ญาดา
หมอปุ้ม
ประสบการณ์ของเรา
หมอวีระพันธ์
*******
ญาดา:เข้าใจการทำIF
อุตสาหกรรมอาหารหรอกว่ากินมื้อเช้าสำคัญที่สุด
อุตสาหกรรมยาหรอกให้กินยาจนตับทำงานหนัก
กินเมื่อหิว ไม่กินอาหารที่ผ่านการแปรรูปด้วยสารเคมี
หมอปุ้ม
หมอ:ไอเอฟคือหยุดกินอาหารเป็นช่วงๆ ไม่ใช่อดอาหารเลย คนละแบบกับการควบคุมแคลอรี่ ซึ่งนับทั้งวันกินได้1,500 แล้วคุณกินจุบจิบไปเรื่อย กินทีละน้อยๆ แต่กินทั้งวัน เลยเป็นยิ่งแย่ เพราะว่ากินบ่อย ร่างกายได้รับเข้าไปทีก็เผาผลาญๆๆ เป็นของเสียออกมา แต่การกินไอเอฟ เช่น (8:58) หมอทำ18/6 คือหยุดกิน18ชม. 6ชม.กินได้ 6ชม.กินแบ่ง2มื้อ ไม่ใช่6ชม.กินตลอดเวลานะ ไม่ใช่นะ
(ที่วัดหลวงปู่สอน18/6 กิน09:00 กับ15:00)
ถาม:ถ้าเรากินข้าวเช้า07:30 หยุดกินยาว กินอีกครั้ง18:30 นน.ลดจาก65เหลือ53 สุขภาพดี ไม่ทราบว่าอดแบบนี้เข้าข่ายทำไอเอฟไหม
หมอ:ได้ค่ะ แข็งแรงนะคะ ไม่กินจุกจิกก็พอแล้ว กินแค่2มื้อต่อวัน ห่างกัน11ชม.เกือบ12-13ชม. ก็โอเค ไม่ต้องไอเอฟเต็มรูปแบบหรอกค่ะ เรานน.พอใจแล้ว แค่ไม่กินพร่ำเพรื่อ สุขภาพก็จะดี เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะคะ
ถาม:พี่อายุ56 ทำไอเอฟได้ไหม และทำทุกๆวันตลอดไปได้ไหม เพราะพี่ข้อเข่าไม่ดี คลอเรสเตอรอลสูง ต้องการลดนน.
หมอ:ไอเอฟทำได้ในผู้สูงอายุ จะช่วยลดไขมัน ลดนน:ได้ดีมากๆ ทำเป็นชีวิตประจำวันได้เลย ไม่อันตราย หมอก็ทำอยู่
หมอปุ้ม.IFใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด: https://youtu.be/1NTbWUWojOQ
ประสบการณ์กิน09-12;00ของเรา
ส.7มีค.63
ต้มยำปลาช่อน นางเล็ด3แผ่น มะม่วงสุก1ลูก เฉาก๋วยน้ำเชื่อมกล้วยไข่3ลูก ข้าว1.5ทัพพี
ขับถ่าย ท้องผูก แม่้จะกินเกลือดำกับน้ำมะนาว
ศ.6มีค.63
ปลานิลชุบแป้งข้าวจ้าว+แป้งมันทอด ผัดคึ่นไช่ ไข่ดาว มะม่วงสุก
นมแพะ ข้าว1.5ทัพพี ก่อนเที่ยงกินเผือกนึ่งจิ้มน้ำตาลมะพร้าว3ชิ้น หลับหลังกิน แสดงว่าไม่ดีกับร่างกาย
พฤ.5มีค.63
ผัดปลาสวายสมุนไพร ผัดถั่วงอกใส่ไข่ มะม่วงสุก นมแพะ
ข้าว1.5ทัพพี
ทำแค่นี้ก็ผอมแล้ว.นพ.วีระพันธ์ สุววณามัย
กินแป้ง น้ำตาลเยอะ ทำให้หิวบ่อย ต้องกินของคบเคี้ยว
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด (ดูอา.1มีค.63)
11:44ง่วงนอนตอนบ่ายๆหลังอาหาร
24:22ไขมันหน้าท้อง
24:57ภาวะภูมิแพ้
26:18โรคsle
27:00การดื่มน้ำเมื่อเสียเหงื่อเยอะ
29:42ตัดถุงน้ำดี
11:44ง่วงนอนตอนบ่ายๆหลังอาหาร เพราะเรากินแป้ง ที่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งกระฉูด กระตุ้นอินซูลิน(เป็นฮอร์โมนที่ช่วยร่างกายในการปรับระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ให้สูงเกินไป หรือต่ำเกินไป เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความอ้วนกับความผิดปกติของตับอ่อนซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ผลิตอันซูลิน) สูงขึ้น แล้วกดน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลง ซึ่งเป็นช่วงง่วง เกิดสวิงหรือแกว่งของระดับน้ำตาล
ทำให้ร่างกายมีความเครียด(หงุดหงิด หาเรื่อง โทสะ?)
แก้โดยกินอาหาร ที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดแกว่งมาก
เช่น หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีแป้งสูงน้ำตาลสูง โดยตัดแป้งไปเลย
กินผัก โปรตีน ไขมัน
เราทำไอเอฟเพื่อลดอินซูลิน แต่อาหารที่กิน กระตุ้นอินซูลิน
มันทำให้ระดับอินซูลิน ลดลงช้ามาก
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
สาเหตุที่ทำให้การผลิตอินซูลินผิดปกติ
ความอ้วน
ไขมันส่วนเกินในร่างกายของผู้เป็นโรคอ้วนจะเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปจัดการน้ำตาลและไขมันในร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
ความผิดปกติของตับอ่อน
ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ผลิตอันซูลิน ซึ่งถ้าตับอ่อนเสื่อมสภาพหรือเกิดความผิดปกติ ก็จะมีผลต่อการผลิตอินซูลินให้เพียงพอต่อร่างกาย https://www.honestdocs.co/insulin
24:22ไขมันหน้าท้อง หลักๆจะสัมพันธ์กับฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียด(คอร์ติซอล) ที่สูง คนที่ทำไอเอฟ ลด%ความอ้วนลงได้
แต่ยังมีหน้าท้องอยู่
สิ่งสำคัญควรจะต้องทำคือ ลดความเครียด และนอนให้เยอะๆ
จะลดระดับฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดแล้ว ยังทำให้เรา จัดการกับหน้าท้องได้ง่ายขึ้น
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
24:57ภาวะภูมิแพ้ เกิดจากร่างกายมีการอักเสบมากขึ้น
ลำไส้เป็นส่วนที่ทำให้สิ่งแปลกปลอม เข้าร่างกายมากที่สุด
ทำให้ของเสีย รั่วเข้าไปในกระแสเลือด กระตุ้นการอักเสบสูงขึ้น
หลักๆที่ยอมรับกันคือ สารกลูเต้นซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง
อยู่ในอาหารประเภทธัญญพืช โดยเฉพาะแป้งสาลี(เบเกอร์รี่)
ผมแนะนำให้ทำดีท็อกซ์ เพื่อลดปริมาณสารพิษในร่างกายลง
หลีกเลี่ยงกินอาหารที่มีกลูเต้นสูง
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
26:18โรคslesle การแพ้ภูมิตัวเอง IFลดการดื้ออินซูลิน ทำให้ภาวะsle
ดีขึ้น
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
27:00การดื่มน้ำเมื่อเสียเหงื่อเยอะ เรามักแนะนำว่าในวันหนึ่ง ไม่ควรดื่มน้ำต่ำกว่า8แก้ว จริงอยู่ร่างกายมีส่วนประกอบเป็นน้ำ
แต่ไม่ใช่น้ำโดยตรง เป็นน้ำอิเล็คโทไลท์ มีเกลือแร่มากมาย
ไม่ได้เป็นน้ำเปล่าๆ เพราะฉะนั้น เราสูญเสียน้ำ แล้วดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
จะทำให้เกลือแร่ในร่างกาย ถูกลดสัดส่วนเกลือแร่ลง
ทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายขึ้น ผมเคยมีนักวิ่งมาราธอนถาม
เขาวิ่งเสียเหงื่อมาก ถึงจุดพัก เขาดื่มน้ำเปล่าเข้าไปมาก แล้วอาเจียน ปวดหัว เกิดจากอะไร
ตอบ:การที่คุณออกกำลังกาย คุณไม่ได้เสียเฉพาะน้ำ คุณเสียเกลือแร่ด้วย แต่คุณดื่มน้ำเปล่า มันทำให้เกลือแร่ในร่างกาย เจือจางลง...
