หมอธนาเศรษฐ์์ พื้นชมภูจิรโชติ หมอเด็ก
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
น.พสงวน นิตยารัมภ์พงศ์
ศ.นพ.ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี '
หมอชัยพร กันกา อดีต ผอ.ศูนย์มะเร็งลพบุรี
น.พสุรพล รักปทุม
Dr. Richard Teo
******************
หมอที่เก่งที่สุดในโลก ไม่มี
หมอที่ผ่าตัดมะเร็งให้ผม อีก6เดือนป่วยเป็นมะเร็งตามผม แล้วเป็นมะเร็งที่สมองด้วย
หมอที่เก่งที่สุดคือตัวคุณ คือภูมิต้านทานตัวคุณ
หมอที่ผ่าตัดมะเร็งให้ผม อีก6เดือนป่วยเป็นมะเร็งตามผม แล้วเป็นมะเร็งที่สมองด้วย
หมอที่เก่งที่สุดคือตัวคุณ คือภูมิต้านทานตัวคุณ
******************
(08:45)เป็นหวัด ภูมิแพ้ เริม บอกว่าภูมิต้านทานเราไม่ดีแล้ว
(9:23) มนุษย์เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนเซลล์ได้
(10:53) ผมยืนยันครับ การแพทย์แผนปัจจุบัน มันมีทางตันเยอะมาก เพราะการแพทย์แผนปัจจุบันมุ่งเน้นให้รักษาโรค
(11:08) ข้อมูลกระทรวงฯ ปัจจุบันอัตราการตายจากมะเร็ง แซงโรคอื่นไปเรียบร้อยแล้ว...มะเร็งยิ่งสู้ คนไข้ยิ่งเยอะ...มะเร็งยิ่งสู้ เรายิ่งแพ้
(12:43) ผมเข้าสู่เส้นทางกัญชาได้ยังไง ในรูปคนนั่งติดกับผมเป็นนายพล เป็นมะเร็งตับก้อนเท่ากำปั้น...ปวดจากมะเร็ง โทร.มาหาผมตอนจะ2ทุ่ม ถ้าเป็นร.พเขาต้องฉีดมอร์ฟีน
ผมรู้มาว่าน้องคนหนึ่ง มันแอบใช้กัญชาหยด เพราะมันนอนไม่หลับ กัญชามันแก้ปวดได้...
เชื่อไหมครับ กัญชาหยดเดียวเนี่ยะ 90%มันหายปวดได้ เหลืออีก10%
มันแค่จุกๆ หยดต่ออีก3ครั้ง ครั้งละชั่วโมง อาการปวดเป็น 0
ผมไม่คิดหรอกว่ากัญชารักษามะเร็งได้ไหม ผมคิดว่าถ้ากัญชาบรรเทาอาการปวดทรมานของคนไข้ได้ แล้วทำไมไม่เอามาใช้
หลังจากนั้นผมก็จับคู่กับนายพลผู้นี้ไปเรียนรู้การใช้กัญชากับ
หมอสมยศ กิตติมั่นคง(เขียนหนังสือกัญชารักษามะเร็ง,2559 https://youtu.be/Ycane4XjsHg)
หมออิสระ เจียวิริยบุญญา ผู้อํานวยการโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี https://m.kku.ac.th/news/content.php?did=N0016489&l=th)และลุงตู้
(บัณฑูร นิยมาภาhttps://youtu.be/xMCFlaBtg-s)
จัดอบรมทั้งใต้ดินบนดินที่ไหน ผมไป(15:40)กรมการแพทย์บอกว่าต่อไปนี้น้ำมันกัญชา จะถูกบรรจุในร.พทุกแห่งและจะต้องมีหมอกัญชา1คน เป็นผู้สั่งใช้ เภสัชกัญชา1คนเป็นผู้สั่งจ่ายกัญชา จึงจัดการอบรม6รุ่น...
หมอธีรวัฒน์ร.พจุฬาฯเป็นผู้ดันกัญชาสุดตัวทางการรักษา...
