วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กิน / อาหาร






หลวงปู่เซียร

มึงป่วยเพราะมึงโง่
เหรียญ .เพาะกาย
หมอเขียว
หมอปุ้ม.
ตลาดสดสกปรกยังไง
หมอสันต์
ไม้ร่ม
หลวงปู่วัดป่าบ้านตาด 
หลวงปู่ชา
หมอชาวบ้าน
เมื่อหมอเป็นมะเร็ง หมอเตียวม
ภรรยาประธานาธิบดี











“รักษาโรคกับไม่ให้มีโรค คนละอย่างกัน ต้องเข้าใจก่อน
ร่างกายประกอบด้วยธาตุ4 ดิน น้ำ  ลม ไฟ กินก็ต้องให้ครบธาตุทั้ง4
เผ็ด หวาน มัน เค็ม
กินตามรสที่ชอบ จะทำให้เกิดโรค โรคนั่นเป็นปลายเหตุ
หมอรักษาโรคก็ตายเหมือนกัน โรคต้องแก้ที่เหตุ 
ตรวจสอบตัวเอง เมื่อผิดปกติ ว่าขาดอะไร หรือกินอะไรมากเกินไป
เผ็ดมาก หวานมาก มันมาก เค็มมาก
(เราใส่เสื้อดินน้ำลมไฟนั่งหลังสุด เพราะกลับไปเอาหม้อปลาต้ม มาไม่ทันใส่บาตร หลวงปู่พูดให้รู้ว่าท่านรับรู้เหตุที่เกิดจากขโมยมือถือตา)
อา.21เม.ย62

แม้บางเรื่องรู้แล้ว “หลวงปู่สอน::อย่าด่วนเชื่อ และอย่าด่วนปฏิเสธ พิจารณาดูก่อน ทบทวน ใคร่ครวญก่อนถึงทำ
อย่าทำตามอำเภอใจ ศ.9ก.ย59 

*************************


****************

1:18 เจอเภสัชกรคนหนึ่ง หน้าตากวนตีนมาก อายุน้อยกว่าผม แต่กวนตีนมาก กว่าผม ผมบอกว่า ซื้อยาแก้กรดไหลย้อนครับ
เภสัชกร:เอาเกรดไหน มี3เกรด ถูก กลาง แพง คุณภาพยา ขึ้นกับราคา ว่าไงฮึ
ผมก็เลยกวนตีนกลับไปว่า เอาเกรดไหนก็ได้ ที่กินแล้วหายน่ะ
เภสัชกร:ไม่มี ไม่มี โรคนี้ยาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต 
ผมหันไปจ้องหน้ามัน เพราะสะดุดกับคำว่า ถ้าคุณรักษาด้วยยา คุณจะต้องกินยาไป ตลอดชีวิต 
ผมก็เลยถามว่า มันมีการรักษาด้วยวิธีอื่นเหรอ มันค่อยๆชายตามองผม ด้วยสายตาดูถูกอย่างรุนแรง แล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนฟังว่า
คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เกิดจากนิสัยชั่ว5อย่าง
1.กินข้าวไม่ตรงเวลา 
2.กินอาหารรสจัดมากๆ  โดยเฉพาะเผ็ดจัดมากเกินไป 
3.กินมากเกินไป 
4.กินแล้วเข้านอนทันที. 
5.เครียดตลอดเวลา

ถ้าอยากหาย ให้ไปเปลี่ยนนิสัย ไม่ต้องกินยา ผมกัดฟันแน่น จ้องหน้ามัน พร้อมกับนึกในใจว่า
ทำไมมึงถึงกวยตีน อย่างนี้วะ ผมคิดในใจ แล้วค่อยๆเปิดประตู เดินออกจากร้านไป 10วันผ่านไป ผมไปบรรยายหลายงานหลายจังหวัด คืนหนึ่งกลับเข้าบ้าน ดึกแล้ว ผ่านร้านขายยา ผมรีบจอดรถ เดินเข้าไปในร้าน เจอไอ้เภสกวนตีนคนเดิมเต็มๆ มันหันมาเห็นผม แล้วพูดกับผมว่า เอ้าเป็นไง โรคกรดไหลย้อน ผมปรี่เข้าประชิดตัว แล้วยกมือพนม พร้อมกับก้มหัว บอกมันว่า ขอบพระคุณมากครับ หายแล้วครับ พูดได้แค่นั้น แล้วก็จุกอยู่ที่คอ พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ แล้วรีบเดินออกจากร้าน เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมยกมือไหว้คนขายยา คนที่อายุน้อยกว่าผมมาก ผมพูดอะไรไม่
ออก แต่ผมเชื่อว่า ไอ้เภสัชหนุ่มนี่ มันรู้ ว่าผมจะพูดอะไร มันสามารถสูบเงินจากผมได้เป็น100,000 แล้วก็ทำกำไรมหาศาล แต่มันไม่ทำ มันเลือกที่จะช่วยผมให้หายป่วย โดยไม่ได้เงินสักบาท

(4:00) การดำเนินชีวิตของผมตอนนี้ 
1.กินข้าวตรงเวลาทุกมื้อ 
2.กินอาหารจืด ไม่กินรสจัด เผ็ดจัด
3.กินแค่จานเดียวเลิก ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม
4.มื้อสุดท้ายกินก่อน18:00น. แล้วไม่กินอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม 5.อารมณ์ดีตลอด ยิ้มหัวเราะ ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน

(4:32) ผลที่เกิดตามมาก็คือ พุงผมหายไป ไม่มีหน้าท้อง ไม่อึดอัด สุขภาพดีขึ้น ไม่เป็นโรคอ้วน บุคคลิกภาพดีขึ้น ความมั่นใจดีขึ้นเวลาเข้าสังคม หายใจสะดวก ไม่แน่นท้องเหมือนก่อน ไม่ง่วงนอน ไม่อ่อนเพลียในเวลาทำงานเหมือนก่อน การทำงานและการเคลื่อนไหวร่างกาย คล่องตัวขึ้น ที่สำคัญคือชีวิตผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย
นี่แหละคือเหตุผลที่ผมต้องไหว้ไอ้เวรนี่ตลอดชีวิต ไม่ว่ากูจะเจอมึงที่ไหน

สิ่งมีค่าที่สุดที่มันมอบให้ผมก็คือ
โรคภัยไข้เจ็บ90%ของมึงเนี่ยะ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากเชื้อเลวในการดำเนินชีวิตของมึงทั้งนั้นแหละ
ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามธรรมชาติ มีสุขนิสัยที่ดี คุณจะไม่ป่วย ไม่เป็นโรค
แล้วก็ไม่ต้องไปหาหมอ หมอและยา เขามีไว้รักษาและขายให้กับคนโง่

รุ้ง8สี.มึงป่วยเพราะมึงโง่
https://youtu.be/4J5FQdBWCMs 

**********


เหรียญอายุ52 แข็งแรง ใจแกร่ง เริ่มเพาะกายอายุ47
กำลังใจมาจากตัวเอง ไปสิ อีกนิดเดียว สุขภาพเราดีขึ้น แข็งแรงขึ้น


เลิกกินเส้น
หมอเขียว:กินตามความอยาก ขั้นตอนทำยุ่งยาก กินข้าวก็จบ
อาจไปได้รับสารพิษจากการปรุงแต่ง ความไม่สะอาดจากการตาก การใช้น้ำมันเก่า

1.งดเนื้อสัตว์ เพราะมีสารเร่ง
2.กินถั่ว ต้มแบบแช่น้ำ1คืน ท้องไม่อืด บี้เม็ดถั่วจนนิ่ม
3.กินมัน เผือก งดแป้งจากโรงงาน เช่น ก๋วยเตี๋ยว
หมอปุ้ม.คนที่อายุยืน เขากินกันแบบนี้เหรอ

ตลาดสดสกปรกยังไง




กินผลไม้สุกคาต้นตามฤดูกาล มีตัวยาสมบูรณ์
ฆ่าเชื้อ สร้างภูมิต้านทาน

**********************



หลวงปู่“อายุ40 จะตายตอน60 อายุน้อยกว่า40 จะตายตอนอายุ40กว่า อายุ60 จะตายไม่ถึง80 
ตัวเอง(ริด) อายุ40กว่าแล้ว เวลาเหลือน้อย คิดอยู่แค่วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง อยู่ให้ม่วนๆกับตัวเอง ท่องจำไว้ อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น มันจะสะสม 
พ.20/1/64;อา.7/2/64

หมอสันต์ ใจยอดศิลป.์2558
โรคเป็นผลของการกิน
ข้อมูลทางการแพทย์ปัจจุบันนี้แน่ชัดแล้วว่าการกินมากเกิน เป็นผลร้ายต่อสุขภาพและทำให้อายุสั้นชัวร์ป๊าด ตัวชี้วัดว่าท่านกินมากเกินก็ใช้ตัววัดง่ายๆสามตัวเลยครับ คือ (1) ลงพุง (2) อ้วน (3)ไขมันในเลือดสูง
ถ้าท่านมีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ แปลว่าท่านกินมากเกิน 

