการดีขึ้นจากการปรับสมดุลร้อนเย็น ย่านาง กัวซา
    https://youtu.be/Rh1WGdlwpDI?list=PLbzpGbAUyJqksRyDRtBN--bU_19qzKFkd



                                นพ.สุรพล รักปทุม ที่ปรึกษางานวิจัย เห็ดหลินจือ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ท่านเป็นหมอ ทำงานรักษาคนไข้มาตลอดชีวิต เปิดคลินิกเป็นของตัวเอง ร่วมธุรกิจกับดาราชื่อดังของเมืองไทย เปิดบริษัทผลิตยา และลงทุนกับอดีตส.ส.พรรคการเมืองแห่งหนึ่ง เปิดคลินิกสุขภาพ เป็นที่ปรึกษาให้เหล่าดารา ไปฉีดสเต็มเซลล์เพื่อรักษาสุขภาพชะลอความแก่ 
                               มีลูกค้าเป็นดารามากมาย และเงินทองก็มีมากเช่นกัน แต่กลับพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ และใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตพยายามรักษาตัวเองด้วยการไปผ่าตัดเปลี่ยนตับที่เมืองนอก กลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ตรวจพบมะเร็งลุกลามมาที่ปอด ก็ยังพยายามหาวีธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายเรื่อยมา สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้ ท่านเสียชีวิตในที่สุด 
    ท่านฝากให้พวกเราทั้งหลายระลึกไว้ว่า
                               1. อย่าเอาแรงกดดัน มาเป็นแรงขับเคลื่อน ใช้ร่างกายจนเกินกำลัง เท่ากับทำร้ายร่างกาย 
                               2. อย่าลืมว่าสุขภาพดี คือ ต้นทุน ร่างกายไม่แข็งแรง คุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร 
                               3. อย่าเห็นชื่อเสียง และลาภยศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ชื่อเสียงลาภยศ เปรียบดังหมอกควัน สุดท้ายก็มลายสูญ
                               4. อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต
                               5. อย่าคิดว่าอุทิศให้แล้วจะต้องได้รับตอบแทนเสมอไป ให้อะไรกับใครอย่ารอให้เขาทดแทนบุญคุณ 
                               6. อย่าคิดว่ารับราชการแล้วจะเหนือกว่าชาวบ้าน ถึงเวลาเกษียณก็ต้องเป็นชาวบ้านเหมือนเดิม
                               7. อย่ามองข้ามคนที่มีบุญสัมพันธ์กับคุณ เมื่อคุณตกอับ คุณจึงจะรู้ว่าใครบ้างที่ไปจากคุณ และตอนนั้นคนรู้ใจยิ่งหายาก 
                               8. อย่าเห็นการทักทายของใครเป็นสิ่งน่ารำคาญ คนที่ส่งข้อความให้คุณเสมอเพราะคุณยังอยู่ในใจเขา
                               คำถามที่น่าคิด คุณมีเงิน แต่คุณมีค่าไหม? เรามักแสวงหาสิ่งที่เราคิดว่ามีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่สุดท้าย ทุกคนหนีไม่พ้นอนิจจัง 
                               หมั่นคิดดี พูดดี ทำดี คุณค่าของชีวิต สร้างได้โดยไม่ต้องใช้เงิน
      ข้อคิดจาก... นพ.สุรพล รักปทุม
    เห็ดหลินจือแดงรักษามะเร็งระยะสุดท้ายได้จริง
    เผยแพร่.ย.2557 http://youtu.be/D15m1v2v0KA




    คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักปทุม
    http://colliplus.blogspot.com/2014/12/blog-post_14.html

    ท่านเป็นหมอ ทำงานรักษาคนไข้มาตลอดชีวิต เปิดคลีนิคของตัวเอง ร่วมธุรกิจกับพอล-ภัทรพล