(20:50) วันนี้ถ้าป่วยไปร.พ ถามสาเหตุโรค เกิดจากอะไร เราจะไม่เข้าใจเลย เพราะหมอจะพูดลึกในเรื่องของตัว แต่วันนี้มีผู้ร้ายอยู่2เรื่อง
1.กายเรา เซลล์ของเราเกิดการอักเสบ
อย่างของผมก็มีผู้ร้ายจู่โจมกระเพาะปัสสาวะ ทำให้อักเสบจนกลายเป็นมะเร็ง
ใครเป็นพาร์กินสันก็มีผู้ร้ายจู่โจมเซลล์สมอง จนสมองเพี้ยนแล้วกลายเป็นพาร์กินสัน
ถามว่าต้นตอการอักเสบคืออะไร
ก็วิถีชีวิตเราล่ะครับ
ปัจจุบันมนุษย์อยู่กับวิถีชีวิตที่ผิดธรรมชาติหมด
ทั้งการอยู่การกินที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ เชื้อโรค
คนที่เป็นโรคอ้วน ไขมันที่พุงเป็นโรงงานผลิตฮอร์โมนที่เป็นพิษทำร้ายตัวเอง เกิดเป็นโรคเสื่อมทุกชนิด
มนุษย์มีการอักเสบอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เราเติมน้ำมันให้กับรถ น้ำมันอย่างดีเท่ากับอาหารอย่างดี
มันจะเกิดของเสีย ผ่านท่อไอเสีย มนุษย์ที่กินของที่สะอาดนะครับ
ถามว่าของเสียอยู่ที่ไหน
ก็หายใจไง เหงื่อ อุจจาระ ปัสสาวะ
2.ภูมิต้านทาน คนเป็นมะเร็งเดินอยู่บนเส้นทางที่ฝืนธรรมชาติ กลับมาอยู่กับธรรมชาติ
(29:32) ท้องผูกภูมิต้านทานเราจะเสื่อมจะล่ม เกิดโรคที่หมอหาสาเหตุไม่ได้ เช่น โรคพุ่มพวง สะเก็ดเงิน รูมาตอย ไทรอยด์
มากินเพื่อสลายพิษ(ดีท็อก)
1.ภูมิต้านทานจะดีที่สุดคือวิถีพุทธ กัญชาไม่ได้สร้างภูมิต้านทาน
ถ้าเครียด ป่วย
ถ้านอนไม่พอ ร่างกายไม่ได้ซ่อม
ออกกำลัง อย่าเกินอย่าน้อย เดินวันละหมื่นก้าวสารอาหาร เมื่อกินอิ่มคิดว่ากินครบ หรือยังไม่รู้ว่าจะกินอะไร ไม่มีจะกิน
กลุ่มสำคัญคือผักผลไม้5สี5กลุ่ม ขาด ป่วย (หลวงปู่ง่ายกว่าเยอะ กินเปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด...)
เช่น เช้ากินกาแฟปาท่องโก๋
เคยถามไหมว่า มันมีสารอาหารอะไรบ้าง ย้อนคิดอีกทีเราป่วยแล้ว
มันมีแต่สารพิษ มีแป้ง มีไขมันอันตราย
เวลาเราปลูกผัก ผักไม่งาม เราใส่ปุ๋ย
เวลาเราป่วย หาหมอ หมอให้ยา ทำไมหมอไม่ให้ปุ๋ยล่ะ
เวลาปลูกพืชผัก ใส่ปุ๋ยแต่เล็ก มันจะสร้างฮอร์โมนเอง ออกลูกออกผล
มนุษย์เช่นเดียวกัน ให้อาหารแต่เล็ก พอโต ผู้หญิงจะเป็นผู้หญิง ผู้ชายจะเป็นผู้ชาย....
2.กลไกสร้างภูมิต้านทานของมนุษย์
เช่น เป็นมะเร็ง คีย์โม ฉายแสงไง
แต่หมอไม่เคยบอก สร้างภูมิต้านทาน ฆ่ามะเร็งได้
เช่น โจรเข้าบ้าน เราเรียกตำรวจมาจับ ตำรวจไม่อยู่ โจรก็มาใหม่
ทำไมเราไม่สร้างบ้านให้แข็งแรงล่ะ จัดรปภ
ภูมิต้านทาน ผมหมายถึง เราสร้างบ้านให้แข็งแรง...
(12:30) มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมระบบภูมิต้านทานที่ดีตั้งแต่หัวจดเท้า
ไม่เช่นนั้น เราจะพิการ ภูมิต้านทานเปรียบเหมือนทหาร
ภูมิต้านทานถูกกักขังอยู่ในเซลล์ ไม่ให้เพ่นพ่านออกมา
เหมือนทหารถูกกักขังอยู่ในกรมกอง จะฝึกก็ฝึกในกรมกอง
จะมีแม่กุญแจเรียกว่าแคนบินอยคล้องไว้ และมีลูกกุญแจ
ภูมิต้านทานถ้าอยู่ในสมอง มันควบคุม การหลับ การตื่น การจำ การลืม
การชักไม่ชัก การปวดไม่ปวด
ภูมิต้านทานถ้าอยู่ต่ำกว่าสมอง มันควบคุมอวัยวะตับไตไส้พุง...