 ผมแนะนำว่าเชื่อหมอโยชิโนริเขาเถอะครับ ทำตามเขาว่าเถอะ กินน้อยๆ กินมื้อเดียวได้ยิ่งดี กินผักแยะๆ ไม่กินเนื้อเลยได้ยิ่งดี  แล้วคุณจะป่วยน้อยลง คืออ้วน เบาหวาน ไขมันสูง ความดันสูง หัวใจ อัมพาต ปี63มะเร็งเป็นสาเหตุตายของคนไทยเป็นอันดับ1 และอายุยืนขึ้นแน่นอน

หมอโยชิโนริใช้วิธีการกินแบบ IF กับตัวเอง
IF ย่อมาจาก Intermittent Fasting แปลว่ามีช่วงอดสลับกับช่วงกิน ให้ช่วงอดนำหน้าช่วงกิน  เช่น 12/12 ก็กิน 12 ชั่วโมง อด 12 ชั่วโมง (มื้อเย็นให้จบก่อน 18.00 น.มื้อเช้าเริ่มหลัง 6.00 น.เป็นต้น) หรือ 
18/6อดนาน 18 ชม. ช่วงกินนาน 6 ชม. ็คือกินแบบพระ
ให้พยายามกินน้อยๆ กินมื้อเดียวได้ยิ่งดี กินผักแยะๆ กินเนื้อน้อยๆ ไม่กินเนื้อเลยได้ยิ่งดี กั๊กอาหารเข้าไว้  ปล่อยให้ตัวเองหิวบ่อยๆ แล้วโรคหกสหายของท่านจะดีขึ้นแน่นอน และท่านจะไม่ถูกนำไปผ่าตัดทิ้งกระเพาะอาหาร ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะเป็นวิธี ใช้รักษาโรคเบาหวานในอนาคต

หมอสันต์ ใจยอดศิลป์.มาตรฐานการรักษาเบาหวานให้หายในอนาคต ด้วยการผ่าตัดทิ้งกระเพาะอาหาร


วิทยาศาสตร์แบบเจาะลึกถึงโมเลกุล ไม่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เพราะ
1. เมื่อเรากินอาหารธรรมชาติเข้าไปโมเลกุลที่หลากหลายเหล่านั้นออกฤทธิ์โดยมีความประสานสอดคล้องกัน สนับสนุนกันบ้าง เบรคกันบ้าง อย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่อาหารเม็ดที่เราทำมาขายให้คนกินแทนนั้นมันเป็นโมเลกุลเดียวและออกฤทธิ์อย่างโดดเดี่ยว มันจะไปเหมือนอาหารธรรมชาติได้อย่างไร ผลก็คือเราต้องผิดหวังซ้ำซากกับสารอาหารที่เราวิจัยมาแล้วว่าดีนักดีหนาแต่พอเอาทำเป็นเม็ดให้คนกินแล้วพบว่ามันไม่ได้เรื่อง
2.การที่เราไปทึกทักเอาว่าอาหารที่มีโมเลกุลโคเลสเตอรอลสูงจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในร่างกายสูงและทำให้เสียสุขภาพเหมือนกันหมดนั้นมันไม่เป็นความจริงเสมอไป เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดมีโมเลกุลมากมายหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ร่วมกันช่วยกันบ้างเบรคกันบ้างอย่างซับซ้อนจนเราคาดเดาเอาจากข้อมูลโมเลกุลชนิดเดียวในอาหารนั้นไม่ได้
(12/2/64 หลวงปู๋จัดอาหารให้กินตอน2ทุ่ม“รับประกันคุณภาพ สารอาหารครบ
เพราะใส่ผักหั่นชิ้นเล็กและเนื้อสัตว์ทำสุกหั่นชิ้นบางตามขวางทุกชนิดที่ประเคนในกุฏิแอร์ ลงในน้ำเดือด รอให้ผักและเนื้อสัตว์เดือด ปิดไฟ จิ้มกินกับแจ่วที่ตำหอม กระเทียม พริกสด ขิงแก่ กระชาย  น้ำปลา มะนาว“

ความรู้ไม่รอบ
 1. เราหลงไปเชื่อว่าโปรตีนหมายถึงเนื้อสัตว์ แต่มีโปรตีนจากพืชด้วย
หลงไปเชื่อว่าเรามีความเสี่ยงที่จะขาดโปรตีน ข้อมูลที่ยอมรับกันคือผลวิจัยของสถาบันการแพทย์สหรัฐ สรุปว่าผู้ใหญ่ต้องการโปรตีนวันละ 0.8 กรัม/กก./วัน เท่านั้น
และหลงไปเชื่อคุณภาพของโปรตีนในความเป็นจริงอาหารมนุษย์กินแบบหลากหลายกินคราวเดียวหลายชนิด และร่างกายมนุษย์มีกลไกเลือดรับเอาสารอาหารที่ตัวเองขาดและมีระบบกักตุนสารอาหารจำเป็นทุกตัว ทำให้ในภาพรวมร่างกายได้รับกรดอามิโนจำเป็นครบถ้วนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถพูดได้ว่าหากกินอาหารธรรมชาติอย่างหลากหลายให้มากจนได้แคลอรีรวมพอเพียง โอกาสขาดโปรตีนไม่มีเลย

2.หลงไปสร้างไขมันทรานส์มาแทนไขมันอิ่มตัว ด้วยการใส่ไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันถั่วเหลือง ทั้งโลกกินไขมันทรานส์มายี่สิบปี ก่อนที่ความจะแดงขึ้นมาว่าไขมันทรานส์มีความสัมพันธ์กับการตายด้วยโรคหัวใจหลอดเลือดมากที่สุด มากกว่าไขมันอิ่มตัวเสียเอง กว่าที่เราจะกลับตัวได้ออกกฎหมายห้ามใช้ไขมันทรานส์ทำอาหาร ผู้คนก็เจ็บป่วยไปมากแล้วเพราะการหลงทาง
หลงไปเหมาโหลว่าไขมันอิ่มตัวจากพืชก็เลวเหมือนไขมันอิ่มตัวจากสัตว์  เวลากินอาหารคนเราไม่ได้กินโมเลกุลใดโมเลกุลหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่กินอาหารนั้นทั้งคำซึ่งแต่ละคำมีโมเลกุลอาหารหลากหลายมาพร้อมกันเป็นร้อยเป็นพันชนิด  อาหารไขมันอิ่มตัวจากพืชเช่นมะพร้าว (เนื้อมะพร้าว น้ำมะพร้าว กะทิ ) ไม่มีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังอย่างที่อนุมานเอาจากการที่มะพร้าวมีไขมันอิ่มตัวสูงแต่อย่างใด 
หลงไปเสาะหากรดไขมันเฉพาะอย่างมากินแทนอาหารธรรมชาติ  ไขมันโอเมก้า 3 โอเมก้า 6, DPA, EPAโมเลกุลไขมันที่อุตสาหกรรมผลิตขึ้นมาให้กินแทนอาหารธรรมชาติด้วยเข้าใจว่ามันจะดี ทั้งๆที่หลักฐานที่เชื่อถือได้ในคนกลับพบว่ามันไม่ได้สร้างความแตกต่างต่อสุขภาพในรูปของอัตราป่วยและอัตราตายแต่อย่างใด

3.หลงไปกลัวคาร์โบไฮเดรต
 ซึ่งมีสองประเด็นใหญ่ๆ คือ กินคาร์โบไฮเดรตแล้วจะเป็นเบาหวาน กินคาร์โบไฮเดรตแล้วจะอ้วน เป็นความจริงหากกินคาร์โบไฮเดรตในรูปแบบธัญพืชขัดสีและหากกินมากเกินไปจนดุลแคลอรี่เป็นบวก (แคลอรี่ที่กินเข้าไป มีจำนวนมากกว่าที่เผาผลาญออกไปได้ในแต่ละวัน) ทำให้คนหนีไปอาศัยพลังงานจากอาหารเนื้อสัตว์ซึ่งกลับมีผลเสียต่อร่างกายและทำให้เป็นเบาหวานง่ายขึ้น เพราะหลักฐานปัจจุบันนี้สรุปได้ว่าอาหารเนื้อสัตว์สัมพันธ์กับการเป็นเบาหวานมากกว่าอาหารพืช และมีหลักฐานว่ากลไกที่เซลดื้อต่ออินสุลินได้นั้นเกิดขึ้นได้สองทาง คือทั้งการมีน้ำตาลกลูโค้สจากอาหารมากเกินไป และการมีไขมันอิ่มตัวจากอาหารมากเกินไป ยังผลให้คนเป็นเบาหวานมากขึ้น ทั้งๆที่หนีอาหารคาร์โบไฮเดรตไปหาเนื้อสัตว์แล้ว นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงอาหารคาร์โบไฮเดรตในรูปธัญพืชไม่ขัดสีหรือในรูปของหัวใต้ดิน ก็พลาดโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากส่วนผิวของธัญพืชและผิวและเนื้อของหัวใต้ดินที่อุดมด้วยกาก ไวตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย


หมอสันต์.หลงทางโภชนาการ.