ส่วนที่เป็นน้ำมีมากกว่าเกลือแร่ น้ำเข้าไปในเซลล์ได้มากขึ้น
ทำให้เซลล์บวม โดยเฉพาะที่เซลล์สมอง คุณจึงปวดหัว คลื่นไส้
คุณต้องชดเชยด้วยน้ำเกลือแร่
ยังมีความเชื่อที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ที่ว่าดื่มน้ำเปล่าเยอะๆผิวจะสวย
จริงๆผิวสวย คุณจะต้องกินไขมันให้พอ
แล้วต้องปล่อยให้ร่างกายสร้างไขมันซ่อมผิวของคุณได้
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
29:42ตัดถุงน้ำดี :คนที่ตัดถุงน้ำดีออก จะแนะนำให้กินไขมันอิ่มตัวอย่างไร
ตอบ:น้ำดีเราจะออกมาจากตับ มารวมที่ถุงน้ำดีก่อน
ทำให้น้ำดีมีความเข้มข้นมากขึ้น พอคุณกินอาหารไขมัน
ถุงน้ำดีจะบีบตัว ให้น้ำดีเข้มข้นออกมา
น้ำดีมีองค์ประกอบหลักๆคือคลอเรสเตอรอล เพื่อย่อยอาหารไขมัน
การที่คุณไม่มีถุงน้ำดี จะทำให้คุณมีปัญหา ย่อยอาหารไขมันมากขึ้น
โดยเฉพาะคุณกินไขมันใันปริมาณที่สูง และเป็นไขมันย่อยยาก
ในแต่ละคน จะมีปัญหาการย่อยไขมัน ที่แตกต่างกัน
ขึ้นกับว่าร่างกายปรับตัวได้แค่ไหน
ถ้ามีปัญหาการย่อยไขมัน ให้คุณหลีกเลี่ยงไขมันย่อยยาก เช่น หมู3ชั้น
เป็นชิ้นๆ ค่อนข้างจะมีปัญหาในการย่อยไขมัน
1คือปริมาณ 2คือรูปแบบของไขมัน สุดท้ายร่างกายย่อยไม่ได้จริงๆ
คือกลุ่มไขมันที่ซับซ้อนน้อยลง ทำให้ย่อยได้ง่ายขึ้น
หมอธนศักดิ์ ยิ้มเกิด.IFถามตอบ
********
กินมากคือต้นเหตุ ออกกำลังกายอย่างเดียวเผาผลาญไม่หมด
https://youtu.be/MnW9p_AK60kชื่อต้นซ้ำกัน นามสกุลต่าง
หนังสือชื่อ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เขียนโดย นพ.โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) แปลโดยพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสนพ. วีเลิร์น สรุปโดย .... ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/02/blog-post.html
| |||
3 ตุลาคม 2559 20:19 น. (แก้ไขล่าสุด 4 ตุลาคม 2559 14:57 น.) |
การควบคุมนน.แบบจำกัดช่วงกินหรือIFประสบการณ์ของหมอวีระพันธ์
เริ่มดูที่4:50
https://youtu.be/lHIFqG_UABc
ติดตามหมอโยชิโนริแต่เป็นภาษาญี่ปุ่น
https://youtu.be/W1TWz-R390Y
หมอไก่พาไปถึงญี่ปุ่น เพื่อดูการใช้ชีวิต ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือของหมอโยชิโนริ
ตอนที่1
https://youtu.be/tcXxzfXZ3Gg
ตอนที่2เหตุที่ทำให่เราแก่
https://youtu.be/KKRV7cvTKVU
ตอนที่3,4ตื่นเช้าอาบแสงอาทิตย์06-09:00น.
https://youtu.be/9YkayxcOcEU
https://youtu.be/39athB--qD4
1.กินมากเกินไป ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญมาก
ส่วนใหญ่จะเผาผลาญได้ไม่ดี เกิดสารตกค้างต่างๆ สารอนุมูลอิสระ แปลง่ายๆคือสารพิษตกค้างที่เกิดจากการเผาผลาญ ทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพก่อนที่ควรจะเป็น ทำให้เราแก่เร็ว
2.กินของว่างบ่อยๆ ร่างกายเราต้องเผาผลาญไม่หมด ต่างจากข้อ1 เป็นการทะยอยกินทีละนิด โดยรวมก็ถือว่ากินเยอะ เกิดสารพิษขึ้นมา
3.กินมื้อดึก หลัง18:00น.เป็นต้นไป ร่างกายไม่เหมาะต่อการกิน เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ไม่ดี ถึงแม้เรากินไม่เยอะในมื้อดึก ร่างกายเราก็จะเผาผลาญไม่หมดอยู่ดี ผลเสียจะตกกับร่างกาย มีการสะสมสารพิษ พูดง่ายๆเป็นขยะ ทำให้เซลเสื่อมสภาพเร็ว
(สรุปสาระหนังสือ)ยิ่งหิวยิ่สุขภาพดี(แกะกล่อง)7นาที
https://youtu.be/aw-IIoTsfgs
แนะนำหนังสือยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี(หนึ่งพุธ)บุญนิยมทีวี
https://youtu.be/wfSDy-0TbrM
ข้อความจากหนังสือยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี
https://youtu.be/AMMawZLFVJU
เสียงอ่านหนังสือเรื่องยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี
https://youtu.be/8okjG7mKWb8
1:07ผมหันมากินผักและเลิกกินเนื้อสัตว์ อาการท้องผูก หายในพริบตา
เล่ารายลเอียดจากหนังสือยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี ตามแนวพุธ
https://youtu.be/vdqvwAlUUbU
หนูดี
https://youtu.be/Upvc-n2aP2g
คัดลอกข้อความจากยิ่งหิวยิ่งอายุยืน
https://youtu.be/Aioc-DFwAFw
ข้อความจากหนังสือยิ่งหิวยิ่งอายุยืน
https://youtu.be/Aioc-DFwAFw
เนื้อหาแปลจากภาษาญี่ปุ่นโดยกูเกิล
Iijima เจ้าของฟาร์ม Iijima เพื่อนของฉัน เกษตรกรที่ซาโตชิ ประสบการณ์ปีที่ผ่านมา เขาเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่รุนแรง ปีก่อนหน้านี้ขยายไปยังปอด ในเวลานั้นทำไมผมไม่ได้ให้คำแนะนำของการรับประทานอาหารของโรคมะเร็ง ผมรู้สึกเสียใจมาก
และเพราะเป็นวันเกิดแซยิดของผมในปีนี้ จากความมุ่งมั่นอย่างเต็มรูปแบบที่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นี่คือโอกาสที่ผมเริ่มโครงการ "ชีวิตอาหาร", "
30 สิงหาคม (วันอาทิตย์) ที่ Nagumokurinikku Tokyo Institute ใน Chiyoda-ku, Tokyo Sanbancho ครูโยชิโนริ Nagumo ไม่เชื่อมากที่วันเกิดแซยิดมีความอ่อนเยาว์เช่นเยาวชน กับจุดเริ่มต้นของการทำงานใหม่ที่สมาคมอาหารญี่ปุ่น(JFDA) ใน"โครงการอาหารของชีวิต"
เพื่อที่จะรักษาชีวิตของผู้ที่กลายเป็นโรคมะเร็ง มีสิ่งที่สำคัญมากกว่าความคืบหน้าการป้องกันมะเร็งหรือการรักษาด้วยการฉายรังสี. หรือมีเป้าหมายที่ เพียงแค่มีการตรวจชิ้นเนื้อ แต่มันเป็นอาหาร.