เช่น คนเป็นมะเร็ง มนุษย์ทุกคนมีภูมิต้านทานที่จะสู้กับมะเร็งอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง วันที่สารก่อมะร็งจู่โจม คนที่ไม่เป็นมะเร็ง จะต้องมี
ลูกกุญแจ ไปไขแม่กุญแจ เพื่อให้ภูมิต้านทานออกไปจัดการเซลมะเร็ง
ถ้าภูมิต้านทานแข็งแรง จัดการฆ่าเซลมะเร็งได้
แต่ถ้าภูมิต้านทานไม่แข็งแรง เซลมะเร็งฆ่าภูมิต้านทาน
มันจึงมีคนป่วยกับไม่ป่วย
การที่จะทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรง แม่กุญแจแข็งแรง ลูกกุญแจไม่ขาด
มาจาก4ข้อข้างล่าง
กัญชาหน้าตามันเหมือนลูกกุญแจ เมื่อใส่น้ำมันกัญชาลงไป มันจึงกลับมาสร้างภูมิต้านทานได้
วันนี้ไม่ว่าคุณจะป่วยด้วยโรคอะไร เช่น เจ็บปวด คุณมีภูมิต้านทานทำให้ไม่เจ็บปวดอยู่แล้ว มีแม่กุญแจคล้องเอาไว้ แต่ลูกกุญแจที่จะไปไขให้ภูมิต้านทาน จัดการความเจ็บปวดออกมาไม่มี เวลาเติมกัญชาเข้าไป
จึงได้ลูกกุญแจ ไปไขภูมิต้านทาน จัดการความเจ็บปวดออกมา คุณจึงไม่เจ็บปวด
เมื่อ20ปีก่อนผมเป็นมะเร็ง ยังไม่มีสารกัญชา ผมใช้สารอาหารที่ดี กับสมดุลชีวิต จะสร้างสารกัญชาขึ้นมาได้เอง
การมีสารกัญชาไว้ทำอาหารต้มยำทำแกง จึงเป็นวิธีธรรมชาติที่สุด
เอาไว้สร้างลูกกุญแจ
สารกัญชาจึงทำให้สวิทเปิดภูมิต้านทานออกมา
แต่ภูมิต้านทานจะแข็งแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสารอาหาร
ตอน1 https://youtu.be/KFwB1LXUuj0
ตอน2 https://youtu.be/D75-veCCfB0
*******************************************
********************************************
ชีวิตนี้อุทิศเพื่อการแพทย์องค์รวม (๑/๒)
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/254713"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(1)
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"
(จากคอลัมน์ในไทยรัฐ"ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวิจิต" โดย สาทิส อินทรกำแหง /30 ก.ค.2543
http://www.geocities.ws/pimpawatree/chemo2.htm
ผมกลับเมืองไทยแล้วครับ ตั้งใจจะเขียนเรื่องความรู้ต่างๆเกี่ยวกับระบบการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานต่อทันที แต่ต้องชะงักไว้ก่อน ขออนุญาติท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง เขียนถึงศาสตราจารย์นายแพทย์ซึ่งผมรักและเคารพอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ท่านจากพวกเราไปในขณะที่ผมกำลังรีบเร่งจะหาตั๋วเครื่องบินกลับมา อย่างน้อยก็เพื่อจะทันดูแลท่านวาระสุดท้าย แต่ไม่ทันการ กว่าผมจะได้ตั๋วกลับมาเป็นวันเดียวกับที่ท่านเสียชีวิตพอดี ท่านคือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันย์โสภาคย์ เกษมสันต์ ท่านจากไปแล้ว ความรู้และประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ท่านฝากทิ้งไว้ให้แก่สังคมไทยนั้น เป็นบุญคุญอย่างยิ่งใหญ่เหลือคณานับ เมื่อท่านเป็นนายแพทย์ ท่านก็อุทิศตนให้แก่คนไข้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินทองเหมือนอย่างนายแพทย์บางคน แต่ที่ท่านสนใจอย่างที่สุดก็คือ ทำอย่างไรจะช่วยให้คนไข้หายและแข็งแรงอย่างเร็วและดีที่สุด และเมื่อท่านกลายเป็นคนไข้เสียเอง โดยเฉพาะเป็นคนไข้มะเร็งซึ่งแพทย์ทุกคนรู้ดีว่ายากที่จะเอาชนะโรคร้ายได้ ท่านก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า จะต่อสู้กับมะเร็งด้วยตัวของท่านเอง ด้วยความกล้าหาญและด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะอุทิศตัวเองให้เป็นเครื่องทดลองว่า การรักษามะเร็งวิธีที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร และนี่เอง