ไม้ร่ม

น้ำตกนี้(ที่สันติอโศก) ผมเป็นหลัก ไม่ใช้คอนกรีตเลย วางหินอย่างไร มันจะไม่ล้มไม่พัง และมันกอดกันแน่น วางด้วยแรงโน้มถ่วงโลก...
ทำไมผมใช้ข้าวขาว ข้าวกล้องมันมีประโยชน์จริง แต่ชักจะมีอันตรายขึ้นทุกวัน
เพราะเงินเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วค่านิยมก็มากขึ้น ข้าวในบ้านเรา จะต้องเอามาล้างแล้วล้างอีก ใส่สารหนูจนหนูไม่ยอมกินเลย หนูไม่ยอมตกถังข้าวสาร...

อาหารโปรตีนมันแรง จะกินต้องเอาอะไรห่อไว้ ไม่งั้นมันเกิน จะเข้าไปเป็นตะปุ่มตะป่ำ เป็นมะเร็งได้ กับความเครียดด้วย เพราะฉะนั้นไตทำงานหนักด้วย เราทำอาหารให้พอดี โดยลดโปรตีนน้อยลง
เติมเครื่องเทศ กระวาน กานพลู ขิง ข่า อบเชย หิงส์(มหาหิงส์) ขมิ้น เกลือ พริก
เขาพิสูจน์แล้วว่า นี่คือสมุนไพร ที่จะรักษาสุขภาพของมนุษย์
เป็นหน่วยคุ้มกัน ให้สิ่งมีค่า ไปถึงจุดหมายปลายทาง
กินอาหารไปสักพัก มันจะลำเลียงไปสู่สมองถึงหัวแม่เท้า...

อินเดียจะไม่ทำอาหารข้ามวันข้ามคืน(หลวงปู่ไม่ให้กินอาหารค้างคืน)
ทำเดี๋ยวนั้น กินเสร็จเดี๋ยวนั้น ไม่งั้นเชื้อรา จะขึ้นอาหาร
เชื้อราเป็นบ่อเกิดของโรคทั้งหลาย
(หลวงปู่ให้มีกระปุกเกลือน้ำตาลพริก ทุกกระปุกมีช้อน ไม่ใช้ช้อนเดียวตัก ขึ้นรา)...

อินเดียไม่กินผักสด ใช้ต้มเอา แกงผักเพื่อจะให้ยาเข้าร่างกายด้วย
ก่อนต้มผัก จะต้องเอาผักไปผัดกับน้ำมัน ต้องกินน้ำมันด้วย ใส่หอมและเครื่องเทศ
หม้อทองแดงหรือหม้อทองเหลืองดีที่สุด ล้างพิษจากอาหาร แต่เราใช้หม้ออะลูมิเนียม ใช้กระเบื้องลอนลูกฟูก เป็นที่มาของโรค ที่ทำให้
น้ำดื่ม(น้ำฝน) เราเสียหมด...

โยเกิร์ตเป็นเครื่องเคียงในการกิน ช่วยย่อยและชูรส...

เราไม่มีวัฒนธรรม ในการกิน การอยู่ คืออะไร สักแต่ว่าอะไรอร่อยก็กิน
กินถั่วเป็นหลัก เพราะบำรุงสมอง กินผักเป็นรอง...

ทุกวันนี้ เขาเอาพิษมาใส่ในจานเราแล้ว เข้ามาทางปาก เข้ามาถึงหัวใจ
ล้วงตับกินไตเราหมดแล้ว เมื่อแก่ภูมิต้านทานต่ำ โรคอะไรเข้ามาเรารับหมด

ไม่มีใครหายใจให้เรา ไม่มีใครทำตัวเรา เราทำตัวเองทั้งสิ้น
เฮือกสุดท้าย ให้เมียช่วยหายใจให้พี่ด้วยเถอะ เมียช่วยไม่ได้
เพราะว่าเราต้องช่วยตัวเอง...

กินข้าวเสร็จ ถ้าจะกินน้ำ จะต้องรอหลังอาหาร10-15นาที
ถ้าจะกินน้ำเลย น้ำครึ่งหรือเกินครึ่งแก้ว ต้องเอามะนาวบีบลงไปครึ่ง-1ลูก ใส่เกลือดำหยิบมือ ถ้าเปรี้ยวมาก ใส่เกลือดำเพิ่ม ดื่มรวดเดียว
มะนาวทำให้ไม่มีลม กรดในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหารไปในตัว

อินเดียจะไม่ทำอาหารที่มีน้ำเยอะ เพราะทำให้น้ำย่อยจาง ต้องทำให้น้ำย่อยเข้มข้น

“อาหารเอ๋ยเคยมีมาดียิ่ง
กลับทุกสิ่งเป็นพิษผิดวิสัย
อ้าปากกินลิ้นติดแต่พิษภัย
กินอะไรไม่ได้ตายลูกเดียว“
           ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก
https://youtu.be/tp8I0uff0ac



*****************************************

หลวงปู่วัดป่าบ้านตาด 




ฟังให้ดีนะ ไม่พูดเช่นนี้ มันไม่ถึงใจ สอนเมื่อ2/3/51

1:00 การปฏิบัติเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ ต้องได้บังคับตัวเองตลอด
เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินนี้ นั่นแหละสำคัญนะ
เห็นอะไรมา ลิ้นมันหวานใส่กันเลย อะไรๆหวานไปหมด
แล้วกินแล้ว นอนเหมือนหมู
นักปฏิบัติมันเหมือนนักโทษในเรือนจำเรานี้นั่นแหละ
การฝึกร่างกาย ตีไว้ ตีไว้ ให้ใจได้ดีดขึ้น ดีดขึ้น

1:57 ออกจากภูเขาไม่ได้บิณฑบาตรทุกวันนะ 3,4,5วันบ้าง ทาง4,5กิโล
เวลาไปมันอ่อนกำลังพอแล้ว...
ถ้าไปไม่ถึงหมู่บ้าน ก็ไปนั่งจับเจ่าอยู่อย่างนั้น
นี่กิเลสเกิดนะ เดี๋ยวผุดขึ้นมาเป็นคำๆ เกิดจากใจ...
กิเลสกับธรรมอยู่ที่ใจ
“นี่อดอาหารฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม“ นี่เรียกว่ากิเลสเกิด ขู่เราไว้ ให้อ่อนไปตามกิเลส
พอกิเลสดับไปปั๊บ ทีนี้ธรรมขึ้นรับกัน
“การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิด ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร
อดอย่างนี้จะตายเหรอ จะตายก็ตาย“ มันแก้กัน ขึ้นในใจอันเดียวกัน
ฟัดกันเลย เรียกว่ากิเลสเกิด ธรรมเกิด...
ทีนี้กิเลสหมดไปแล้ว มีแต่ธรรมล้วนๆ ไม่มีอะไรมาหลอกมาหลอน
กิเลสมีเท่าไหร่ หลอกหลอนข่มขู่อยู่เรื่อยๆ...เอาไปพิจารณานะ

4:53 การฝึกการทรมานตน ต้องใช้สติปัญญา อุบายวิธีการใด หลวงปู่วัดป่าบ้านตาด ที่จะเป็นเครื่องหนุนสำคัญ การกินสำคัญมาก 
ถ้ากินให้อิ่มหมีพีหมา แล้วไม่เป็นท่า ท้องเต็มด้วยอาหาร
แต่กิเลสเต็มหัวใจ ไม่ฟื้นตัวได้เลย...
เอาตายก็ตาย การอดอาหารต้องใส่กันอย่างนั้น นักปฏิบัติ

6:44 อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นที่สะดวกสบาย
คือร่างกายก็มีกำลัฃวังชาพอเป็นไปได้ ใจก็ไม่ถูกกระทบกระเทือน
จากอาหารประเภทนั้นๆ อาหารเป็นที่สัปปายะ สะดวกสบาย
ถูกธาตุถูกขันธ์ ไม่ทำธาตุขันธ์ ให้ส่งเสริมกิเลสไปถ่ายเดียว ต้องได้ฝึก

7:31 ดูหัวใจเจ้าของ ตัวดีดตัวดิ้นตัวก่อเรื่องก่อราว...
ตีอันนี้ลงไปด้วยความเพียร สติเป็นสำคัญหรืออริยาบถต่างๆ
สติเป็นพื้นฐานแห่งการทรงตัวได้
ถ้ากิเลสเผลอไปมากน้อย ความเพียรร่อยหรอลงไป
สติเป็นของสำคัญ ใจทำความเพียร สติดีคนนั้นจะตั้งตัวได้...
ตั้งตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งถึงหลับ
แล้วจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่สติปราบปราม
สิ่งเหล่านั้นคือกิเลสเกิดดีดออกทันที เมื่อได้ตั้งแล้วกิเลสไม่เกิด...
จิตใจก็ได้รับการฟื้นฟูอุดหนุน แล้วก็สงบเย็น สงบเย็น
เมื่อสงบเย็นเป็นผลขึ้นมาเรียกว่าธรรม
พยายามอย่างนั้นตลอด ไม่ละความเพียร จิตก็ตั้งรากตั้งฐานได้
มีความแน่นหนามั่นคงในใจ ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ
สงบเย็น สงบเย็น จากนั้นปัญญาก็ซัดกันเข้าไป
แยกดูแยกธาตุแยกขันธ์...