มะเร็งเต้านมมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง. เกิดขึ้นและสิ่งที่อยู่ในขณะนี้ทุกคนรู้. อาหาร. อาหารที่เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรง
ในบรรดาอาหารที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งมีสาม คือ
1. คาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์(ข้าวอินทรีย์ ข้าวไร้สารพืษ)
2.ไขมันที่ไม่ดีน่าจะไขมันทรานส์
3.สารอื่นเช่นรสสารเคมี (ผงปรุงรสรสดีฯลฯ)
การแก้ปัญหาคือจะมีเพียงสามวิธี
ทั้งสามข้อนี้จะใส่ลงไปในบางส่วนของนิสัยการกินของเรา
เราhttp://www.functionaldiet.org/news/news30.html
กินอาหารรักษาโรค
ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้เกี่ยวกับการกินอาหารมื้อเดียวว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายตามพระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 265 "กกจูปมสูตร" ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว เมื่อเราฉันอาหารในเวลาก่อนภัตครั้งเดียว ย่อมรู้สึกคุณ คือ ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง กายเบา มีกำลัง และ อยู่สำราญ |
http://webboard.horoworld.com/topics/48281-1-1-เคล็ดลับกินข้าววันละมื้อ+ช่วยให้อายุลดลง+จาก+56+เหลือ+39.html
***************************************************************************************
การอดอาหารแบบ IF เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันและรักษาโรค “หกสหายวัฒนะ” คืออ้วน เบาหวาน ไขมันสูง ความดันสูง หัวใจ อัมพาต ที่ดัชนีมวลกายสูงผิดปกติ (น้ำหนักเกิน) หรือมีพุง
IF ย่อมาจาก Intermittent Fasting แปลว่าการอดอาหารแบบมีช่วงอดสลับกับช่วงกิน เขียนย่อโดยให้ช่วงอดนำหน้าช่วงกิน ถ้ารอบจบในหนึ่งวันก็ใช้ / คั่น เช่น 12/12 ก็กิน 12 ชั่วโมง อด 12 ชั่วโมง (มื้อเย็นให้จบก่อน 18.00 น.มื้อเช้าเริ่มหลัง 6.00 น.เป็นต้น) หรือเช่น 18/6 ก็หมายความว่าช่วงอดนาน 18 ชม. ช่วงกินนาน 6 ชม. ซึ่งก็คือกินแบบพระภิกษุสามเณร
ให้พยายามกินน้อยๆ กินมื้อเดียวได้ยิ่งดี กินผักแยะๆ กินเนื้อน้อยๆ ไม่กินเนื้อเลยได้ยิ่งดี กั๊กอาหารเข้าไว้ ปล่อยให้ตัวเองหิวบ่อยๆ แล้วโรคหกสหายของท่านจะดีขึ้นแน่นอน โดยไม่ถูกนำไปผ่าตัดทิ้งกระเพาะอาหาร ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะเป็นวิธีที่นำมาใช้รักษาโรคเบาหวานในอนาคต
หมอสันต์ ใจยอดศิลป์.มาตรฐานการรักษาเบาหวานให้หายในอนาคต ด้วยการผ่าตัดทิ้งกระเพาะอาหาร.2/2563
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/02/blog-post.html
ตอบครับ
ก่อนหน้าที่คุณจะเขียนจดหมายมา เคยมีคนเอาหนังสือเล่มนี้มาทิ้งไว้ให้ผมแล้วบอกว่าให้ผมแนะนำด้วยว่าจะทำตามดีไหม พอเห็นจดหมายของคุณ ผมจึงไปหยิบหนังสือนั้นมาอ่าน ผมเรียกชื่อคุณหมอญี่ปุ่นที่เขียนว่าหมอโยะก็แล้วกันนะ เพื่อความง่าย ท่านเล่าที่มาว่าตอนเป็นหมอผ่าตัดเสริมสวยเต้านมชีวิตก็สบายๆ ทำงานทุกอย่างได้อย่างใจ อยากได้อะไรก็สั่งเอา แต่พอมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้านหนึ่งก็ต้องมาอ้อนวอนไหว้วานคนอื่นให้ดูแลคนไข้ดีๆ อีกด้านหนึ่งก็ต้องคอยรับหน้ารับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของคนไข้ ซึ่งเครียดกว่ากันแยะมาก จนพี่แกน้ำหนักเพิ่มขึ้นไป 15 กก.แถมมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบเต้นบ้างหยุดบ้างอีกด้วย เนื่องจากพี่แกเป็นคนท้องผูก จึงมองเห็นอนาคตตัวเองว่าสักวันหนึ่งคงจะเบ่งอึได้ที่แล้วหัวใจหยุดเต้นม่องเท่งไปเลย เพราะก่อนหน้านั้นบางครั้งแกก็เคยเบ่งแล้วแน่นหน้าอกจนเกือบจะเป็นลมหัวทิ่มก็มี ด้วยความรักตัวกลัวตายหมอโยะแกก็เลยหันมาดูแลสุขภาพ พยายามลดความอ้วน ไปออกกำลังกายว่ายน้ำแล้วก็ยังไม่ผอม เพราะยิ่งว่ายยิ่งกิน ลองวิธีนับแคลอรี่เพื่อจำกัดอาหารนับไปนับมาก็เบื่อนับไม่ไหวก็เลยเลิก แล้วแกก็มาโป๊ะเชะลดน้ำหนักได้ดีเป็นวรรคเป็นเวรกับวิธีกินอาหารมังสะวิรัติบวกวิธีจำกัดอาหารให้น้อยลงจนเหลือมื้อหลักวันละมื้อเดียว ทำให้ลดน้ำหนักไปได้ 15 กก. และชีวิตดีขึ้น แกจึงเขียนหนังสือเล่มนี้เผยแพร่
คนทำตัวแบบหมอโยะนี่มีแยะนะครับ คือกินมังสะวิรัติด้วย กินมื้อเดียวด้วย ที่แน่ๆคนหนึ่งก็คือท่านมหาจำลอง (พลตรีจำลอง ศรีเมือง) ไง พูดถึงท่านมหาจำลอง เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2547 สมัยที่คลื่นซูนามิซัดภูเก็ต ผมไปทำงานช่วยคนที่บาดเจ็บที่นั่น ไปตัวคนเดียว ตกกลางคืนจะหาที่กินข้าวเย็นแต่ก็ไม่รู้จะไปกินที่ไหน บังเอิญได้พบกับมหาจำลองท่านพาคณะหมอจากญี่ปุ่นลงไปช่วยซูนามิเหมือนกัน ความที่รู้จักกันอยู่ก่อน พบกันกลางถนนท่านก็ชวนผมไปกินข้าวเย็นด้วย ผมไปร่วมโต๊ะกับก๊วนของท่าน ซึ่งแต่ละคนเป็นมังสะวิรัติที่มีกฎเหล็กทางอาหารเฉพาะตัวของใครของมัน ตัวท่านมหาไม่กินมื้อเย็น มานั่งเชียร์เฉยๆ ส่วนพลพรรคคนอื่นนั้นบางคนเป็นมังสะวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์ คือไม่แตะอะไรที่มาจากสัตว์เลย บางคนมังแบบกินนมไม่กินไข่ บางคนมังกินมันทั้งไข่ทั้งนม บางคนมังกินปลา บางคนมังกินหอย พวกมังกินหอยนี้ผมสอบถามแล้วได้ความพอจำได้เลาๆว่าเป็นสายเจ้าแม่กวนอิม อันนี่จำไม่ได้ชัดนัก ผิดถูกก็โปรดอภัย แล้วอาหารมังสะวิรัติเนี่ยเวลาวางอยู่บนโต๊ะมันดูไม่ออกหรอกครับว่ามังหรือไม่มัง เพราะหน้าตาเขาทำมาเหมือนกันหมด เวลาจะกินแต่ละคนต้องถามกันระเบ็งเซ็งแซ่ว่าอันนี้มังไหม อันนี้มังหรือไม่มัง อันนี้ไม่มังมั้ง โอ้ย.. ยุ่งชมัด ผมจึงแอบคิดแบบค่อนขอดในใจว่าคนกินมังสะวิรัตินี่เลี้ยงยากแฮะ และตั้งแต่นั้นมาผมก็เลยตั้งกฎการกินประจำตัวเองบ้าง ว่าผมเป็นพวก “ไม่มังแต่ชอบกินผัก” เอางี้แหละ เลี้ยงง่ายดี วันหน้ากลับไปเข้าก๊วนมหาจำลองอีกผมจะได้กินได้ทุกจานโดยไม่ต้องถาม
กลับมาเข้าเรื่องของหมอโยะ ผมจะตอบคุณเป็นประเด็นไปนะ
ประเด็นที่ 1. ผลของการกินมากเกิน (overnutrition) ข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบันนี้แน่ชัดแล้วว่าการกินมากเกิน เป็นผลร้ายต่อสุขภาพและทำให้อายุสั้นชัวร์ป๊าด ตัวชี้วัดว่าท่านกินมากเกินก็ใช้ตัววัดง่ายๆสามตัวเลยครับ คือ (1) ลงพุง (2) อ้วน (3) ไขมันในเลือดสูง ถ้าท่านมีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้แปลว่าท่านกินมากเกิน
ประเด็นที่ 2. จริงหรือไม่ถ้าให้สัตว์อดอาหารแล้วสัตว์จะอายุยืนขึ้น ตอบว่าเป็นความจริงในหนูโดยมีข้อแม้ว่ามีประเด็นพันธุกรรมของหนูเกี่ยวข้องด้วย แต่อาจไม่เป็นความจริงในลิง
เรื่องนี้มันมีรายละเอียดปลีกย่อยในเชิงวิทยาศาสตร์และการวิจัยแยะ ถ้าคุณอยากรู้จริงคุณต้องตั้งใจอ่าน คืองานวิจัยยุคก่อนปี ค.ศ. 1990 ซึ่งแบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินปกติ อีกกลุ่มหนึ่งให้กินอดอยากเล็กน้อย (น้อยกว่าปกติ 40%) แล้วพบว่าหนูกลุ่มที่อดอยากมีอายุยืนกว่า อันนี้แน่ชัด ทำกันหลายครั้ง ได้ผลแบบเดิมทุกครั้ง ผลวิจัยในหนูในห้องทดลองทำให้คนเรากระดี๊กระด๊าว่ามาตรการอดอาหารน่าจะเป็นทางไปสำหรับการมีอายุยืน และวงการโภชนาการทั่วโลกต่างก็เฝ้าติดตามเรื่องนี้