ปณิธานอันสูงส่งซึ่งน่ายกย่องและสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะการจะทำเช่นนั้นได้นั้นต้องการความกล้าหาญไม่กลัวตาย และความกล้าหาญในการที่จะต่อสู้กับคำวิพากษ์วิจารณ์จากวงการแพทย์บางกลุ่มซึ่งพยายามจับผิดคอยให้ร้ายป้ายสีด้วย อาจารย์ธันย์โสภาคย์ หรือที่ใครๆที่คุ้นเคยเรียกกันว่า"อาจารย์หม่อม" นั้นเป็นทั้งนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และเป็นศัลยแพทย์ฝีมือเยี่ยมสูงสุดคนหนึ่งของเมืองไทย ท่านจบแพทย์จากศิริราชแล้ว ท่านก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ท่านเรียนเป็นศัลยแพทย์ เชี่ยวชาญการผ่าตัดทางช่องท้อง และจากการที่ต้องเป็นแพทย์เวรที่ทำงานหนัก ต้องอยู่เวรคืนเว้นคืน ต้องผ่าตัดไม่เว้นแต่ละวันนี่เอง ที่ทำให้อาจารย์หม่อมกลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว เพราะฉะนั้น ย่อมไม่มีใครสงสัยในเรื่องความรู้และฝีมือในการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาเป็นอาจารย์ผู้ก่อตั้งแผนกศัลยศาสตร์ด้านกระดูกและข้อของคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากจะสอนนักเรียนแพทย์แล้ว ท่านยังเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลสวนดอกหรือโรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ด้วย และที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่นี่เองที่ท่านต้องรักษาพยาบาลคนไข้มะเร็งทางช่องท้องเป็นจำนวนมาก และก็ที่นี่อีกเหมือนกันที่ท่านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า การรักษามะเร็งด้วยวิธีผ่าตัดและตามด้วยการฉายแสงและให้เคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ตรงกันข้ามมีช่องว่างซึ่งเป็นปริศนายิ่งใหญ่ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมเมื่อให้การรักษาอย่างดีที่สุดตามกระบวนตามวิธีการแพทย์แล้ว คนไข้ก็ยังเสียชีวิตด้วยมะเร็งเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันอาจารย์หม่อมก็ได้พบความจริงด้วยตนเองว่า การรักษาตามแบบแผน (CONVENTIONAL)การแพทย์ปัจจุบันนั้นเป็นแค่เพียงการชะลอความตาย ไม่ใช่เป็นการรักษาเพื่อให้หายขาด ความจริงในด้านนี้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่ออาจารย์หม่อมเป็นมะเร็งเสียเอง อาจารย์หม่อมป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเองเมื่อปี 2541 การผ่าตัดตามแบบฉบับมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อย่างอาจารย์หม่อมนั้น ส่วนมากจะต้องตัดลำไส้ส่วนปลายออกทิ้ง และก็ต้องเจาะรูถ่ายอุจจาระให้ถ่ายออกทางหน้าท้อง การถ่ายทางหน้าท้องนี้เป็นการถ่ายถาวร และต้องถ่ายเช่นนั้นไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและทุลักทุเล ซึ่งอาจารย์หม่อมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทรมานมาก แต่อาจารย์หม่อมโชคดีที่ไม่ต้องถ่ายทางหน้าท้อง เพราะแพทย์ลูกศิษย์ที่ผ่าตัดนั้น"ฝีมือดี"มาก อาจารย์หม่อมได้เขียนชมเชยไว้ในหนังสือ"เส้นทางสายมะเร็ง"ของท่านว่า "ไม่มีแม้แต่ท่อระบายเลือดที่ช่องท้องที่เรียกว่า"เดรน" เป็นความวิเศษล้นเหลือ เขาทำได้อย่างไรกัน ผลงานของเขาดีกว่า เนี้ยบกว่าผลงานที่อาจารย์เคยทำมาแต่ก่อนอย่างมากมาย" เพราะฝีมือผ่าตัดที่เยี่ยมยอดของนายแพทย์ลูกศิษย์ของอาจารย์นี่เองที่ทำให้อาจารย์หม่อมเกิดความเชื่อในการรักษามะเร็งตามแผนปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าอาจารย์หม่อมจะสบายใจมากเมื่อตอนฟื้นจากการผ่าตัดและคลำท้องดูแล้ว ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของคอลอสโตมี่(COLOSTOMY) แต่อาจารย์ยังมีความกังวลอยู่อีกว่าเซลล์มะเร็งในช่องท้องจะถูกผ่าตัดออกไปหมดได้หรือไม่ หรือว่ายังหลงอยู่อีก จากการถามแพทย์ผู้ผ่าตัด ปรากฏว่า เซลล์มะเร็งน่าจะหลงเหลืออยู่ เพราะตอนผ่าตัดนั้น ก้อนมะเร็งถูกผ่าตัดพ้นจากขอบของก้อนเพียงนิดเดียว ถือเป็นระยะที่ยังไม่ปลอดภัย แม้จะผ่าตัดไปแล้ว สำหรับรายมะเร็งของอาจารย์หม่อม ถ้ามะเร็งยังหลงเหลืออยู่ มันจะเข้าหลอดเลือดดำ แล้วพุ่งตรงไปที่ตับ เพราะฉะนั้นตามหลักการรักษาตามวิธีปัจจุบัน จึงมีทางเหลืออยู่ 2 วิธีคือ ฉายรังสีบำบัดและตามด้วยเคมีบำบัด นี่คือเรื่องที่อาจารย์หม่อมต้องคิดหนัก เพราะอาจารย์หม่อมได้ศึกษามามากเหลือเกิน เรื่องของรังสีบำบัดและเคมีบำบัด เรื่องรังสีบำบัดนั้นตัดไปเลย เพราะอาจารย์หม่อมรู้ดีว่าเรื่องฉายรังสีที่ลำไส้หลังผ่าตัดนั้น รังสีบำบัดจะทำลายเซลล์บุลำไส้ จนกระทั่งลำไส้อักเสบ บวม ไม่ยอมให้อาหารผ่าน ในที่สุดลำไส้ทั้งขดอาจเกาะติดกันนัวเนียเป็นปัญหาใหญ่ ส่วนในด้านการใช้เคมีบำบัดนั้น อาจารย์หม่อมยังลังเลใจอยู่มาก แม้ว่าแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางเคมีบำบัดจะชักชวนเป็นการใหญ่ว่า ยาฉีด 5-เอฟยูที่ใช้กันมากนั้นได้ผลดี แต่อาจารย์ก็รู้ดีว่า "ได้ผลดี" นั้นไม่รวมถึงคุณภาพชีวิตระหว่างการใช้ยาว่าต้องทรมานกายและใจเพียงไร นอกไปจากสถิติจากคนไข้มะเร็งที่อาจารย์เคยรักษามา และใช้ยาตัวนี้ไม่ใช่สถิติที่น่าชื่นชมแต่ประการใด อาจารย์จึงได้ตัดสินใจว่าจะลองศึกษาดูวิธีการรักษาแบบอื่นๆดูก่อน และนั่นเองเป็นโอกาสที่ผมกับอาจารย์หม่อมได้รู้จักกัน เพราะอาจารย์หม่อมต้องการศึกษาว่าการรักษาตามแนวชีวจิตนั้นคืออะไรแน่ และรักษาได้ผลจริงหรือเปล่า คำถามแรกของอาจารย์ที่ถามผมคือ "อาจารย์คิดว่า ผมควรจะใช้เคมีบำบัดหรือเปล่า" คำตอบของผมสั้นที่สุด "อาจารย์เป็นหมอ อาจารย์ย่อมรู้ดีกว่าผม อาจารย์ตัดสินใจเองดีกว่าครับ" ผมเพิ่งทราบว่าคำตอบเช่นนั้นถูกใจอาจารย์มาก และคำตอบนั้นอีกเหมือนกันที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกัน คบกันมาได้จนถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์ อาจารย์หม่อมเขียนไว้ว่า "ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจไม่รับเคมีบำบัด อันเป็นสิทธิของผู้ป่วยทุกคนในอันที่จะเลือกได้ โดยที่แพทย์จะต้องไม่ขัดขวาง" แต่ผลสุดท้าย อาจารย์ก็ต้องยอมรับเคมีบำบัดเพราะแพทย์เคมีบำบัดกล่าวว่า "อาจารย์ทรยศต่อวิชาชีพ โดยการไปใช้วิธีรักษานอกระบบ (ชีวจิต)" อาจารย์ยอมรับเคมีอยู่ 5 คอร์ส เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่างในทางร้าย มีอาการทรุดลง อาจารย์จึงเลิกใช้เคมีบำบัด และหันมาใช้วิธีชีวจิต และอาจารย์ก็แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง ไปวิ่งมาราธอนได้ แข่งจักรยานเสือภูเขา ขึ้นดอยสุเทพ ไปไหนทำอะไรก็ได้ แข็งแรงสุขสบายทุกอย่าง เสร็จแล้วแพทย์เคมีบำบัดผู้นั้นก็มาตามอาจารย์หม่อมไปรับเคมีบำบัดอีก บอกว่าเป็นยาใหม่มีผลดีมาก อาจารย์ก็กลับไปรับเคมีบำบัด อาการทรุดลง จนเสียชีวิต แต่ทำไมเล่าครับ เมื่ออาจารย์หม่อมเสียชีวิตแพทย์เคมีบำบัดไม่พูดถึงยาเคมีบำบัดตัวใหม่นั้นเลย กลับช่วยกันโหมกระพือข่าวว่า เพราะอาจารย์หม่อมมารักษาชีวจิตจึงเสียชีวิต เคราะห์ดีที่อาจารย์หม่อมคงจะคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงเขียนหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อนท่านจะเสียชีวิต ว่าชีวจิตได้ช่วยท่านไว้อย่างไร และเคมีบำบัดได้ทำลายท่านอย่างไร ขอโอกาสเขียนต่อคราวหน้าอีกครั้งครับ.