9:29 การประกอบความเพียร ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
สักแต่ว่าทำ ใช้ไม่ได้นะ ต้องมีสติเป็นพื้นฐานสำคัญมากนะ
ปัญญาก็ค่อยก้าวเดินเป็นระยะ ระยะเมื่อสติปัญญายังไม่กลมเกลีบวกัน
เมื่อสติปัญญากลมเกลียวกันโดยอัตโนมัติ อันนี้พุ่งเลย เมื่อมันยังไม่ถึง เป็นขั้นตะเกียกตะกาย ก็เอาตะเกียกตะกาย อย่าไปถอย

11:07 มาอยู่(วัด)มาแต่มากินมานอน ไม่เกิดประโยชน์...
สติกับใจ ติดกันตลอด นั่นแหละเรียกว่า ผู้มีความเพียร...กิเลสไม่เกิด
พอเผลอเมื่อไหร่กิเลสเกิด กิเลสเกิดเมื่อไหร่ ฟืนไฟเกิด

11:27 การมาฝึกฝนอบรม มาอยู่เฉยๆ ไม่เกิดอะไรนะ
ต้องใช้ความพินิจพิจารณา กิเลสมันฉลาดทางหนึ่ง
ธรรมะต้องฉลาดอีกทางหนึ่ง แก้กัน...
ถ้าไม่มีสติ ก็จะล้มไปตามมัน(กิเลส) ทีนี้ล้มละลาย

13:11 พวกหน้าด้านหน้าดื้อ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
 เป็นสวากขาตธรรม มันไม่เอา เหยียบหัวพระพุทธเจ้า


 “หากินแต่ของแสลง ตายเร็ว“
หลวงปู่วัดป่าบ้านตาด หลวงตามหาบัว บันทึกหลังล้างพิษตับครั้งที่11เป็นวันที่5พฤ.1มิ.ย57
*********************** หลวงปู่ชา
อย่างอาหารเอร็ดอร่อยยังนี้ อย่าไปนึกถึง ความเอร็ดอร่อยมันมาก
ท้องของเรา ให้รู้จักประมาณ ถ้ากินมันมาก มันลำบาก
https://youtu.be/l3JLVR1j2EI


กินผักจากร้านส้มตำปลาเผา





จากยุพร

อาหารรสหวาน”
- ข้อดี คือ น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานกับร่างกายโดยทันที และส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้ประเปร่าด้วย ยังช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้ามอีกด้วย รสหวานมีสรรพคุณทานยา รักษาอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง และแก้กระหายได้อีกด้วย
- ข้อเสีย คือ เมื่อทานอาหารที่มีรสหวานมาก ๆ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน เพราะการได้รับน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งผลให้อ้วน ทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต
“อาหารรสเผ็ด”
- ข้อดี คือ อาหารรสเผ็ดช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้เป็นไปตามปกติ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
- ข้อเสีย คือ อาหารรสเผ็ดจัดก็สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่มาก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต
“อาหารรสเค็ม”
- ข้อดี คือโซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด และด่างของเลือด ช่วยขับร้อน
- ข้อเสีย คือ เมื่อร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ร่างกายจะพยายามขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้เรารู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน หรือถ้าหากเป็นมากถึงขั้นภาวะขาดน้ำได้ นอกจากนี้ รสเค็มจะทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ความดันโลหิตสูง
“อาหารรสเปรี้ยว”
- ข้อดี คือ ความเปรี้ยวช่วยในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับเสมหะ และแก้เลือดออกตามไรฟันได้
- ข้อเสีย คือ ทำให้ท้องเสีย ร้อนใน และระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหา จึงทำให้แผลหายช้า
https://www.thaihealth.or.th/Content/20274-ประโยชน์และโทษ%20ของอาหารรสชาติต่าง%20ๆ.html

รสเปรี้ยว

1.  การรักษาโรค
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ในด้านการปกป้องเซลล์ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว สร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งช่วยป้องกันไม่ให้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย หากรับประทานร่วมกับวิตามินอีจะยิ่งช่วยลดการเกาะตัวของไขมันที่อยู่ตามผนังหลอดเลือด
  • มีประสิทธิ์ภาพสูงสำหรับการรักษาโรคที่มาจากไวรัส ถ้าเรานำน้ำมะนาวมารับประทานกับน้ำอุ่นจะช่วยในเรื่องของโรคหวัด ลดการไอ จาม ขับเสมหะ หรือนำมะนาวมารับประทานกับเกลือจะช่วยในการกัดฟอกเสมหะ
  • ช่วยในด้านระบบขับถ่ายและระบาย อย่างเช่นมะขามต้มแล้วกรองเอากากออก จากนั้นเอาน้ำที่ได้มาดื่มจะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น
  • ดับกระหายคลายร้อน ขับเมือกที่อยู่ในลำไส้ เช่น กระเจี๊ยบแดง
  • กระตุ้นต่อมน้ำลาย เมื่อรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวเข้าไป วิตามินซีที่มีอยู่จะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงช่องปากมากขึ้น ส่งผลให้ลดอาการอักเสบหรืออาการบวมได้เร็วขึ้น
2.  ด้านความงาม
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส  ลดฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รักษาสิว บำรุงตา เร่งการผลัดเปลี่ยนเซลล์ รักษาผิวที่แตกลาย ขาลาย หรือส้นเท้าแตกได้ ผลไม้บางอย่างที่มีรสเปรี้ยวอย่างเช่นมะนาวสามารถให้น้ำมันหอมระเหย เมื่อดมกลิ่นหอมแล้วทำให้ร่างกายสดชื่น
3.  ประโยชน์ทั่วไป
  • ป้องกันภัยจากสัตว์มีพิษต่างๆ นอกจากนี้รสเปรี้ยวยังมีฤทธิ์ช่วยย่อยสลายก้างปลา โดยให้นำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างเช่นมะนาวมาอมแล้วค่อยๆ กลืน จะช่วยทำให้ก้างปลาอ่อนตัวแล้วหลุดร่วงลงไป จึงหายจากอาการติดคอได้
  • ลบรอยเตารีดที่เป็นรอยบนเสื้อผ้าหรือน้ำหมึกเลอะบนเสื้อผ้า
  • https://www.honestdocs.co/the-benefits-of-sour-taste

รสหวาน
 นพ.ริชาร์ด เอ.นิทสัน แห่งศูนย์การแพทย์กรีนส์วิลล์ มิสซิสซิปปี ได้ทดลองใช้น้ำตาลรักษาแผลดังกล่าวในผู้ป่วย ๓,๐๐๐ ราย ร่วมกับการให้ยา   ตามปกติ โดยการผสมน้ำตาลทรายละเอียด ๔ ส่วนกับขี้ผึ้งเบต้าดีน (betadine ointment) ๑ ส่วนป้ายลงบนแผล พบว่าแผลหายเร็วและเกือบจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น
คนที่ติดอาหารรสหวาน จึงมักเป็นผู้ที่กินอาหารที่มีเส้นใยต่ำเป็นส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน การมีเส้นใยอาหารน้อยทำให้เกิดอาการท้องผูกได้บ่อย นำไปสู่การเป็นริดสีดวงทวารและฝีคัณฑสูตรได้
โรคปวดท้อง ท้องอืด น้ำตาลหมักหมมในกระเพาะอาหารมาก ทำให้แบคทีเรียกลุ่มแล็กติกที่อยู่ในทางเดินอาหารผลิตกรดและแก๊สขึ้น
ไขมันในเลือดสูง เมื่อกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลมาก ร่างกายจะนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไม่ทัน จึงเกิดการสะสมไตรกลีเซอไรด์ (ซึ่งเป็นไขมันในเลือดที่สำคัญชนิดหนึ่งของคน) ขึ้นในร่างกาย ก่อให้เกิดไขมันในเลือดสูงได้
โรคความดันเลือดสูง อันเป็นผลมาจากโรคอ้วน
โรคเบาหวาน อันเป็นผลมาจากโรคอ้วน
โรคหัวใจขาดเลือด เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปจนก่อให้เกิดไขมันในเลือดสูง ไขมันที่เป็นส่วนเกินจะไปอยู่ที่หลอดเลือดแดงทำให้หลอดเลือดตีบการไหลเวียนเลือดไม่สะดวก

https://www.doctor.or.th/article/detail/2613






ดูเพิ่มในบล็อกนี้



*****************************************


เรียนรู้ที่จะทำอาหาร...สามารถดูแลตัวเองได้

*****************************************


***********************


กินอาหารถูก
เห็นผักไทย(=มะระขี้นก)ต่างแดน วิ่งเข้าใส่
ธนา เธียรอัจฉริยะ.กิน
เอื้อมพร.นักบำบัดโรคด้วยอาหาร