ต่อมาได้มีการเอาหนูป่าที่ไม่ได้เลี้ยงมาในห้องทดลองมาตั้งแต่เกิดมาทำการวิจัยอดอาหารดูบ้าง คือแข่งกันระหว่างหนูป่ากับหนูป่าด้วยกัน พบว่าการอดอาหารทำให้หนูป่าจำนวน 1 ใน 3 อายุสั้นลง แป่ว...ว
แล้วก็มีงานวิจัยเจาะลึกลงไปถึงพันธุกรรมของหนู จึงได้ถึงบางอ้อว่าหนูที่มีพันธุกรรมแบบที่จะอายุยืนถ้าอดอาหารก็มี (ก็พวกหนูที่พ่อแม่รวยได้อยู่ดีกินดีในห้องแล็บนั่นแหละ) และหนูที่มีพันธุกรรมแบบที่จะอายุสั้นเพราะอดอาหารก็มี
งานวิจัยในลิงเป็นอะไรที่ผู้คนในแวดวงโภชนาการสนใจติดตามกันมาก เพราะลิงก็คือคน เอ๊ย ไม่ใช่ ลิงมันคล้ายๆกับคน ในปีค.ศ. 2009 มหาลัยวิสคอนซินก็ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบผลของการอดอาหารในลิงที่ได้ติดตามดูนาน 20 ปี ซึ่งสรุปว่าลิงที่อดอาหาร (30%จากปกติ) มีอายุยืนกว่า เป็นเบาหวานน้อยกว่า เป็นหัวใจขาดเลือดน้อยกว่า เป็นมะเร็งน้อยกว่า ลิงที่อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งรวมทั้งตัวผมเองด้วยในตอนนั้น ยังมีความรู้สึกไม่ชัวร์กับงานวิจัยนี้เท่าไหร่ เพราะในรายงานวิจัยนี้ไม่ได้สนใจจำนวนลิงที่ตายทั้งหมดโดยให้เหตุผลว่าเป็นการตายที่ไม่ได้เกี่ยวกับการขาดอาหาร แต่ประเด็นของผมก็คือเมื่อเปรียบเทียบจำนวนลิงที่ตายด้วยเหตุอื่นๆนั้น กลุ่มที่อดอาหารตายมากกว่ากลุ่มที่ไมได้อดอาหาร ความข้อนี้ยังคาใจผมเรื่อยมา
จนในปีค.ศ. 2012 สถาบันความชราแห่งชาติอเมริกัน (National Institute of Aging) ที่แมรี่แลนด์ ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเปรียบเทียบผลของการอดอาหารต่อการมีอายุยืนของลิง 121 ตัว ที่ใช้เวลาทำมานานยี่สิบปีเช่นกัน โดยสรุปผลได้ว่าลิงกลุ่มที่อดอาหารไม่ได้มีอายุยืนกว่าลิงที่ไม่อดอาหาร พูดง่ายๆว่าการอดอาหารไม่ได้ทำให้อายุยืน (แป่ว..ว ครั้งที่สอง) ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการอกหักครั้งใหญ่ของพวกนิยมการอดอาหารเพื่อต่ออายุตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ผมขอตั้งข้อสังเกตให้ท่านผู้อ่านที่คิดจะเอาข้อมูลไปใช้นะครับ ว่างานวิจัยของมหาลัยวิสคอนซินซึ่งสรุปว่าลิงอดอาหารอายุยืนกว่าลิงกลุ่มควบคุมนั้น ลิงกลุ่มควบคุมของเขามีอิสระเสรีที่อยากจะกินอะไรก็ได้กินตามกิเลสของตัวเอง คือท่านลิงอยากกินอะไรหยิบกินได้ทุกเมื่อ แต่งานวิจัยสถาบันความชราแห่งชาติ (NIA) ซึ่งสรุปผลได้ว่ากลุ่มอดอาหารมีอายุยืนไม่ต่างจากกลุ่มควบคุมนั้น ลิงในกลุ่มควบคุมของเขาจะได้กินอาหารในปริมาณที่คำนวณให้แล้วว่า “พอดี” เท่านั้น ไม่ได้ให้กินตามใจปากเหมือนลิงวิสคอนซินนะครับ ตรงนี้สำคัญ ถ้าท่านจะอ้างงานวิจัยของ NIA ว่าอดอาหารกับไม่อดก็อายุยืนเท่ากันและท่านเลือกที่จะไม่อด แต่ท่านต้องกินแค่ “พอดี” นะครับ ไม่ใช่กินตามใจปากจนมากเกินไป จึงจะได้ชื่อว่ารู้จักเอาข้อมูลวิจัยไปใช้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ทำตัวตามใจปากแบบลิงวิสคอนซิน แล้วจะหวังให้อายุยืนเท่าลิงอดอาหารของ NIA อย่างนั้นเรียกว่าใช้ผลวิจัยแบบโกงนะครับ
ประเด็นที่ 3. ยีนเซอร์ทูอีน (Sirtuin) คืออะไร ตอบว่ามันเป็นยีนควบคุมเอ็นไซม์ในเซล มีแยกเป็นชนิดย่อยหลายตัว ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ช่วยเซลเผาผลาญ ซ่อมแซมการอักเสบ ซ่อมแซมดีเอ็นเอ. คุมการหลั่งอินสุลิน ยีนเซอร์ทูอีนมีอยู่จริง มีคุณสมบัติอย่างที่ว่าจริง เรียกว่าเป็นความจริงในห้องทดลอง (laboratory evidence) ซึ่งรู้กันทั่วไป แต่ที่คุณหมอโยะบอกว่าถ้ามนุษย์หิวจนได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆแล้วยีนเซอร์ทูอีนในเซลของมนุษย์จะขยันเฮโลออกมาทำงานนั้นยังไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์อะไรยืนยันว่าจริงครับ หมอโยะคงเดาเอาจากงานวิจัยในยีสต์ซึ่งทำในห้องทดลอง และพบว่าเมื่อให้เซลยีสต์อดอาหาร ยีนเซอร์ทูอีนจะผลิตเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และทำให้เซลยีสต์มีอายุยาวขึ้น หมอโยะคงเดาเอาว่าในคนคงจะเป็นแบบเดียวกัน แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ หลักฐานในห้องทดลองเป็นหลักฐานระดับต่ำ จะเอามาใช้ในคนทันทีลุ่นๆเลยไม่ได้ งานวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างการอดอาหารและพฤติกรรมของยีนเซอร์ทูอีนในคนโดยตรงยังไม่มี
อันที่จริงงานวิจัยการอดอาหารในคนก็พอมีนะแต่มันไม่ได้วัดเซอร์ทูอีนโดยตรง คือเมื่อปี 2006 วารสาร JAMA ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในคนซึ่งกินอาหารแคลอรี่ต่ำเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมซึ่งสรุปได้ว่าคนที่ลดอาหารจะมีสิ่งต่อไปนี้ดีกว่าคนไม่ลด คือ (1) การซ่อมดีเอ็นเอ. (2) การหลั่งอินสุลิน (3) การลดอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งในส่วนของการซ่อมดีเอ็นเอ.และการหลังอินสุลินนั้นอาจจะเกี่ยวกับเซอร์ทูอีนโดยอ้อม
ประเด็นที่ 4. โกรทฮอร์โมน (growth hormone) มาเกี่ยวอะไรกับการมีอายุยืน มันเป็นฮอร์โมนช่วยเด็กให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือ ตอบว่าคุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ โกรทฮอร์โมนมีหน้าที่ในการเติบโต แต่ความบ้าว่าโกรทฮอร์โมนทำให้อายุยืนนี้มันเป็นกลไก “จับไปกระเดียด” ซึ่งเป็นนิสัยแก้ไม่หายของวงการแพทย์ มันเริ่มในปีค.ศ. 1990 เมื่อหมอชื่อรัดแมนได้ตีพิมพ์งานวิจัยของเขาในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ว่าเขาเอาคนแก่อายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 12 คนมาฉีดโกรทฮอร์โมน (โดยไม่มีกลุ่มควบคุมนะ) แล้วรายงานว่าคนแก่เหล่านั้น เมื่อเทียบกับตัวเองก่อนฉีดแล้วจะมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น มีมวลกระดูกแน่นขึ้น เพียงแค่นี้ก็ทำให้เกิดความบ้าได้แล้ว คือคนก็เอาไปกระเดียดต่อยอดว่าเฮ้ย ปกติคนแก่มวลกล้ามเนื้อจะลดลงทุกวัน กระดูกจะบางลงทุกวัน การที่โกรทฮอร์โมนทำให้มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและกระดูกแน่นขึ้น ก็แสดงว่าโกรทฮอร์โมนต่อต้านความแก่ได้สิ แสดงว่ามันทำให้อายุยืนได้สิ ความบ้านี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมีการรวมหัวกันตั้งวิทยาลัยเวชศาสตร์ชะลอวัย (American Academy of Antiaging Medicine - AAAM)ขึ้นมาสอนการฉีดโกรทฮอร์โมนในคนแก่กันอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งก็ทำกันอยู่จนทุกวันนี้ ในเมืองไทยก็มีหมอรับจ้างฉีดกัน ส่วนหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ว่าโกรทฮอร์โมนทำให้อายุยืนนั้นไม่มีหรอกครับ คุณไม่ต้องไปหาหรอก ณ วันนี้ยังไม่มีแน่นอน