"คีโม"กับการพ่ายมะเร็งของ"ธันย์ โสภาคย์"(2/สุดท้าย)
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
"อยู่กับมะเร็งดีกว่าฆ่ามะเร็ง"
http://www.geocities.ws/pimpawatree/chemo3.htm่
ขอเรียนให้ทราบล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับว่าบทความชื้นนี้ไม่ต้องการตำหนิติเตียนหรือโต้แย้งเรื่องวิธีรักษามะเร็งของระบบการแพทย์ใดๆทั้งสิ้น ผมต้องการเพียงแต่ 1. พูดความจริงเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาตัวของอาจารย์หม่อม การแถลงถึงความจริงต่างๆนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง แต่ทั้งหมดเป็นข้อความจากข้อเขียนของอาจารย์หม่อมซึ่งท่านได้เขียนไว้ในหนังสือรวมเล่ม "เมื่อหมอเป็นมะเร็ง" และในนิตยสาร"ชีวจิต" และอีกส่วนหนึ่งที่มีค่าสำหรับผมและวงการแพทย์ทั้งหมดอย่างเหลือเกินก็คือ จากบันทึกเทปของอาจารย์หม่อมสองครั้ง ครั้งหนึ่งบันทึกไว้เมื่อต้นปีที่แล้ว และอีกครั้งหนึ่งก่อนท่านจะเสียชีวิตไม่กี่วัน ทั้งข้อเขียนและบันทึกเทปอาจารย์หม่อมนี้ ผมเห็นว่าเป็นของมีค่าสูงสุดสำหรับวงวิชาการสำหรับการแพทย์ และสำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตและความตาย 2. ทั้งอาจารย์หม่อมและตัวผมเองมีจุดยืนร่วมกันและเหมือนกัน เห็นว่าการแพทย์ทางเลือกและผสมผสานนั้นเป็นประโยชน์และมีคุณค่ามหาศาลสำหรับประชาชน ผู้เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและกับแพทย์ทุกคน สำหรับตัวอาจารย์หม่อมนั้นท่านมีกฏเกณฑ์พิเศษสำหรับการแพทย์ทางเลือก คือ ท่านสนใจในการแพทย์ทางเลือกทุกระบบ แต่ก่อนที่ท่านจะยอมรับและเอามาใช้กับคนไข้และตัวท่านเองนั้น ท่านจะต้องศึกษาและทดลองจนกระทั่งเห็นผลจากการบำบัดนั้นๆ หรือจากยาชนิดนั้นๆ โดยเหตุนี้เราจึงพบ"ความกล้าหาญ"และ"ความเสียสละ"ของอาจารย์หม่อมเป็นพิเศษกว่าแพทย์และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ เพราะท่านยอมเอาตัวท่านเป็นเครื่องทดลองและยอมเสี่ยงกับความตาย แม้แต่ตอนเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของอาจารย์หม่อมเอง สำหรับตัวผมนั้น นอกจากจะชอบทดลองทั้งยาและการบำบัดวิธีต่างๆด้วยตนเองแล้ว ผมยังศึกษาการแพทย์แผนปัจจุบันเพิ่มเติมอีกหลายสาขา และผมจะยืนยันอยุ่ตลอดเวลาทั้งการพูดการเขียนทุกแห่งว่า ในด้านการแพทย์ทางเลือกและการแพทย์แบบผสมผสานนั้นจะต้องยึดเอาการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลักเสมอไป โดยเหตุนี้เมื่อตอนแรกๆที่มีข่าวลือและการให้ร้ายป้ายสีว่า ตัวผมหรือชีวจิตนั้นต่อต้านหรือแอนตี้การรักษาแบบปัจจุบัน ผมจึงอดประหลาดใจและตกใจไม่ได้ แต่ต่อมาในระยะหลังๆเมื่อรู้จักแกะดำบางคนในวงการแพทย์ รู้จักความอิจฉาริษยาของสังคมเมืองไทย รู้จักผลประโยชน์จากเงินก้อนมหาศาลของบริษัทยาและวงการยา ผมก็เลิกประหลาดใจ และเตรียมตัวไว้รับกับการให้ร้ายป้ายสี และความสกปรกโสมมจากวงการต่างๆได้อย่างเยือกเย็นกว่าเดิม อาจารย์หม่อมเขียนและให้สัมภาษณ์ว่า พอผมเป็นมะเร็งปั๊บ ผมศึกษาจากตำราเยอะจากรอบโลก แล้วในที่สุดก็จับหลักได้ว่า การรักษามะเร็งจะได้ผลดีต้องตัดเคมีกับฉายรังสีออก ผ่าตัดดีสำหรับบางราย ยึดหลักอยู่แค่นี้ แล้วสร้างพื้นฐาน Immune Function System "คือหลักชีวจิตนั่นเอง หลักชีวจิตทั้งนั้น แต่ชีวจิตมันไม่ทำลายก้อนมะเร็งได้ อาจารย์สาทิสก็บอก มะเร็งไม่ต้องทำลายนะ ให้มันอยู่กับที่ แล้วเราก็อยู่กับมัน พอแล้ว แต่ผมไม่ทำอย่างนั้น ดิ้นรน มียาตัวใหม่มา ผมก็ลองคีโมตัวใหม่ ผมผิดพลาดสาหัสสากรรจ์ เขียนลง "ชีวจิต" คนตื่นเต้นทั่วเมือง โทรศัพท์เข้ามาบอกฉัน อยากได้ยานี่บ้าง จะไปซื้อที่ไหน จะบ้าเหรอ ย้ำไปแล้ว ไม่อ่านบรรทัดสุดท้ายว่า ใช้เองไม่ได้ ข้อจำกัด อันตรายมาก" ยานี้เขาไม่ได้มีการศึกษาระยะยาว แค่ระยะสั้นๆไม่พอหรอก แต่เนื่องจากคนอเมริกันเสียงมันใหญ่ เรียกร้องให้เอายาตัวนี้ออกมาใช้โดยเร็ว เพราะผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมมีมาก ใช้แรกๆก็ดี ดีจนเลื่อมใส ผมศึกษาแค่ 4 เดือน ก็รู้แล้วว่ามันดื้อ มะเร็งแตกออกไป ที่ผมเขียนเรื่อง "วันตับแตก" เพิ่งผ่านไปสองเดือนก่อน อาการก็ทรุดลงๆ คือมีก้อนใหญ่แตกออกเป็นก้อนเล็กๆ จึงชี้ให้เห็นเลยว่ารักษาชีวจิตจะไม่เป็นแบบนี้ เรื่องการอยู่ร่วมกับมะเร็งนั้น เมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้ ตอนแรกๆมีแต่คนหัวเราะเยาะ แต่หลักการของผมนั้นมีอยู่ง่ายๆว่า มะเร็งไม่ใช่โรค แต่มันเกิดจากตัวเราเอง มะเร็งคือก้อนเนื้อซึ่งเกิดจากกลุ่มเซลล์เกาะตัวกันเป็นก้อน เดิมทีก็เป็นเซลล์ปกติ หรือเซลล์ดีๆของเรา แต่เสร็จแล้วเซลล์เกิดการกลายพันธุ์ จากเซลล์ดีเป็นเซลล์เนื้อร้าย เกาะกลุ่มโตขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะสำคัญของเราล้มเหลว หรือระบบบางระบบล้มเหลวจนเราต้องสิ้นชีวิตลงไป สรุปสั้นๆอีกทีว่า เซลล์มะเร็งนั้นแต่ก่อนนี้ก็คือเซลล์ดีๆของเราเอง แล้วเกิดกลายพันธุ์จนเป็นเซลล์มะเร็งเนื้อร้าย การรักษาตามแนวชีวจิตขั้นต้น เราเริ่มที่การบำรุงภูมิชีวิต หรือ Immune System ของเราก่อน เพราะเราคือภูมิชีวิตสำคัญที่สุดต่อการมีชีวิตสืบไป ถ้าภูมิชีวิตเราดี เราไม่ป่วย ถ้าเราป่วย แปลว่าภูมิชีวิตของเราป่วยด้วย ขั้นที่สอง เราจะเริ่มแก้อาการเฉพาะหน้า เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง อาจจะมีอาการเลือดออกภายใน กินอาหารไม่ได้ หายใจไม่สะดวก หมดแรง เหล่านี้เป็นต้น ขั้นที่สองนี้เราต้องหยุดและแก้อาการต่างๆให้หมดไปหรือดีขึ้น ขั้นที่สาม เราจะเริ่มบำรุงร่างกายทุกส่วน ทุกระบบให้ดีขึ้น ให้กินได้นอนหลับ ขั้นที่สี่ เราต้องปรับบำรุงวิถีชีวิต ชีวิตประจำวัน การฟื้นฟูจิตใจ การคลายเครียด การมองโลกในแง่ดี ขั้นที่ห้า เราต้องสร้างระเบียบวินัยในการดูแลตัวเอง ในการรักษาตัวเอง และในการปฏิบัติตามวิถีชีวิตและชีวิตประจำวันอย่างเคร่งครัด จากการรักษาปฏิบัติและทำตัวเช่นนี้ เรามีผู้ป่วยมะเร็งที่กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ มีชีวิตที่แข็งแรง จิตใจสงบสุขมากมาย นี่ไม่ใช่การโอ้อวด จะเห็นว่าเราไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวว่าเรารักษามะเร็งได้ แต่เราจะพูดว่าเราได้ชี้แนะในการปฏิบัติตัว จนกระทั่งเขาแข็งแรงสุขภาพดี สุขกายสุขใจ สามารถไปใช้ชีวิตตามปกติสุข ทำงานทำการประกอบอาชีพตามปกติสุขทุกประการ นี่คือการอยู่ร่วมกับมะเร็ง ตามวิธีของชีวจิต สิ่งที่ผมได้พบด้วยความเสียใจและเสียดายอย่างยิ่งกับผู้ป่วยเป็นมะเร็งหลายคน ก็คือ ท่านเหล่านั้นยังติดใจอยู่กับตัวเลขที่เกี่ยวกับมะเร็ง บางคนจะมาย้ำกับผม ย้ำแล้วย้ำเล่าว่า ตัวเลข CEA ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งยังอยู่ในตัว และค่าของ CEA ของผู้ป่วยมะเร็งก็ขึ้นสูงอย่างน่าตกใจ เขาก็จะถามผมว่า ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าการรักษามะเร็งไม่ได้ผลใช่ไหม ผมจะบอกง่ายๆว่า ผมไม่ทราบ เพราะเราไม่ได้รักษามะเร็ง แต่เรารักษาภูมิชีวิต เราไม่ได้ยึดเอาตัวเลข CEA เป็นเรื่องใหญ่ แต่เราจะยึดเอาว่า สุขภาพของคุณเป็นอย่างไร คุณดีขึ้นหรือเปล่า แข็งแรงขึ้นหรือเปล่า และไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้หรือเปล่า เราดูที่ตรงนี้ อาจารย์หม่อมท่านเข้าใจจุดสำคัญของชีวิต เรื่องการอยู่ร่วมกันกับมะเร็งนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมีหลายคนในวงการแพทย์มาชี้ผลของจทำอัลตราซาวด์ว่าก้อนมะเร็งยังอยู่บ้าง รายงานจากการใช้ยาเคมีตัวใหม่เป็นสัญญาณที่ดีบ้าง อาจารย์หม่อมก็อดหวั่นไหวไปไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์เสมอมา หลักฐานการค้นคว้า วิจัยยา และรายงานผลของการใช้ยา ทำให้อาจารย์หม่อมเริ่มให้ความสนใจ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ท่านเห็นว่าท่านควรจะเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมทดลองการใช้ยานี้ ท่านจึงยอมเสี่ยงเอาตัวเองเป็นเครื่องทดลอง เพื่อทดสอบและทดลองในวงการแพทย์ แต่กว่าที่ท่านจะรู้ตัวว่ายาตัวนี้เป็นเป็นอันตรายก็สายไปเสียแล้ว ท่านกล่าวว่า "ผมจะรอดหรือไม่ ไม่ถือเป็นความผิดหรือถูกของใคร และไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผมเลย เพราะผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเป็นมะเร็ง ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมดทั้งด้านสุขภาพ ครอบครัว และสังคม ผมเป็นหนี้บุญคุณมะเร็ง" วงการแพทย์เมืองไทย จะไม่นึกว่าเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์หม่อมบ้างเลยหรือ ความรู้ที่ "อาจารย์หม่อม" อุทิศให้กับวงการแพทย์ ประสบการณ์จากการทดลองและเอาชีวิตของตนเองเข้าเสี่ยงนั้น จะไม่เป็นประโยชน์อันใดกับวงการแพทย์เชียวหรือ ?