***********************

 ถ้าทานอาหารถูกกับร่างกายสุขภาพองค์รวมจะค่อยๆดีขึ้น เสมหะในปากคอจะลดน้อยลง ขับถ่ายดี ผิวไม่แห้ง ไม่มันเกิน ปากไม่แตก ท้องไม่อืด ไม่ร้อนหรือเย็นเกิน ๆลๆ แต่ถ้าทานอาหารชนิด ปริมาณ และ เวลา ไม่เหมาะกับร่างกาย (ต่อให้อาหารชนิดนั้นจะมีประโยชน์ ) จะไม่สบาย หนักเนื้อหนักตัว ปากแห้ง มีเสมหะเยอะ ร้อนใน


หมอเขียว:เบาสบาย มีกำลัง



 **************************************






อัง.22ตค.62 คลิปร้านอาหาร2แห่งในLA เสริฟไม่ใช้จานใช้กระดาษ
หมึกพิมพ์ใส่อาหารทอด และกินอาหารใส่ในถุงพลาสติก 










ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อเมริกาลอสแองเจลลิส


 **************************************




6:40 ปกติกระดูกพวกคุณ มันละลายตัวทุกวัน เพราะมันต้องเอาของเก่าออก ไม่งั้นมันจะมีแต่ของเก่า ถูกไหมครับ ของใหม่ที่เข้าไปนั้นมันจะต้องมีปัจจัยครบ4ปัจจัย ไม่งั้นกระดูกก็ไม่หนา 
ดังต่อไปนี้
1.ต้องมีฮอร์โมนเพศหญิงที่เรียกว่าเอสโตนเจนด้วยนะ
2.ต้องมีแคลเซี่ยมที่พอเพียง
3.ต้องมีไวตามินดี3ที่พอเพียง
4.ต้องมีการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก
ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตากินแต่ฮอร์โมนข้อ1 แต่ไม่ออกกำลังกาย กระดูกก็ไม่หนาขึ้น
เซ็กส์เพื่อสุขภาพชีวิต3 https://youtu.be/Ty_T4Asy1-M

5:05 ผู้ชายและผู้หญิงวัยทองเวลาฮอร์โมนตกจะเครียด ผู้ชายเวลาฮอร์โมนตกจะไม่พูดไม่จา
ผู้หญิงวัยทองเวลาฮอร์โมนตกจะพร่ำพรรณนาพูดฉิบหายวายป่วง ครอบครัวจะมีปัญหา
ผู้ชายวัยทองฮอร์โมนตกจะดุร้าย ถ้าฮอร์โมนดีจะน่ารัก อาการเบื้องต้นอย่างผมนี่ 
วันไหนเริ่มเถียงภรรยา ภรรยาจะถามว่าวันนี้กินฮอร์โมนแล้วหรือยัง
ผู้ชายที่เถียงภรรยาเถียงลูกน้องทุกราย ฮอร์โมนตกครับ เพราะถ้าฮอร์โมนดี เค้าจะยิ้มไปยิ้มมาหัวเราะคิกๆคักๆ ผู้ชายวัยทองฮอร์โมนตกจะดุร้าย  ข่าวผู้ชายวัยกลางคนฆ่าลูกฆ่าเมีย
ทำไมตอนหนุ่มๆไม่ฆ่า นายสิบยิงกิ๊กทิ้งเพราะมีชู้ แต่ถ้าฮอร์โมนดีจะมีกิ๊กคนใหม่
ผู้หญิงวัยทองเวลาฮอร์โมนตกจะว่าคนอื่น นี่คือกิจกรรมของมนุษย์ครับ 
การว่าคนอื่นทำให้เราสบายใจ แต่มันเป็นความสุขจริงหรือเปล่า 
ถ้าเราเปลี่บนเป็นชมจะทำให้เรามีความสุขกว่าจริงไหมครับ
เซ็กส์เพื่อสุขภาพชีวิต5 https://youtu.be/qx7diYEfbas



การปวดประจำเดือนแบบไม่มีโรคจะมีในเด็กสาวๆ เกิดจากมดลูกบีบรัดตัวรุนแรง
จะเกิดอาการปวด วิธีแก้ให้ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ จะหลั่งเอ็นโดฟินมาแก้
แต่ถ้าปวดเพราะถุงน้ำ เนื้องอก...ก็ต้องรักษาตามเหตุ 
แต่ไม่ใช่การขูดมดลูกเด็ดขาด
8:57 เขาฉีดโกรธฮอร์โมนตรงรักแร้ของไก่ เด็กๆชอบกินปีกไก่kfc เด็กผู้ชายกินไปสักพักนมโต
ส่วนเด็กผู้หญิงเป็นมะเร็งเก็งกอย เพราะฮอร์โมนพวกนั้นเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์
12:43 ฮอร์โมนเพศในธรรมชาติ สร้างจากคลอเรสโตรอล เพราะฉะนั้นท่านไม่กินไขมันบ้าง
ฮอร์โมนท่านไปแน่นอน กินไขมันดี ไขมันปลาไงครับ...

เซ็กส์เพื่อสุขภาพชีวิต7 https://youtu.be/8XE5ymxDUVE



***********************


https://youtu.be/J56Fxvln55o


มะระขี้นก.หมอชาวบ้าน
***********************
ผมเป็นผู้บริหารตั้งแต่อายุไม่เยอะนะครับ 8ปีที่แล้วเป็นผู้บริหารระดับสูง ดีแทค ฟังดูเท่ๆ หล่อๆ ตอนนั้นผมใช้ชีวิตแบบผู้บริหารมาก
ทำงานหนัก กินเยอะ ความจริงบริหารได้ทุกอย่างเลย
ผมตัดสินใจทำโน่นนี่ไปหมดเลย แต่ไม่บริหารตัวเอง
ผมเป็นคนที่เรียกแบบว่า อับชีวจิต ผมไม่กินผัก ผมไม่ชอบกินผักเลยนะ
ผมชอบกินขาหมูมันล้วน เวลาไปกินขาหมูมันล้วน ลูกน้องจะนับถือผมมาก พี่แมนมากเลย พี่กินขาหมูมันล้วน2จาน แล้วตามด้วยโค้กเย็นๆ1ลิตร
ผมชอบกินบุฟเฟฟัวกรา่ที่โอเรียลเตนมาก คือกินฟังกรา30ชิ้น กินฝอยทองหนาขนาดนี้
ออกกำลัง ผมเด็กๆ วิ่งได้กิโลผมก็เหนื่อยแล้ว ไม่เป็นคนออกกำลังอะไร
แต่โชคดี ไม่เคยป่วย เวลาผ่านไปนน.ขึ้นสูงเคยถึง95กก. คลอเรสตอรอลสูงไตรกรีเซอไรล์ มีไขมันพอกตับ แต่โชคดี ไม่เคยป่วยเลย...
(เรา:ตัวช่วยคือบุญ)

วันหนึ่งวันดีเดย์ ทำงานหนัก2อาทิตย์ วันนั้นประชุม มีเรื่องหนักๆ
เรื่องฟ้องร้องอะไรเข้ามา ตอนนั้นเที่ยงบุฟเฟ่ที่โอเรียลเตน ตอนเย็นบุฟเฟ่อีกแล้วที่แชงการีรา ผู้บริหารเค้าชอบนัดกินบุฟเฟ่
ระหว่างทางมันเหนื่อยๆ กินๆไปเอะหัวใจมันเต้นผิดปกติ แบบไม่เป็นจังหวะ และเต้นเร็วมาก มือเย็นเท้าเย็นเหมือนกับจะเป็นลม ตกใจ ขอตัวกลับบ้าน นอนในรถ ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่านอนแป๊บเดียวคงหาย ปรากฏว่ามันไม่หาย หัวใจจะวายไหม พอดีผ่านรพ.บำรุงราษฎร์พอดี
(เรา:ตัวช่วยคือบุญ) เข้ารพ.
เสียบอะไรเต็มไปหมด คนนอนข้างๆแขนขาด ตกใจ คนไม่เคยเข้ารพ.
หัวใจเต้นตุบๆ ตอนนั้น2ทุ่มกว่า หมอหัวใจกลับ หมอเวรโทรปรึกษา ให้ส่งผมเข้าccu คือไอซียูหัวใจ