    เปิดบริษัทผลิตยา และลงทุนกับยุรนันท์ ภมรมนตรี(คงรู้จักดี)
    เปิดคลีนิคสุขภาพ เป็นที่ปรึกษาให้เหล่าดารา ไปฉีดสเตมเซลล์เพื่อรักษาสุขภาพชลอความแก่ มีลูกค้าเป็นดารามากมาย และเงินทองก็มีมากเช่นกัน แต่กลับพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ และใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตพยายามรักษาตัวเองด้วยการไปผ่าตัดเปลี่ยนตับที่เมืองนอก กลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ตรวจพบมะเร็งรุกลามมาที่ปอด ก็ยังพยายามหาวีธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายเรื่อยมา สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้

    ท่านเสียชีวิตในที่สุด ท่านฝากให้พวกเราทั้งหลายระลึกไว้ว่า

    1. อย่าเอาแรงกดดัน มาเป็นแรงขับเคลื่อน ใช้ร่างกายจนเกินกำลัง เท่ากับทำร้ายร่างกาย

    2. อย่าลืมว่าสุขภาพดี คือ ต้นทุน ร่างกายไม่แข็งแรง คุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

    3. อย่าเห็นชื่อเสียง และลาภยศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ชื่อเสียงลาภยศ เปรียบดังหมอกควัน สุดท้ายก็มลายสูญ

    4. อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต

    5. อย่าคิดว่าอุทิศให้แล้วจะต้องได้รับตอบแทนเสมอไป ให้อะไรกับใครอย่ารอให้เขาทดแทนบุญคุณ

    6. อย่าคิดว่ารับราชการแล้วจะเหนือกว่าชาวบ้าน ถึงเวลาเกษียณก็ต้องเป็นชาวบ้านเหมือนเดิม

    7. อย่ามองข้ามคนที่มีบุญสัมพันธ์กับคุณ เมื่อคุณตกอับ คุณจึงจะรู้ว่าใครบ้างที่ไปจากคุณ และตอนนั้นคนรู้ใจยิ่งหายาก

    8. อย่าเห็นการทักทายของใครเป็นสิ่งน่ารำคาญ คนที่ส่งข้อความให้คุณเสมอเพราะคุณยังอยู่ในใจเขา

    คำถามที่น่าคิด คุณมีเงิน แต่คุณมีค่าไหม? เรามักแสวงหาสิ่งที่เราคิดว่า มีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่สุดท้าย ทุกคนหนีไม่พ้นอนิจจัง หมั่นคิดดี พูดดี ทำดี คุณค่าของชีวิต สร้างได้โดยไม่ต้องใช้

    **สุขภาพดีมาจากไหน ?**

    พื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน คือ

    �� -สภาวะจิตที่สงบสุข
    �� -มีโภชนาการที่สมดุล
    �� -ออกกำลังกายพอเหมาะ
    �� -นอนหลับให้เพียงพอ

    คนเราจะอยู่ได้อย่างมีคุณภาพต้องอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต

    *WHO เตือนเราว่า  คนเราเกิดโรคจาก

    (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม

    (2) กินอาหารไม่สมดุล

    *หากจะถามว่า  เรากินอาหารเพื่ออะไร ? คำตอบที่ได้ คือ

    (1) เพื่อการมีชีวิตอยู่
    (2) เพื่อป้องกันโรค
    (3) เพื่อรักษาโรค

    *บรรดาโรคหัวใจ  โรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน  เกิดจากการกินทั้งนั้น  ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้  ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน

       แพทย์แผนจีนนั้น   เป็นมรดกตกทอดมา 5 พันปี เพื่อให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน คือ

    ขั้นตอน 1  รักษาด้วยอาหาร

    หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

    ขั้นตอน 2  กวาดทราย  ดูดด้วยสุญญากาศ  บีบนวด  และดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

    ขั้นตอน 3   ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

    ขั้นตอน 4   ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

    ขั้นตอน 5   ใช้ยา

    ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันที  ที่คนไข้มาหา ยาย่อมมีพิษ   คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี   ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด
    Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า

      “ จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร ”

    จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า  “ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา”
    แต่ทุกวันนี้ มันกลับกันหมด

    เรากินอาหารเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่ ?