1.หมอธันย์โสวภาค เกษมสันต์
หลังชนกำแพง
เกิดอะไรขึ้นเมื่อหมอบอกท่านว่าเป็นมะเร็ง
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสิ้นหวัง
บทกวีของ "ธันย์ โสภาคย์"
สู้ศึกมะเร็งของผู้สนใจ
2.หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์
http://ucapps1.nhso.go.th/mitrapap/images/book/pdf_book/Book_02.pdf(ปัจจุบันไม่พบเว็บนี้)
http://ucapps1.nhso.go.th/mitrapap/images/book/pdf_book/Book_02.pdf(ปัจจุบันไม่พบเว็บนี้)
จากมะเร็งตับอ่อน เป็นหนึ่งในวิสัญญีแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย ปริญญาเอกทางวิสัญญีวิทยาจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ๒๕๒๕ เป็นแพทย์ผู้ถวายอภิบาลประจำห้องบรรทม ภายหลังทรงฟื้นจากอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัว
4. หมอชัยพร กันกา อดีต ผอ.ศูนย์มะเร็งลพบุรี ณ.ศูนย์มะเร็ง จ.ลพบุรี เป็นไวรัสตับอักเสบซี มะเร็งตับ อาการดีขึ้นจากการปรับสมดุลร้อนเย็น ย่านาง กัวซา
https://youtu.be/Rh1WGdlwpDI?list=PLbzpGbAUyJqksRyDRtBN--bU_19qzKFkd
https://youtu.be/Rh1WGdlwpDI?list=PLbzpGbAUyJqksRyDRtBN--bU_19qzKFkd
บันทึกสุดท้ายของหมอเตียว
http://www.baterk.com/post10101081013265?utm_source=baterk.com&utm_medium=bottom_recommend&fbclid=IwAR2BCmjFwQJNGj1mWiCWnYPxYD4BS_QpxAUPmIwhzywSHdx6srawRpqJZaQ
เมื่อหมอเป็นมะเร็ง วัย 40 ปี Dr. Richard Teo
ข้างล่างนี้คือคำบรรยายของ Dr. Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้าน
สวัสดีครับทุกท่าน เสียงผมจะแหบเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับเสียงผมหน่อย ตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสัง ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนใน ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องม
ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช
พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮี ก็แล้วแต่ ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่า ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้ พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ แต่...ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบ เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมื อยากให้ดูรูป CT scan ปอดผม ลองดูดีๆ ทุกๆ เม็ดในนั้นคือมะเร็งครับ เราเรียกมันว่า Miliary tumor จริงๆ แล้วผมมีมันเป็นหมื่นๆ เม็ดในปอด ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเ น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะ ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบ นั่นแหละที่เรียกว่า “ตัวสร้างความอิจฉาริษยา” ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาแ ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสั ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความ ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเร ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนใน ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงิ นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่ ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิช ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ เราถูกสอนมาให้เป็นผู้ให้บร เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจ พวกคุณทั้งหลายมีอนาคตที่สด ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผู้เชี ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that. The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently. เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะ ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ (Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู ขอบคุณบทความดีๆจาก : สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมห https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sbeen8412&month=24-09-2015&group=4&gblog=4
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น