คนเราจะจำแม่นเมื่อถึงเวลาเหตุการณ์แบบนี้ เข้าไปในห้องเล็กๆ
แอร์จะเย็นมาก(=ให้เชื้อโรคเติบโตช้า) คนนอนข้างๆผ้าคลุมหน้า เอ๊ะหรือเค้าจะไปแล้ว ยิ่งน่ากลัวมาก
พยาบาลบอกห้ามลุกนะคะอันตรายมาก สายเต็มตัวไปหมด
ถ้าจะฉี่ พยาบาลจะหิ้วแขน2ข้างไป เป็นintensive care

ใครเจอเหตุการณ์แบบนี้จะนอนไม่หลับ ความคิดแรก ทำไมเราซวยอย่างนี้วะ คือเพื่อนคนอื่นนน.100กว่าโลก็ไม่เห็นเป็นอะไร
(เรา:จิตตก ส่งจิตออกนอก)
คิดถึงหน้าที่การงานยังดีอยู่เลย ลูกก็น่ารัก เมียก็ยังสวย ภาพจะเข้ามา
คิดถึงตัวเอง คิดถึงงานศพ มันกระทันหันมาก ภรรยาผมจะตอบว่ายังไง
ตอบว่าผมมันจุกอกตายเหรอ ผมเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่คงต้องหนีไปต่างประเทศสักพักหนึ่ง เพราะมันอายมาก เราไม่ได้เป็นฮีโร่
คิดว่าหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวอีก ...มันเป็นความเศร้าทุกข์ทรมาน

ตอนเช้าผลการตรวจ ไม่เป็นโรคหัวใจ ซวยคืออะไร ถ้าเป็นโรคหัวใจก็ทำบายพาส ใช้ชีวิตต่อไป หมอบอกอาจเป็น...เต็มไปหมด
ให้ยากิน ส่งกลับบ้าน

ผมไม่รู้ว่าผมหายหรือเปล่า ผมก็เลยมีอาการทางประสาทต่อเนื่อง...
เป็นเดือนเลยครับ คือเวลาไปไหน จะคิดว่าแล้วมันจะมาไหม
แล้วมันจะมา ผมจะต้องนอนเปลี้ยๆ หัวใจมันจะวาย ที่นั่งบนที่ทำงานบ้าง เบาะหลังรถบ้าง กินข้าวเที่ยงก็ไปไม่ถึง ผมทำงานได้แค่ครึ่งวัน ต้องกลับทำงานวันเว้นวัน ชีวิตเค้าไม่ไล่ออก ก็บุญแล้ว จำได้ว่าไปดูโน้ตอุดม ต้องออกมานอนข้างนอก เหงื่อแตกเต็มไปหมด ผมบอกกลับเถอะๆ หัวใจจะวาย  ภรรยาบอกประสาท ไม่เป็นอะไรหรอก
ผมหาหมอโรคหัวใจที่เก่งที่สุด3คน บอกว่าผมเป็นโรคประสาท...
ผมทรมานมาก ร่างกายบีบๆ ผมทำอะไรไม่ได้เลยนะ
คิดตลอดเวลาว่าทำไมมันซวย มันโชคร้ายอย่างนี้ คิดเป็นเดือนเลยนะ

ผมลองนั่งสมาธิ มันไม่ได้ ลองหาทางอื่นเยอะแยะไปหมด
ที่สำคัญตอนนั้นผมอ้วน...รู้ว่าอะไรดี แต่ชอบฝีนมัน ตามใจตัวเอง

8:10 ในที่สุดเอาวะ ต้องทำอย่างที่คนแข็งแรงเชาทำกันแล้วกัน
อย่างแรกคือกินผักเหมือนยา ไม่ใส่น้ำสลัดอะไรทั้งสิ้น กินให้มันจบๆ
อย่างที่2คนสุขภาพดีเขาทำอะไรกัน ออกกำลัง วันแรกออกไปวิ่ง
วิ่งได้100ม.ฟังแล้วขำมากเลย เหงื่อเต็มตัวไปหมด แต่พอกลับมาครึ่งวัน
วันนั้นอาการที่เคยเป็น มันหายไปไม่มา ผมคิดเองเออเอง กินผักกับวิ่งมันคงช่วยมั้ง เออลองดู ทำอีกๆ กินผัก วิ่งมากขึ้นๆ
เลิกกินมื้อเดียว กิน2มื้อ วิ่งยาวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งวิ่งยาว คิดไปเองว่า
อาการนั้นมันเริ่มห่างไปเรื่อยๆ 2เดือนนน.ผมลด15โล ผมวิ่งได้เกือบ10โล
เหมือนฟลอเรสกั้ม วิ่งให้มันรอดจากอาการที่เราเกลียดมันมาก ผ่านไปเรื่อยๆ

9:20 มีบางช่วง ผมคิดว่าอาการมันคงไม่มาแล้วมั้ง สักปี2ปี เริ่มขี้เกียจ
ไม่วิ่งแล้ว แป๊บเดียว จบ มาเลย เอ๊ย นอนตัวงอเหมือนเดิมเลย
หลังจากนั้นผมไม่กล้าเล่นกับเรื่องอย่างนี้เลย วิ่งเกือบทุกวัน ผมเกลียดวิ่งมากนะครับ ไม่ชอบเหงื่อออก ผมขี้เกียจวิ่งมาก วิ่งเพราะว่ากลัวตายล้วนๆเลย วิ่งมา8ปี ปีละพันกว่ากิโล

10:15 ทบทวนกับชีวิต วันนี้อายุ46 แข็งแรงที่สุดในชีวิต เราได้ทำอะไบ้าง ไม่เจ็บป่วยอะไร อย่างมากเป็นหวัดนิดหน่อย วิ่งฮาฟมาราทอน ไม่เคยคิดว่าวิ่งได้ นั่นคือกาย พอวิ่งได้ ใจมันก็อยากทำอย่างอื่นอีก
ลองเตะบอล ชกมวย ออกจากงานเพราะวิ่งเลยครับ สมัยก่อนผมขี้กลัวมาก จะอยู่ในมุมสบาย พอทำ1ได้ 2...3ได้...ได้ทำในสิ่งที่รัก พาผมไปเจอคน
ปกติผมตื่นเต้นหัวใจจะเต้นบึบๆ เหงื่อแตก แต่วันนี้ก็ตื่นเต้น แต่ไม่มีอาการ เพราะผมวิ่งไง ผมเข้ารพ.คืนนั้น...มันเปลี่ยนผม มันบังคับผมต้องเปลี่ยน ccuคืนนั้นไง

11:56 ปกติเราชอบเล็งโอกาสอะไรง่ายๆ โอกาสได้ไปเที่ยว โปรโมทตำแหน่ง...
สุภาษิตจีน โอกาสมักซ่อนอยู่ในวิกฤติ แต่ก่อนผมเกลียดวิกฤติมากเลย
แต่วิกฤติบังคับให้เราเปลี่ยนตัวเอง เมื่อไหร่ผมประมาท วิกฤติจะมาเตือนผมทันทีเลย วิ่ง วิกฤติมาเตือนแล้ว มันจะต้องมีอะไรดีๆแน่เลย



ธนา เธียรอัจฉริยะ.กิน
https://youtu.be/GfvRA6niMec



ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: foie gras; เสียงอ่านภาษาฝรั่งเศส: [fwɑ gʁɑ] แปลว่า "ตับอ้วน") คือตับห่านหรือเป็ดที่ขุนให้อ้วนเป็นพิเศษ ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด
https://th.m.wikipedia.org/wiki/ฟัวกรา

********************


9:02 ถาม:กินมังสวิรัติตลอดชีวิตอยู่ได้ไหมครับ
ตอบ:วิตามินบี12 ที่จำเป็นต่อสมอง มันคนละตัวกันระหว่างพืชกับสัตว์


ข้าว30%
แกงใส่เนื้อสัตว์+ไขมันดี30%
ผัก40%

อาหารที่ควรกินในแต่ละวัน ให้กินเมนูไม่ซ้ำ 
แต่มีส่วนประกอบเป็นข้าว แกงหรือผัดใส่เนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมัน และผัก

อาหารที่ไม่ควรกิน คือ
1.อาหารแปรรูปทางอุตสาหกรรม เพราะเราไม่รู้ว่าอาหารดั้งเดิม หน้าตามันเป็นอย่างไร เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น กุนเชียง ...
ร่างกายกินสารเคมี แม้จะบอกว่าปลอดภัย แต่กินประจำ ร่างกายจะมีสารเคมี
2.น้ำตาลทรายขาว  ไขมันพอกตับมาจากเครื่องดื่มหวานๆทั้งหลาย
ชานม เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เครื่องดื่มผสมโซดาเพราะโซดามีฟอสฟอรัสที่เป็นสารสังเคราะห์สูงมาก ร่างกายทำงานเป็นพวกเป็นวง อยู่ๆมีอะไรโดดสูงเกิน เช่น วงมโหรี มีปี่เป่าดังแทรก ทั้งวงหยุดทำงานหมด
3.แป้งขาวทุกชนิด เปลี่ยนมากินข้าวกล้อง โฮลหวีต พืชหัวเช่นฟักทอง  มัน เผือก
(หมอเขียวให้กินสลับ จากเหตุมีคนถามว่ากินข้าวกล้องแล้วเป็น....
ตอบว่าให้มากินข้าวขาว สลับไปมา)
แป้งขาวจะเป็นภาระของตับอ่อน ภาวะดื้อผลิตอินซูลิน 
นั่นเพราะกินแป้งขาวมากเกินไป