    เราอยู่ได้  เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5

    •  ตับดีชอบให้กินสีเขียว
    •  หัวใจดีชอบให้กินสีแดง
    •  ม้ามดีชอบให้กินสีเหลือง
    •  ปอดดีชอบให้กินสีขาว
    •  ไตดีชอบให้กินสีดำ

    คำว่าดุลยภาพ หมายถึงกินหลากหลายชนิด

    • ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
    • หัวใจมีปัญหา     สีหน้าจะออกแดง
    • ม้ามมีปัญหา      สีหน้าจะออกเหลือง
    • คนไข้หอบหืด    สีหน้าจะออกขาว
    • คนไข้ไตเสื่อม    สีหน้าจะออกดำ

    **ว่าด้วยเรื่องอาหาร**

    • ถั่วเขียวบำรุงตับ

    คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
    วิธีที่ต้มถั่วเขียวที่ได้ประโยชน์  ที่ถูกคือ ต้มให้น้ำเดือดประมาณ 5-6 นาที ก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด  รินเอาน้ำออกจะได้น้ำถั่วเขียว  ที่มีสีเข้มข้นที่สุด  ดื่มแล้ว  มีสรรพคุณขับพิษสูงสุด  จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำ  ต้มต่อจนเละ  กินเป็นอาหาร

    •  หัวใจชอบสีแดง    ให้กินถั่วแดง
    •  ม้ามชอบสีเหลือง  ให้กินถั่วเหลือง
    •  ปอดชอบสีขาว     ให้กินถั่วขาว
    •  ไตชอบสีดำ         ให้กินถั่วดำ

    **ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ”

    โภชนาการแผนจีน ก็เน้นว่า “กินไม่พ้นถั่ว”

    ดังนั้น เราควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต

    ในตำรายาจีน  ได้พูดถึง รสชาติ ไว้ดังนี้

    •  เปรี้ยวบำรุงตับ       (หากกินมาก ตับพัง)
    •  ขมบำรุงหัวใจ     (หากกินมาก หัวใจพัง)
    •  หวานบำรุงม้าม      (หากกินมาก ม้ามพัง)
    •  เผ็ดบำรุงปอด      (หากกินมาก ปอดพัง)
    •  เค็มบำรุงไต         (หากกินมาก ไตพัง)

    หมายความว่า  ต้องกินให้ครบทุกรสชาติ

    **กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ ?
    ง่ายนิดเดียว ขอแนะนำว่า   แต่นี้ไป ให้กินผักดิบผลไม้สด แต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี
    เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า  กินของดิบลดอาการร้อนใน   แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า

    **ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้**
    “ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา  โรงพยาบาลที่ดีที่สุด คือ ห้องครัว ยาที่ดีที่สุด คือ อาหาร ที่มีคุณค่า  การรักษาที่ดีที่สุด คือเวลา ”

    ++ซินแสจีนแนะนำดังนี้++
    1. หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
    2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงอายุ 99 ห้ามเข้า (โลง) เด็ดขาด” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อสั่งจิตใต้สำนึกของเราให้ดูแลร่างกายของเรา

    สรุปว่าต่อไปนี้

    -  กินอาหารให้เป็นยา  ไม่ใช่กินยา เป็นอาหาร
    -  อารมณ์ดี หัวเราะ สามเวลา เพื่อห่างไกลจาก โรคและยา
    - บริโภคถั่ว ตลอดชีวิต เพื่อบำรุงอวัยวะทั้ง 5  คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต  ควรกินทั้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วขาว และ ถั่วดำ นั่นเอง !!!
    - ให้กินผักดิบ ผลไม้สดที่สะอาดปลอดสารพิษ ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือก
    - กินอาหารให้ถูกต้อง  เปรียบเสมือน กินยาจากธรรมชาติที่ดีที่สุดนั่นเอง !!!



    คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักปทุม



















    ******************************************************






     บันทึกสุดท้ายของหมอเตียว

    http://www.baterk.com/post10101081013265?utm_source=baterk.com&utm_medium=bottom_recommend&fbclid=IwAR2BCmjFwQJNGj1mWiCWnYPxYD4BS_QpxAUPmIwhzywSHdx6srawRpqJZaQ




    เมื่อหมอเป็นมะเร็ง วัย 40 ปี Dr. Richard Teo 


    ข้างล่างนี้คือคำบรรยายของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์อายุ 40 ปี ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิตในกับชั้นเรียนของนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012

    สวัสดีครับทุกท่าน เสียงผมจะแหบเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับเสียงผมหน่อยแล้วกัน ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อ Richard เป็นแพทย์ครับ ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม ต้องขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ที่เชิญผมมาพูดในวันนี้. ผมหวังว่ามันคงจะช่วยให้พวกคุณได้คิดถึงเรื่องอื่นๆ บ้างในเส้นทางของการ train เป็นทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปาก

    ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสังคมในปัจจุบัน เป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตามที่สังคมต้องการ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมมาจากครอบครัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน, ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆ ตัวว่าความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก

    ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนามแข่งขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ในถนนทุกสาย ผมต้องได้ถ้วยรางวัล ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ พวกคุณบางคนอาจจะพอรู้ว่าในบรรดาสาขาต่างๆ นั้น จักษุวิทยา (Opthalmology) เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เพื่อพัฒนาเลเซอร์สำหรับรักษาตาอีกด้วย

    ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเลเซอร์ แล้วพวกคุณรู้มั้ย, บรรดาความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้นหลังจากหมดพันธะกับทางมหาวิท
    าลัแล้ว
    ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช้เวลานานเกินไป. ผมน่าจะทำเงินได้มากโขในภาคเอกชน. พวกคุณคงพอรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องของเวชศาสตร์ความงามบูมมาก แถมยังทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคันและหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง

    พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญเพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่น ๆ ดอลล่าร์สำหรับการดูดไขมันหรือเสริมเต้านมหรืออะไร

    ก็แล้วแต่ ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ยครับ แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า ดังนั้น, แทนที่ผมจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย ผมตัดสินใจที่จะเป็นผู้ดูแลความงาม คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริงๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริงๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และสุดท้าย 4 คน ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้านๆ นั่นแค่ปีแรกนะ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซียเพื่อให้บริการกับคนไข้ชาวอินโดนีเซียผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ

    ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากมายก่ายกองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง นั่นละครับชีวิตของผม เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย (ชี้ใน slide) นี่เพื่อนสมัยมัธยมของผมครับ เป็นนายธนาคาร คันของเขาสีแดง ผมก็เลยต้องเลือกสีเงิน

    พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้าน (slide แสดงรูปคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา) ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น

    ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม นี่คือรูปผมเมื่อปีก่อน กำลังเล่น Gym อยู่ หล่อล่ำเลย ตอนนั้นผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผมถึงยอดเขาแล้ว

    แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า.

    เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะ” ผมตอบไปว่า “ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง “พูดจริงหรือเปล่า” ตอนที่คุยนั้น ผมยังวิ่งอยู่ใน Gym อยู่เลยคุณรู้หรือเปล่า วันถัดมาผมทำ scan ต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า “มันมาจากไหนกันวะ” มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที

    อยากให้ดูรูป CT scan ปอดผม ลองดูดีๆ ทุกๆ เม็ดในนั้นคือมะเร็งครับ เราเรียกมันว่า Miliary tumor จริงๆ แล้วผมมีมันเป็นหมื่นๆ เม็ดในปอด ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ ใครจะไม่เป็นบ้างล่ะ ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว

    น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย และความคิดที่ว่าผมนอนกอดรถ Ferrari แล้วจะทำให้ผมหลับตาลงได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้เลยแม้แต่นิดเดียวตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมแย่ลงไปอี

    ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้วเพื่อนๆ ของผม ญาติๆ ของผมคงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผมกลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า พวกเขาจะร่วมยินดีไปกับผมหรือ? ไม่มีทาง เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผมมี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย

    นั่นแหละที่เรียกว่า “ตัวสร้างความอิจฉาริษยา” ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาและความยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย ทั้งเพื่อน ทั้งญาติของผม ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุขไปกับผม

    ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทากคลานอยู่ในทางคนเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้าให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่าถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะเกิดมาเป็นคนได้ คุณก็สมควรโดนเหยียบตาย นั่นเป็นกฎของวิวัฒนาการอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขาเพียงเพื่อระงับอาการปวด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมไปที่ตึกผู้ป่วย เจาะเลือด ให้ยาแก่พวกเขา แต่มันมีความหมายอะไรกับผมหรือเปล่า? ไม่เลย มันก็แค่งาน ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แล้วก็ออกจาก ward ไป แต่ละวันผมแทบจะรอกลับบ้านแทบไม่ไหว

    ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? ความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยต้องประสบมันมีความหมายอะไร? ไม่มี แน่ละ เรามีศัพท์เทคนิคต่างๆ ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่าถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง

    แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการเป็นศัลยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง

    ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี้จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วยไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้

    ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้จนถึงหยดสุดท้าย

    นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายรับ เราหลงลืมเสียสนิทว่าเราแทบจะไม่ได้ให้ใครเลยเว้นแต่ตัวเราเอง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์, วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ “ความหวัง” ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money

    ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เราแทบไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้เลย ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลงเพื่อให้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ทั้งในวงการแพทย์ ทันตแพทย์ และทุกๆ วงการ สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น

    ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเราในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน คราวที่ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลและต้องสรุปแฟ้มประวัติผู้ป่วยเป็นตั้งๆ ผมจะรีบจัดการเจ้าแฟ้มเหล่านั้นไปโดยเร็วที่สุด, ผมจะรีบตรวจคนไข้และให้เขาออกไปจากห้องของผมโดยเร็วที่สุด เพราะคนไข้มันช่างมากมายเหลือเกิน นั่นคือเรื่องจริง เพราะมันเป็นแค่งาน งานที่ซ้ำซากจำเจมากๆ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าผมรู้ไหมว่าคนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี ที่พวกเขาประสบอยู่ ผมรู้มั้ย? ไม่เลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับผมเอง และผมคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในระบบสาธารณสุขของเรา

    เราถูกสอนมาให้เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุข เป็นมืออาชีพ แต่ทั้งหมดทั้งเพ เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนไข้รู้สึกจริงๆ เช่นไร ผมไม่ได้ให้ขอให้พวกคุณเข้าอกเข้าใจคนไข้อย่างลึกซึ้งอะไรมากมาย ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้เราเป็นมืออาชีพหรอก แต่จริงๆ แล้วเราได้พยายามที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาหรือยัง? พวกเราส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไรครับแต่อย่าละเลย สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ จงพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา (put yourself in your patient’s shoes)

    เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจริงครับแม้ว่ามันอาจจะดูไม่จริงสำหรับคุณ ดังนั้นจงอย่าละเลยมัน พวกคุณรู้มั้ยครับ ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่อยากจะประสบ ต่อให้กับศัตรูของคุณก็เถอะ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง เหมือนถูกโดดเดี่ยว กินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เลวร้ายจริงๆ และถึงตอนนี้ ยามที่ผมพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ผมพยายามที่จะปลอบประโลมผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะผมเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมันเป็นอย่างไร. แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปและยังไม่เพียงพอ

    พวกคุณทั้งหลายมีอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า ตัวคุณเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้คนถัดไปของคุณ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย คนยากคนจนทั้งหลายจริงๆ แล้วเขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่ พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขามีความสุขมากกว่าคุณและผมเสียอีก ยังมีผู้คนอีกมากที่กำลังทุกข์ทรมาน ทั้งทางจิตใจ ทางร่างกาย ทางอารมณ์ และอื่นๆ อีกมาก และนั่นเป็นของจริง เราเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา หรือเพียงไม่อยากรับรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่

    ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือทันตแพทย์ ลองสัมผัสถึงผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งต้องการคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณทำลงไปจะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม รูปที่เห็นคือผมหลังได้รับการรักษาเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และนั่นทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่และสามารถมาพูดคุยกับพวกคุณได้ในวันนี้

    ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว

    Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.

    The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.

    เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา

    อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้นแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย

    ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ

    (Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)

    ขอบคุณบทความดีๆจาก : สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MUSA

    https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sbeen8412&month=24-09-2015&group=4&gblog=4

    Create Date : 24 กันยายน 2558







    1

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น