ประเด็นที่ 5. ฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) คืออะไร ที่หมอโยะเล่าว่าเมื่อไม่มีอาหารตกถึงลำไส้เล็ก ไส้เล็กจะหลั่งฮอร์โมนโมลิติน (Molitin) ออกมาทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว และเมื่อไม่มีอาหารค้างอยู่ กระเพาะจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมาซึ่งเรียกว่าฮอร์โมนหิว เกรลินนี้ตัวรับ (receptor) ของมันในสมองหากถูกกระตุ้นแล้วจะทำให้มีการะปล่อยโกรทฮอร์โมนออกมา ทั้งหมดนี้เป็นความจริงทางสรีรวิทยาที่วงการแพทย์ทราบมานานแล้ว แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการมีอายุยืนนะครับ
ประเด็นที่ 6. ถ้าหิวแล้วไม่ได้กิน พุงจะแห้งจริงหรือ ตอบว่าจริง โดยมีข้อแม้ว่าถ้าไม่มีการกินแบบล้างแค้นหรือล้างผลาญหลังจากนั้น ที่หมอโยะว่าเมื่อหิว แล้วไม่มีอาหาร ร่างกายจะไปเอาไขมันสะสมมาใช้ อันนี้ก็เป็นความจริงทางสรีรวิทยาแน่นอน สูตรลดความอ้วนแบบจำกัดแคลอรี่จึงทำให้ผอมได้ไงครับ
ประเด็นที่ 7. ถามว่าโดยรวมหมอสันต์เห็นด้วยกับหมอโยะไหม ผมขอแยกตอบเป็นสองกรณีนะ
กรณีที่ 1. ถ้าคุณน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลกายเกิน 25) หรือมีพุง หรือไขมันในเลือดสูง อย่างใดอย่างหนึ่ง (ซึ่ง 80% ของคนอ่านบล็อกหมอสันต์น่าจะเป็นกรณีนี้) ผมแนะนำว่าเชื่อหมอโยะเขาเถอะครับ ทำตามเขาว่าเถอะ กินน้อยๆ กินมื้อเดียวได้ยิ่งดี กินผักแยะๆ ไม่กินเนื้อเลยได้ยิ่งดี กั๊กอาหารเข้าไว้ ปล่อยให้ตัวเองหิวบ่อยๆ ฟังเสียงท้องร้องจ๊อกๆแทนเสียงดนตรี แล้วคุณจะป่วยน้อยลง และอายุยืนขึ้นแน่นอน
กรณีที่ 2. ถ้าคุณเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย หุ่นปลาเค็ม ดัชนีมวลกายต่ำกว่ามาตรฐาน (ต่ำกว่า 18.5) ผมว่าคุณอยู่ห่างๆหมอโยะไว้ดีกว่าครับ เพราะคุณอาจจะกำลังเป็นโรคขาดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจขาดอาหารโปรตีนอยู่ หากไปอดอาหารตามหมอโยะเข้า คุณอาจจะกระดูกหักก่อนแก่ หรือได้ไปสวรรค์ก่อนเวลาอันควรก็ได้นะครับ (หิ หิ พูดเล่น)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/02/blog-post.html
*******
กรุงเทพธุรกิจ
หน้าหลัก :การเมือง
ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี
โดย : ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
วันที่ 20 มกราคม 2558, 01:00
อ่านแล้ว 15,374 ครั้ง
ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี
ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่
คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า
หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น
ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้
“ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา
คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”
ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี
เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด
ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง
ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น
ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ
(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน
(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ
นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง
หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......”
นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ
คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า
คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น
การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ
“ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เป็นหนังสือน่าอ่านที่ให้แง่มุมที่ชวนคิดสำหรับสุขภาพอย่างยิ่ง ปีใหม่นี้เราจะไม่ให้อะไรเป็นของขวัญแก่ร่างกายของเราบ้างหรือครับ เราจะทำอย่างเดิมๆ ดังที่เคยทำมาตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/629608
นายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) กับคนข้างล่างนี้ คือคนเดียวกันไหม
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/02/blog-post.html
ตอบครับ
ท่านเล่าที่มาว่าตอนเป็นหมอผ่าตัดเสริมสวยเต้านมชีวิตก็สบายๆ ทำงานทุกอย่างได้อย่างใจ อยากได้อะไรก็สั่งเอา แต่พอมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้านหนึ่งก็ต้องมาอ้อนวอนไหว้วานคนอื่นให้ดูแลคนไข้ดีๆ อีกด้านหนึ่งก็ต้องคอยรับหน้ารับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของคนไข้ ซึ่งเครียดกว่ากันแยะมาก จนพี่แกน้ำหนักเพิ่มขึ้นไป 15 กก.แถมมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบเต้นบ้างหยุดบ้างอีกด้วย เนื่องจากพี่แกเป็นคนท้องผูก จึงมองเห็นอนาคตตัวเองว่าสักวันหนึ่งคงจะเบ่งอึได้ที่แล้วหัวใจหยุดเต้นม่องเท่งไปเลย เพราะก่อนหน้านั้นบางครั้งแกก็เคยเบ่งแล้วแน่นหน้าอกจนเกือบจะเป็นลมหัวทิ่มก็มี ด้วยความรักตัวกลัวตายหมอโยะแกก็เลยหันมาดูแลสุขภาพ พยายามลดความอ้วน ไปออกกำลังกายว่ายน้ำแล้วก็ยังไม่ผอม เพราะยิ่งว่ายยิ่งกิน ลองวิธีนับแคลอรี่เพื่อจำกัดอาหารนับไปนับมาก็เบื่อนับไม่ไหวก็เลยเลิก แล้วแกก็มาโป๊ะเชะลดน้ำหนักได้ดีเป็นวรรคเป็นเวรกับวิธีกินอาหารมังสะวิรัติบวกวิธีจำกัดอาหารให้น้อยลงจนเหลือมื้อหลักวันละมื้อเดียว ทำให้ลดน้ำหนักไปได้ 15 กก. และชีวิตดีขึ้น แกจึงเขียนหนังสือเล่มนี้เผยแพร่
Professor Yoshinori Ohsumi, ชาวญี่ปุ่นผู้นี้ ได้รับรางวัลโนเบลในปี2016 ค้นพบการอดอาหารทำให้ดูหนุ่มกว่าวัย และอายุยืนยาว
กระดานสนทนา หมวด ข่าว Socialโพสท์โดย SpiderMeaw
Photo: http://www.tula.kp.ru/
Professor Yoshinori Ohsumi, คนญี่ปุ่นผู้นี้ ได้รับรางวัลโนเบลในปีนี้ เพราะเขาค้นพบว่า การอดอาหาร หรือ Fasting, Caloric restriction เช่น การอดอาหารเย็น จะทำให้เซลล์เกิดกระบวนการรีไซเคิลเอาสิ่งที่เป็นส่วนเกินมาใช้ และทำลายสิ่งที่ใช้การไม่ได้ในเซลล์ จึงมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ลดการแก่เร็วก่อนเวลาได้ข้อค้นพบนี้ของเขาเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลโนเบลในปีนี้...นี่เป็นความรู้ใหม่จริงๆ ครับ ก่อนหน้านี้มีหมอชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเขียนหนังสือบอกว่า การอดอาหารทำให้ดูหนุ่มกว่าวัย และอายุยืนยาว หลายคนคงไม่เชื่อ โดยคิดเถียงเขาว่า ถ้างั้นพวกที่อดอยากในเอธิโอเปียคงเป็นหนุ่มเป็นสาวกันนานกว่าที่อื่นนะสิ แต่มาคิดดูอีกที นั่นก็อดอาหารมากเกินไป ถ้าอดพอประมาณ เช่นอดแค่อาหารเย็น แต่ไม่กินข้าวเช้า-กลางวันมากไป ก็น่าจะเป็นผลดี และพบในคนที่อายุยืน หลวงปู่ หลวงตา คนอายุเกินร้อย ดังที่คนญี่ปุ่นคนนี้ค้นพบ จนได้รับรางวัลโนเบล... เห็นทีต้องพยายามลดอาหารเย็นลงบ้างแล้ว...
***ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมโดยสังเขป สามารถอ่านดูได้ในข่าวนี้ครับ...http://www.pravoslavie.ru/english/print97617.htm
แชร์มาจาก ไชยยันต์ สุขบาล via ศ.เกียรติคุณ ด.ร ไมตรี สุทธจิตต์
ขอบคุณที่มาไชยยันต์ สุขบาล
https://www.facebook.com/chaiyan.sukbal
ฉบับภาษาอังกฤษ https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/2016/press.html
ลดความอ้วนโดยลดน้ำหนักตัวเอง
7 ขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณ
เช้าตักน้ำผึ้ง 1 ช.ต ค่อยๆจิบจนหมด ตามด้วยน้ำอุ่น น้ำอุ่นเจอน้ำผึ้งจะไปหยุดยั้งน้ำย่อยทำให้หิวน้อยลง กินน้อยลง รูปร่างจึงดีขึ้นไม่อ้วน
แต่ถ้ากินน้ำผึ้งเสร็จ แล้วตามด้วยน้ำเย็น ปรากฏว่า น้ำย่อยหลั่งออกมา 10 เท่า คราวนี้อ้วนเผละเลย
หมอสันต์
นพ.ธนัญชัย อิศราพิสิษฐ์ ได้เขียน เป็นประโยชน์มากข้าพเจ้าคัดลอกบางส่วน เฉพาะที่ตัวเองไม่รู้ และขอนำมาเผยแพร่ต่อ ..... ดังนี้
https://www.facebook.com/chaiyan.sukbal
ฉบับภาษาอังกฤษ https://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/laureates/2016/press.html
บรรยายสุขภาพกับป้านิดดาหัวข้อลดนน.
**************************************************************************************
ลดความอ้วนโดยลดน้ำหนักตัวเอง
มันฝรั่ง เนยถั่ว ไส้กรอก อาหารใส่สารกันบูดต้องทิ้ง
ตื่นแต่เช้าเดินทุกวันเวลา06:00 ตามด้วยเหยียดยืดปรับสมดุล
12:00 กินอาหารไม่เกินอุ้งมือของเรา
เย็นกินอาหารให้เร็วขึ้น เพื่อใช้เวลาไปทำอย่างอื่น
2ชม.ก่อนเข้านอนต้องไม่กินอะไร
ดร.อ๊อซโชว์ 15/8/57 ตอนตอบคำถามสุขภาพคนดัง
***************************************************************************************
ต้องแกงกะทิใหม่ ต้มทุกอย่างให้เสร็จ ใส่กะทิสุดท้ายปิดไฟเลย ไม่ต้องเคี่ยวให้แตกมัน
น้ำมันหีบเย็นเป็นน้ำมันสุขภาพ(=ไม่ผ่านความร้อน)
กินปลาสัตว์น้ำ งดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม https://youtu.be/oi9CMuJtejE
คนมีพุง จากโน้ต อุดม จัดการกินให้ได้ ลดได้มากกว่าออกกำลังกาย
7 ขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณ
เช้าตักน้ำผึ้ง 1 ช.ต ค่อยๆจิบจนหมด ตามด้วยน้ำอุ่น น้ำอุ่นเจอน้ำผึ้งจะไปหยุดยั้งน้ำย่อยทำให้หิวน้อยลง กินน้อยลง รูปร่างจึงดีขึ้นไม่อ้วน
แต่ถ้ากินน้ำผึ้งเสร็จ แล้วตามด้วยน้ำเย็น ปรากฏว่า น้ำย่อยหลั่งออกมา 10 เท่า คราวนี้อ้วนเผละเลย
หมอสันต์
เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย…ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง
ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์
เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้ รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย
ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย
ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็น ของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่ง เรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุ ที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำ ให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้ เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่น เลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดิน ไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ
ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็น เรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย
ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสีย ไม่ดีกว่าหรือ
คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มที่ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว หรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย
คนอ้วนคือ.......
580913 8อ อ.นิดดา หงษ์วิวัฒน์2 https://youtu.be/F54XZz1sZ6Y
ป้านิด: คนอ้วนคือพวกที่ขาดเกลือแร่ เพราะฉะนั้นจะหิว อยาก เพราะนี่เป็นกลไกเดียวที่เราจะได้เอาอาหารใส่ปาก แต่เรากินสิ่งที่ไม่เป็นเกลือแร่ จึงหิวโหยอยู่เรื่อยๆ ก็กินๆ ก็ไม่ใช่อีก
หมอฟ้ารักษ์: เกลือแร่มาจากอะไรท่านผู้ชม ตอบปัญหาหน่อย
ตอบมาจากผักผลไม้
ถามว่าการกินน้ำผักผลไม้เป็นดีท็อกซ์ได้ไหม
ป้านิด: ได้ เพราะดีท็อกซ์คือการขับพิษ การขับพิษสัมพันธ์กับอะไร
ตอบว่าตับและม้าม เพราะฉะนั้นเมื่อเราอดอาหารกินแต่น้ำผักผลไม้ซึ่งย่อยง่าย
ถามว่าตับทำงานไหม
ตอบว่าไม่ต้องทำงาน ตับได้พัก เอ็นไซม์ไม่ถูกใช้ นั่นคือหยุดการใช้เอ็นไซม์( เอ็นไซม์ 3 ตัวที่อยู่ในร่างกายเรา คือ เอ็นไซม์ย่อยแป้ง ย่อยไขมัน และย่อยโปรตีน เขาพบแล้วว่าเอ็นไซม์ 3ตัวนี้เข้าไปในกระแสเลือดได้ เป็นตัวฆ่ามะเร็งโดยตรง)ร่างกายก็ไม่ขาดเอ็นไซม์
เรื่องเล่าจากคนเคยอ้วน
แกว่งแขนเช้าบ่ายพร้อมกันในที่ทำงาน
โพสต์ by ลดพุง ลดโรค.
กินข้าวลดลง
ฉบับเต็มอ่านได้จากหนังสือปฏิวัติชีวิต... ปฏิวัติสุขภาพ. กรุงเทพฯ : ดีจีเอ็ม, 2555.
นพ.ธนัญชัย อิศราพิสิษฐ์ ได้เขียน เป็นประโยชน์มากข้าพเจ้าคัดลอกบางส่วน เฉพาะที่ตัวเองไม่รู้ และขอนำมาเผยแพร่ต่อ ..... ดังนี้
หน้า219 ต้องไม่ใช่ข้าวขาว
การนำข้าวไปขัดขาวเป็นการทำลายสารอาหาที่มีประโยชน์้กือบทั้งหมด
ชอบกินเพียงเพราะนุ่ม (จึงกินมากไป)
หน้า222 ต้องกินลดลง เมื่ออายุเพิ่มขึ้น
ในความเป็นจริง ข้าวไม่ใช่อาหารหลักตามธรรมชาติ ของมนุษย์
อาหารหลักตามธรรมชาติ ของมนุษย์ คือ พืช ผักสด ผลไม้สด...
ข้าวและธัญพืชเป็นอาหาร...อารยธรรมใหม่ของมนุษย์...
การอาศัยอยู่ตามป่า ตามถ้ำ มาสร้างชุมชน...ทำให้มนุษย์ขาดแคลน
แหล่งอาหารตามธรรมชาติ ต้องปลูกข้าวและธัญพืช เลี้ยงสัตว์กินแทน
พืช ผักสด ผลไม้สด...
ในช่วง20ปีแรก เรากินข้าวได้มาก...โดยไม่ก่อโรค...เพราะร่างกายต้องการใช้พลังงานจากอาหาร...เพื่อดำรงชีวิต...และเจริญเติบโต
แต่หลัง20ปีแรก ร่างกายหยุดจริญเติบโต...ร่างกายต้องการ
พลังงานจากอาหาร...เพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น
ถ้ายังกินอาหารเท่ากับช่วง20ปีแรก....เราจะกินมากเกินไป
ยิ่งหลัง30ปี...ภาวะกินมากเกินไป...จะยิ่งปรากฏชัด...จะอ้วนขึ้นชัดเจน..
เมื่ออายุมากขึ้น...ต้องกินคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน...ต้องลดลงเช่นกัน...
ในทางปฏิบัติทำยาก...เพราะเกิดความหิว...
ตัวเราขาดความสุข...ก็ไม่มีใครทำ...
การแก้ปัญหา...ให้กิน...พืช ผักสด ผลไม้สด...50%ของความอิ่ม...
ก่อนกินอาหารชนิดอื่น...เพื่อแย่งพื้นที่กระเพาะอาหาร...เราจะได้กินในปริมาณเท่าเดิม...โดยลดคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันลง...50%...