16:10 อาการของการขาดสารอาหาร
1.ง่วงเหงาหาวนอน ตั้งแต่เช้าเรากินอาหาร3ส่วน ข้าว แกง ผัก เราไม่ควรมีอาการง่วงเหงาหาวนอน  แสดงว่าอาหารที่เรากินเข้าไปก่อนนี้ ต้องมีอะไรผิดปกติ ของอาหารที่เรากินเข้าไปแล้วล่ะ
กินแป้งขาวและของหวาน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงสัก1-2ชม.
แล้วน้ำตาลในเลือดตก เราง่วง ยิ่งมีปัญหาเรื่องอื่นอยู่แล้วด้วย
อารมณ์เราก็จะแปรปรวน เราก็ไปเติมน้ำตาลหรือของหวาน 
เราก็freshขึ้นมา ร่างกายเราจะขึ้นลงๆ 
สักพักกลูโคสในร่างกายจะสร้างความอยาก ไม่กินแล้วจะเป็นโน่นนี่

2. ใจเต้นแรง เพราะร่างกายเจออาหารที่ไม่เป็นมิตร ร่างกายจะหลั่งสารฮิสตามินออกมา ทำให้กล้ามเนื้อที่ท้องตึงขึ้นมานิดหนึ่ง


20:56 กินน้ำให้พอคือ1.5-2ลิตร แก้กรดไหลย้อน คืออาการแสบร้อนที่หน้าอก เกิดจากตับผลิตน้ำเกลือไบคาร์บอเนต ไม่พอ ที่จะมาราดอาหาร ที่กระเพาะย่อยแล้ว ให้อาหารเป็นด่าง อาหารจึงเป็นกรด เมื่อกระเพาะย่อยเสร็จจะผ่อนคลาย เปิดวาล์วที่กั้นอาหาร ทำให้อาหารไหลย้อนขึ้นมา เกิดแสบร้อนที่อก

21:32 ถาม:ท้องเสียบางทีกินโยเกิร์ตก็ช่วยได้
ตอบ:เราไม่เคยรู้เลยว่าอาหารเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว เข้าไปทำอะไรบ้าง
แล้วมันไปอยู่ตรงไหน และเมื่อมันไม่ทำงานตามปกติ มันจะเกิดอะไรขึ้น ท้องเสียเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมบูรณ์ และถ้าเรากินจุลินทรีย์ที่ดีเข้าไป อาจจะเป็นโยเกิร์ต กิมจิ นะโต๊ะ แล้วแต่...
มันก็จะเป็นการbalanceจุลินทรีย์ได้แบบหนึ่ง

22:41ถามวิธีการลดนน.มีอะไรทีควรรู้
ตอบ:พอเวลาลดนน. เราลดแคลอรี่ก่อน เอาแคลอรี่เข้า เอาแคลอรี่ออก
มันไม่ถูกซะทีเดียว มีถึง10สาเหตุของความอ้วน เช่น ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
แก้ที่ไทรอยด์นน.ก็ลด...การจะลดนน.ต้องเข้าใจว่าเราอ้วนเพราะอะไร ไม่ใช่เห็นเพื่อนทำแล้วทำตาม เพราะคนมีวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีความเครียดไม่เท่ากัน อยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างกัน บางคนกินอาหารแปรรูปเยอะ บางคนกินอาหารแปรรูปน้อย บางคนกินแป้งขาวเยอะ บางคนไม่เคยกินผักเลย เพราะฉะนั้นสาเหตุของ
การเกิดโรค จึงไม่เหมือนกันในแต่ละคน

23:09 การใช้ปลายทางรักษาโรค แบบเดียวกัน สูตรเดียวกัน มันจึงไม่ใช่
คีโตนจึงเหมาะสำหรับคนอ้วนที่มีสาเหตุดื้ออินซูลินในตับอ่อน เขาอาจจะกินแป้งขาว ของหวานนานจนตับอ่อนไม่ผลิตอินซูลินแล้ว 
คีโตนจึงแก้ปัญหาให้ตับทำงานซะมั่ง สร้างพลังงานซะมั่ง นั่นแปลว่าเราต้องหยุดแป้งและของหวาน ณ.ช่วงเวลานั้น เพื่อบังคับให้
ร่างกายใช้พลังงานจากตับเท่านั้น

23:51 ถาม:แล้วแบบอดเหลือมื้อเดียว กินอาหารมื้อเดียวตลอดชีวิตอย่างพระ ตอบ:ทำได้ แต่ต้องกินอาหารให้ครบ5หมู่ และอยู่ในความดูแลของแพทย์ คนสมัยก่อนป่วย จะพัก อวัยวะนั้นจะได้ฟื้นฟู บางทีเวลาเราเหนื่อย เราไม่ต้องทำอะไรเลย อันนี้พิสูจน์กันได้ทุกคน แค่เราพักก็หาย 

27:39 ปี2503 แอนเซิล คีย์ส สร้างอิทธิพลตั้งสมาคมโรคหัวใจ และตั้งสูตรอาหารของตัวเอง ให้ประธานาธิบดีไอเซนฮาว ที่เป็นโรคหัวใจ คือ. ี่ห้ามกินไขมัน เพราะไขมันเป็นตัวทำให้เกิดโรคหัวใจ เขามีอิทธิพลสามารถ แบนงานวิจัยที่ถูกต้องได้ องค์การอุตสาหกรรมอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ก็เชื่อ อุตสาหกรรมอาหารก็ตาม อาหารต้องไขมันต่ำ
ถาม:ไขมันต่ำก็น่าจะดี มันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น
ตอบ:เรากินอาหารไขมันต่ำ รสชาดมันก็ยังดี เขาเติมแป้งเข้าไป แทนไขมัน เพราะฉะนั้นเราจึงกินแป้งเยอะเกินไป

เอื้อมพร.นักบำบัดโรคด้วยอาหาร

*****************

ดื่มน้ำกับความจำเสื่อม นวดเท้ารักษาหลายโรค
บทความโดย : หมอแดง ดิ อโรคยา

อาการที่บางครั้งเราพยายามจะนึกอะไรซักอย่างให้ได้ แต่มันนึกไม่ออก จะว่าลืมก็ไม่ใช่ เหมือนมันติดอยู่ที่ปากหรือเวลาจะก้าวออกจากบ้านไปทำงาน ทีไรก็ต้องลืมโน่นลืมนี่เป็นประจำ อาการแบบนี้จะเรียกว่าเป็นอาการความจำเสื่อมก็คงจะไม่ใช่ แต่ก็ใกล้เคียง



ผมพบคนไข้ผู้ชาย เกษียณแล้ว เกิดอาการความจำเสื่อมกำเริบอย่างหนัก มีอาการเหมือนเด็ก จำอะไรไม่ค่อยได้ จะกินจะนอนก็ดูยากไปหมด พูดฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง บางครั้งมีอาการซึม บางครั้งยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าซีดเหมือนไม่มีเลือดมาเลี้ยง มือสั่นบ้าง ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรค “พาร์คินสัน” ก็เลยให้ยาสารพัดมากิน แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย ภรรยาต้องคอยดูแลสามีเหมือนเป็นเด็กเล็ก



จากการสอบถามประวัติ อาหารการกิน การออกกำลังกาย ภรรยาของคนไข้ก็บอกว่า ผู้ป่วยก็กินดีอยู่ดี ออกกำลังกายประจำ กรรมพันธุ์ก็ไม่มี แล้วเกิดอาการได้อย่างไร หมอก็ให้คำตอบไม่ได้ ได้แต่รักษาไปตามอาการ หลายปีแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม



พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนไข้ทำพลาดไป ก็คือ



เขาดื่มน้ำน้อยมาก วันละไม่เกิน 2 แก้ว ไม่กระหายน้ำก็ไม่ดื่ม น้ำหนักเกือบ 60 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักขนาดนี้ควรดื่มน้ำ 9-10 แก้วต่อวัน แต่นี่ดื่มแค่ 2 แก้ว... เลือดเมื่อขาดน้ำก็ทำให้เลือดข้นหนืด ทำให้หลอดเลือดไม่มีความยืดหยุ่นเพราะเลือดไปเลี้ยงไม่พอ แล้วเลือดจะฉีดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้อย่างไรกัน