50%ที่เหลือของความอิ่ม...มีสารอาหารประเภทไหน...มากที่สุด
คาร์โบไฮเดรต...มากที่สุด โปรตีน ไขมันเพียงเล็กน้อย...
แสดงว่าคาร์โบไฮเดรตเกือบไม่ลดลงเลย...โปรตีน ไขมัน...ลดลงมาก...
ทำให้ต้องลดกินคาร์โบไฮเดรต...ลงจากเดิมอย่างมาก...
เพิ่มโปรตีน ไขมัน...เล็กน้อย...
เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น...ยิ่งต้องกินอาหาร...น้อยลง
ถ้าลดปริมาณการกินไม่ได้...เนื่องจากทนหิวไม่ไหว...
ให้เพิ่มสัดส่วน..พืช ผักสด ผลไม้สด
ลดข้าวไม่ขัดขาวลง...ปริมาณที่แนะนำดังนี้
อายุ 31....~2 ทัพพีของความอิ่ม...
41...~1.5
51...~1
61../~0.5
สูงวัยมากๆ...หรือเป็นเบาหวาน...งดกินข้าว
เปลี่ยนมากิน..พืช ผักสด ผลไม้สด...แทนข้าว...
สุขภาพจะแข็งแรงดีมาก...
แสดงว่าคาร์โบไฮเดรตเกือบไม่ลดลงเลย...โปรตีน ไขมัน...ลดลงมาก...
ทำให้ต้องลดกินคาร์โบไฮเดรต...ลงจากเดิมอย่างมาก...
เพิ่มโปรตีน ไขมัน...เล็กน้อย...
เมื่ออายุยิ่งมากขึ้น...ยิ่งต้องกินอาหาร...น้อยลง
ถ้าลดปริมาณการกินไม่ได้...เนื่องจากทนหิวไม่ไหว...
ให้เพิ่มสัดส่วน..พืช ผักสด ผลไม้สด
ลดข้าวไม่ขัดขาวลง...ปริมาณที่แนะนำดังนี้
อายุ 31....~2 ทัพพีของความอิ่ม...
41...~1.5
51...~1
61../~0.5
สูงวัยมากๆ...หรือเป็นเบาหวาน...งดกินข้าว
เปลี่ยนมากิน..พืช ผักสด ผลไม้สด...แทนข้าว...
สุขภาพจะแข็งแรงดีมาก...
ไหวไม่ไหวอยู่ที่ใจ
ได้เขียนไว้ในรูปข้างบน เป็นประโยชน์มากข้าพเจ้าคัดลอกบางส่วน เฉพาะที่ตัวเองไม่รู้ และขอนำมาเผยแพร่ต่อ ..... ดังนี้
สรรสาระ (Reader's Digest) ฉบับกันยายน 2556 ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับ "ไอเดียลดอ้วนอย่างสร้างสรรค์" ของอาจารย์โจ คิทา ในเรื่อง "มองบาปในแง่ดี"
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/548853
การลดความอ้วน เป็นอะไรที่ยากมากๆ
.
ทว่า... ถ้าทำได้ คงจะทำให้คนเรามีชีวิตยืนยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตมากขึ้น เช่น ลดเสี่ยงเบาหวาน ฯลฯในระยะยาว
.
ข่าวดี คือ อาจารย์โจ คิทา แนะนำไอเดียที่จะทำเรื่องยากให้ง่ายขึ้นมาก คือ...
(1). นอนให้พอ
.
คนที่นอน 5 ชั่วโมง/คืน หรือน้อยกว่านั้น เสี่ยงอ้วนเพิ่มขึ้น 55%
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ นอนไม่พอทำให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว-ความอิ่ม (เลปติน-เกรลอิน) ตีรวน
.
.
(2). ฝันกลางวัน
.
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา สหรัฐฯ พบว่า การนั่งสบายๆ ทำตัวเหม่อลอยนิดๆ ฝันกลางวันหน่อยๆ หลังอาหารกลางวัน 12 นาที ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ 41%
.
.
(3). ฝึกสมาธิ
.
ถ้าต้องการผลดีกว่านั้น, ให้ฝึกทำสมาธิ และฝึกต่อเนื่องอย่างน้อย 8 สัปดาห์
.
ทั้งนี้และทั้งนั้น... ถ้าจะไปฝึกสมาธิที่ไหน ให้ระวังเจ้าสำนักที่เน้นการบริจาคเกินตัวให้มาก เพราะอาจเพิ่มเสี่ยงโรคทรัพย์จางได้
.
.
(3). กินอะไรอร่อยๆ ตอนเช้า 2-3 คำ
.
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ อิสราเอล พบว่า การกินอาหารสุขภาพตอนเช้าที่ดีกับสุขภาพแบบสมดุล หรือให้มีอาหารครบทุกหมู่
.
เริ่มจากการเปลี่ยนข้าวข้าวเป็นข้าวกล้อง เปลี่ยนขนมปังขาวเป็นโฮลวีท (ขนมปังเติมรำ สีน้ำตาล), ผลไม้ที่ไม่หวานจัดทั้งผล เช่น ฝรั่ง ชมพู่ ส้มโอ ส้ม แอปเปิ้ล กล้วยที่ไม่สุกจัด ฯลฯ, เมล็ดพืช เช่น งา อัลมอนด์ ฯลฯ, ผัก (ผักสุกทำให้กินผักได้มากเป็น 2 เท่าของผักดิบในปริมาณเท่ากัน), นมจืดหรือนมถั่วเหลือง
.
.
กินให้เกือบๆ อิ่ม หรือประมาณ 80% ของขนาดที่ทำให้อิ่ม แล้วปันใจให้อะไรอร่อยๆ สัก 2-3 คำ
.
เช่น ขนมที่ชอบ ฯลฯ จะช่วยให้โปรแกรมลดน้ำหนักประสบความสำเร็จมากขึ้น
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ อะไรที่ตึงเกินไป เช่น การไม่กินขนมเลย ฯลฯ อาจทำให้เก็บกดความอยากมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ "ทนไม่ไหวอีกต่อไป"
การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า คนที่อ้วนฟิต มีโอกาสอายุยืนมากกว่าคนผอมไม่ฟิต (ถ้าไม่มีโรคเรื้อรังเท่ากัน)
.
ขั้นแรก คือ ทำตัวให้ฟิต และรักษาน้ำหนักให้คงที่ก่อน
.
เมื่อฟิตแล้ว... จะลดเท่าไร ค่อยว่ากันวันหลังก็ได้นี่
ลดน้ำหนักแบบคนไทยโบราณ
บทความโดย อาจารย์คมสัน ทินกร ณ อยุธยา (แพทย์แผนไทย)
ใครที่เคยเห็นภาพถ่ายบุคคลสมัยก่อนจะพบว่าคนไทยโบราณไม่อ้วนเหมือนคนไทยสมัยนี้ ส่วนผู้มีอันจะกินอ้วนท้วนสมบูรณ์ตามค่านิยมในสมัยนั้น ซึ่งไม่ใช่ไม่มีจะกิน อาหารการกินนั้นสมบูรณ์ปลอดภัยกว่าคนสมัยนี้เยอะมาก แต่ที่ไม่อ้วนเพราะเขารู้จักกิน เขารู้ว่าถ้าอ้วนจะเจ็บป่วยหมอสมัยก่อนมีน้อยหายากไม่อ้วนไม่ป่วยดีที่สุด
หมอไทยกล่าวว่า คนปฎิสนธิเป็นธาตุน้ำจะอวบอ้วนเจ้าเนื้อเป็นพื้นปกติ หรือผู้เมื่อกำเนิดเจ้าเนื้อแต่ออกท้องแม่ มักเจ้าเนื้อเมื่อโตใหญ่ อันนี้เป็นธรรมดาของเขา ถ้าผอมไปจะผิดจากธาตุปกติของเขา จะเจ็บป่วยได้ง่ายเช่นคนที่ปฏิสนธิเป็นธาตุไฟมักจะผอม ถ้าอ้วนจะเจ็บป่วยได้ง่าย
ถ้าคิดจะลดน้ำหนักควรพึงดูธาตุปกติปฎิสนธิของตนด้วย อย่าให้ผิดจากกายลักษณะปกติของเรานัก ที่สำคัญคือเรื่องกิน ด้วยเป็นต้นกำเนิดของความอ้วน ต้องกินให้เป็นไม่ใช่พึ่งกันแต่ยาลดน้ำหนัก กินอยู่แบบคนไทยสมัยก่อนกินอยู่ดังนี้ กินอาหารที่ปรุงด้วยวิธี ต้ม/ยำ/ตำ/แกง เท่านั้น ผัด ทอดไม่เอาไม่กิน เช้ามากินอาหารรสเปรี้ยวออกร้อนด้วยเครื่องเทศ กลางวันกินอาหารกลมกล่อมรสไม่จัด เย็นค่ำกินอาหารสเผ็ดร้อนดี และกินเมื่อหิวเท่านั้นไม่มีมื้ออาหาร เมื่อหิวดูเวลาและกินอาหารให้ถูกรสถูกกับเวลาดังกล่าวข้างต้น นั่นคือเรื่องกิน
ส่วนเรื่องอยู่ เราอยู่เมืองร้อน เมืองฝนไม่ใช่เมืองหนาวเย็น ต้องเคลื่อนที่อย่างฉับไว ไม่ใช่นั่งกันแต่ในห้องแอร์ซึ่งให้ความรู้สึกสบายไม่อยากเคลื่อนกายไปไหน การเคลื่อนที่ของคนอยู่เมืองร้อนให้ประโยชน์อย่างมาก
1.เมื่อกายเคลื่อน ลมภายในร่างกายก็เคลื่อน ทำให้เราไม่อึดอัดจากลมในร่างกายที่มีต้นทางจากความร้อนภายนอก
2. การเคลื่อนที่ทำให้ลมเคลื่อนไปดันเลือดให้หมุนเวียนดีทั้งระบบ ไม่ชามือชาเท้าเหมือนคนเคลื่อนไหวน้อย
3.การเคลื่อนไหวเหงื่อจะออก และเกิดการหมุนเวียนของอากาศรอบตัว ทำให้กายเย็นลง
4.การเคลื่อนไหวทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อได้ทำงาน ร่างกายแข็งแรง ไม่สมบูรณ์จากความอ้วน
ถ้ากินอยู่ได้ดังนี้ไม่อ้วน แต่จะแข็งแรงอายุยืนนาน หลายคนบอกว่าทำไม่ได้ด้วยเหตุผลอันหลากหลาย ก็ต้องบอกกันอย่างตรงไปตรงมาว่า แสดงว่าเรามีเวลาและเงินพร้อมสำหรับไปนอนที่โรงพยาบาลในวันหน้า ด้วยโรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรค อื่นๆอีกมากมายเหลือคณานับ แถมยังมีโรคเพิ่มจากยาลดน้ำหนักอีกเพราะหาซื้อง่าย เร็วดี ไวดี โดยไม่ต้องไปเสียเวลากับการเปลี่ยนแปลงเรื่องอยู่เรื่องกิน อยากลดแต่ทำอะไรๆเดิมๆได้ปรกติ
เคยสังเกตุไหมว่าเมื่อเราอายุน้อยหุ่นดี กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่พออายุมากขึ้นกินน้อยกว่าเดิม แต่ทำไมเจ้าเนื้อขึ้นเรื่อยๆ หมอไทยตอบว่า ก็เพราะตอนวัยรุ่นร่างกายมีความร้อนมากเรียก ปิตตะ (น้ำย่อยหลั่งดี)มีการเผาผลาญดี ต่อเมื่ออายุมากขึ้น การเผาผลาญลดลง กลายเป็นมันเหลวพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เรียก ปิตตะหย่อน (การหลั่งน้ำย่อยลดลง) ถ้าจะไม่อ้วนให้ทานน้ำกระสายยาช่วยย่อยหลังมื้ออาหารแบบคนสมัยก่อนเขาทำกัน ช่วยย่อยและขับลม ด้วยเป็นวัยที่ลมกำเริบได้ง่าย
แต่คนสมัยนี้ไม่ทำอาหารเองหาซื้อเอาข้างหน้า อาหารจานด่วน อาหารอุ่นไมโครเวฟ ขนมถุงขบเคี้ยว น้ำอัดลม น้ำสารพัดสี น้ำชานานาชนิด ล้วนมีสารให้ความหวานทางอุตสาหกรรม พอหวานก็ขายได้ เพราะหวานอร่อยลิ้น คนติดหวาน แต่หวานแล้วค่อยๆอ้วนบวม แถมด้วยเบาหวานอีก คนก็กินกันพออ้วนก็ไปหายาลดอ้วนมากิน ช่างแปลกดีแท้เทียว
กินอาหารไทย ต้ม ยำ ตำ แกง ไม่กินผัด ทอด เคลื่อนไหวบ่อยๆ ไม่หวาน มัน เค็ม กินเมื่อหิว ไม่หิวอย่ากินเลิกซื้อเขาเราทำเอง น้ำมีสี น้ำยอดฮิตทุกชนิด ขนมถุง อาหารซอง ของกินนอกบ้าน เลิกหมด ถ้าไม่ผอมลงอย่างมีสุขภาพดีจริง ก็ไม่รู้จะเป็นเช่นใดแล้ว หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้คงรอว่าจะมีอะไรแนะนำทำได้แบบเร็วๆไหมขอตอบว่าไม่มี เวลาอ้วนๆได้เร็ว แต่เวลาลงค่อยๆลง คงหลายเดือน แต่ไม่ต้องเสียงาน เสียเงิน และเสียชีวิตในวันหน้า คุ้มค่าไหม?
แลพอถามตัวเองและตกลงว่าจะทำ ต้องทำทันทีอย่าช้าทำให้เหมือนคนสมัยก่อนที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้มาปรนเปรอร่างกาย แต่อยู่ต่อเนื่องกันมาได้จนมีเราทุกคนในวันนี้ ท่านทำได้ เราก็ทำอย่างท่านได้ เมื่อเริ่มทำให้ถ่ายท้องเอาของสกปรกในช่องท้องออกเสียก่อน ยาถ่ายมีขายทั่วไป ถ่ายอาทิตย์ละครั้ง สักสี่ห้าครั้ง ให้ท้องไส้สะอาดหรือทำน้ำกระสายยาถ่ายท้องกินเองก็ได้ไม่ต้องซื้อดังนี้
ส่วนประกอบมี เม็ดแมงลักแช่น้ำต้มตรีผลาส่วนเดียว ส้มแขกสองส่วน ผสมด้วยน้ำส้มมะขามเปียก น้ำมะนาว เวลากินเอาเม็ดแมงลักอิ่มตัวกับน้ำเครื่องยาและน้ำปรุงรสผสมกัน ดื่มหนึ่งแก้วสูงคืบก่อนนอน ตอนเช้าถ่ายสบาย ดื่มอาทิตย์ละครั้งก็พอแล้ว
หลังจากนั้นให้ต้มน้ำตรีผลา สมอไทย สมอพิเภก ลูกมะขามป้อม ผสมกับน้ำเตยหอม และน้ำผึ้งนิด ให้กิน ตอนเช้าแก้ว เย็นแก้ว กินทุกวันสักหนึ่งเดือน ช่วยให้แข็งแรงและน้ำหนักจะค่อยๆลง
เข้าเดือนสอง ต้มน้ำเบญจกูล ( ดีปลี เถาสะค้าน รากช้าพลู รากเจตมูลเพลิง เหง้าขิงแห้ง) มีขายตามร้านยาไทย ให้ดื่มครั้งละแก้วยามเช้า-เย็นช่วยขับมันเหลว แต่ยานี้มีรสร้อนมากควรระวัง หากภายในร้อนหรือมีไข้ให้หยุดยาทันที เมื่อเย็นลงหรือหายไข้ค่อยดื่มใหม่
กระทำแบบนี้สลับกันสักสองครั้งหรือสี่เดือน พร้อมกระทำตนตามที่บรรยายไว้ด้านบน น้ำหนักจะลดลง แต่ควรลดลงให้ถูกกับธาตุปฎิสนธิของตนด้วย อันนี้สำคัญยิ่ง พอลงแล้วให้หยุดน้ำกระสายต้มทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดดีต่อร่างกายถ้ากินมากไป กินต่อเนื่องกันไป ป่วยไข้ได้เป็นเที่ยงแท้ น้ำกระสายยาทั้งสามขนานมีคุณยิ่ง แต่ก็มีโทษด้วย
ตื่นเช้ามาต้องถ่าย กินข้าวเมื่อหิว ถ้ากินเช้าได้ เวลาอาหารจะลงมื้อครบสามพอดี แต่ถ้าไม่กินเช้าเวลาอาหารจะเคลื่อนทั้งหมด ให้กินเมื่อหิวแทน และกินให้ถูกรสตามเวลาที่หิวนั้น ทำงานไม่นั่งมากยืนมากและไม่นอนมาก ออกกำลังกายแต่พอดีตน เข้าค่ำไม่กิน คนไทยไม่มีภูมิปัญญาเรื่องมื้อดึก ของนอกบ้านไม่กิน กินสิ่งที่ทำเอง ก่อนสี่ทุ่มนอน ตื่นตีห้าเข้าห้องน้ำ ทำแบบนี้เป็นวัฎฎะชีวิต ร่างกายแข็งแรง ไม่อ้วน ไม่ป่วยไข้ อยู่สุขสบายดีเชียว
สัญญากับตัวเองว่า เราจะไม่อ้วนๆๆๆ เราต้องทำ และทำให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น