หัวใจคนเรา ที่ต้องสูบฉีดเลือดขึ้นไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อเลือดข้นเหนียว ไม่ช้าหัวใจก็ต้องพัง เส้นเลือดในหัวใจก็อุดตันหมด



สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ...
เลือดนั้นจะนำพาอาหาร อ๊อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าส่วนไหน เรามัวแต่กินยา กินวิตามิน โดยไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การดื่มน้ำที่ถูกต้อง คงไม่มีวันที่โรคนี้จะหายได้ ยาและวิตามิน ก็เข้าสู่ร่างกายไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำพาไป เพราะเลือดประกอบด้วยน้ำถึง 91% 



เมื่อได้แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมวิถีชีวิตใหม่แล้ว ขั้นตอนต่อไปเราก็ทำการนวดกระตุ้นฝ่าเท้า และนวดตัว เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะภายในร่างกายทั้งหมด ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าการนวดเท้านั้นเป็นการรักษาเท้า ท่านเข้าใจผิดนะครับ การนวดเท้าสามารถรักษาโรคได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมได้นวดเท้าและนวดกดจุด จากใบหน้าที่ขาวซีดกลับดูมีเลือดฝาด ดูสดใสขึ้นเยอะ พูดคุยได้ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าแต่ก่อน มีการตอบสนองที่ดี นั่นแสดงว่าเลือดลมเดินได้ดีขึ้นแล้วนั่นเอง...


ป้าศรีขอเติม comment ของคุณหมอ Nart Fongsmut เข้ามานะคะ คุณหมอเชี่ยวชาญการดูแลผู้สูงอายุค่ะ ...

"เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำไม่พอ dehydrated เป็นผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่ดี สมองที่เสื่อม หดอยู่แล้วจะ function ได้ด้อยลงมากมาย พบบ่อยในสถานสงเคราะห์คนชราหรือ nursing home ที่ผู้สูงอายุช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากนัก dependent..."


*****************************************




4:55 อย่าให้กระหายน้ำแล้วดื่ม ดื่มน้ำไปตลอด


หมอเฉก ธนะศิริ
https://youtu.be/dIHp8m1Nz5o


*****************************************

สังเกตอาการเจ็บป่วย ต้นเหตุจากการกิน

2:50 เกิดจากกินเข้าไป หรืออยู่กับสิ่งนั้นนานๆ โดยเราไม่รู้ตัว

3:20 ยุงกัดแล้วขาลาย รอยช้ำเยอะ สิวขึ้นมาก นอนเยอะแต่ตาคล้ำๆ เลือดเริ่มไม่ดีหรือน้ำเหลืองไม่ดี ก็คือการไหลเวียนโลหิตไม่ดี ในเลือดมีพิษซ่อนอยู่นะ ไม่ได้แพ้แต่เกิด เราจะก้าวเข้าไปในโลกของอาหาร
เกิดจากกินแล้วไม่ย่อย กินมากไปหรือเปล่า ลำไส้ไม่ดูดซึมไม่ได้ฯลฯ
(หลวงปู่สอน“ไม่ใช่เห็นอะไรก็จับเข้าปาก พิจารณาก่อนสิ)
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับเซ็นซิทีฟของร่างกายและการใส่พิษเข้าไปมากน้อย เราไม่ค่อยรู้เพราะอาการเบสิค อย่างท้องอืด ท้องเฟ้อนี่ใช่
ลมเยอะ พุงป่องโดยลม ตดเยอะ เรอเยอะ นี่เรียกว่าลำไส้เริ่มไม่ย่อย

4:34 เค้าเตือนแล้ว แต่เราไม่ค่อยรู้ ธรรมชาตินี่ฉลาด เขาเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหยุดแล้วฟัง เราจะเห็น แล้วเราจะหยุดการทำแบบนั้น เราจะแข็งแรงขึ้น
แต่คนที่สุขภาพดีมายาวนาน เมื่อกินอะไรเข้าไป มันผิด จะรู้ทันที
ว่ามันไม่ใช่แล้ว คนที่รู้ก่อนจะได้เปรียบ

ยังมีอาการของกลุ่มที่เกิดจากการอักเสบ เช่น
-ปวดหัวไมเกรน เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองทุกวันแล้วมันอักเสบ
-ปวดท้องจากการมีประจำเดือนมากผิดปกติ
-สิวขึ้นไม่หายสักที  ไม่ได้ตากแดดแต่มีเม็ดเล็กๆขึ้นที่หน้าเต็มไปหมด เรียกว่าอุดตัน เกิดจากกินอาหารแล้วแพ้ไม่รู้ตัว
-สิวหรือรอยดำเป็นแล้วหายยาก
-ผมบางลง
-เหนื่อยง่ายผิดปกติ
-นน.ขึ้นเยอะ อ้วนง่าย
-ขับถ่ายไม่ปกติ
-เป็นหวัดบ่อย
-ป่วยง่าย ปีหนึ่งป่วยหลายครั้ง
ทั้งหมดนี้เป็นอาการไหลเวียน เพราะมันไปได้หลายที่
เราปวดไมเกรนกินยาอย่างหนึ่ง
ปวดประจำเดือนกินยาอย่างหนึ่ง
สิวกินยาอย่างหนึ่ง มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ต้นเหตุจากการกิน
เราจะแพ้ทุกวัน เพราะเรากินเข้าไปทุกวัน
(หลวงปู่สอน“กินน้อยตายยาก กินมาก ตายง่าย“ หลวงปู่ฉันวันละ1มื้อก่อนเที่ยง)

เราอยู่ภูมิภาคไหน เราควรจะกินอาหารที่อยู่ในภูมิภาคนั้น
ธรรมชาติเค้ากำหนดมาแบบนี้
ที่หมอเจอมา ฝรั่งเขากินแป้งนมเนยชีส เพราะเมืองหนาว
เค้ามาตรวจ แพ้ข้าวก็มี
คนไทยไม่มีหรอกขนมปังนมเนยพิซซ่า คนที่แพ้ลองหยุดกินนมและไข่ซึ่งมักจะแพ้คู่กัน สัก2-3เดือนดูไหม ถ้ากินแล้วสิวยุบ ไม่ปวดประจำเดือน ขับถ่ายดีจัง เหงื่อออกดี หน้าตาแจ่มใส คนชมเยอะ
ในบั้นปลายพวกแพ้อาหารแบบนี้ จะเป็นมะเร็งลำไส้กันเยอะ เพราะมันไปกระตุ้น มันเป็นอาหารที่ลำไส้ไม่ย่อย

9:30 บางคนบอกว่า ไม่ให้กินอะไรเลยแบบนี้ ไม่มีความสุขเลย
ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากรู้
มันก็ดีตอนนี้ ได้กินดี แต่ตอนเป็นมะเร็งมา ตอนลำบากมา ตอนแก่มา
ก็มาขอความช่วยเหลือกันอยู่ดี
เวลาเราวัดความสุขในชีวิต เราวัดกันที่บั้นปลาย
เราไม่รู้หรอก เราอายุเท่าไหร่ แต่มนุษย์ เราสร้างมาครั้งเดียว
อะไรทำให้เค้าแย่ลง และมีบทวิจัยบทความ เค้าทำแล้วดีขึ้น
หมอเอามาเล่าสู่กันฟัง ฟังหูไว้หู ไม่เสียหลาย...

หมอแอมป์ โรคภูมิแพ้
https://youtu.be/s_2aS8oLW9c

*****************************************


วัตถุกันเสียคือกรด


*****************************************


(1:07)ผักชลอการดูดซึมน้ำตาล ไขมัน 
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังทั้งโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน
ควบคุมน้ำหนักได้
ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 
เพราะใยอาหารช่วยลดการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
ปริมาณที่กินใน1จานคือผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง
เช่นข้าวแกง มีผัก1ทัพพีหลีกเลี่ยงน้ำผัดเพราะซอสปรุงรสต่างๆที่เค็ม จะมีผลต่อความดัน
แม้ผัดผักจะผ่านความร้อน วิตามินเกลือแร่หมดไป แต่มีใยอาหาร

เรา:หลวงปู่จึงดื่มนมหนองโพหวานได้ หมู3ชั้นอบได้ เพราะท่านดื่มน้ำต้มผักทุกวัน

*****************************************

*****************************************







“ตอนนี้ลูกสาวผม แนนซี่ อายุ 5 ขวบ ถ้าเราไม่ลงแรงช่วยโลกตอนนี้ด้วยการกินอาหารในฤดูกาล กินอาหารท้องถิ่น คนรุ่นลูกคุณและรุ่นลูกผมอาจเห็นอะไรบ้าง แต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่เหลืออะไรในโลกใบนี้ให้ลูกของแนนซี่”

 “ทุกคนได้อาหารสดใหม่ที่รสชาติดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพ่อค้าคนกลาง“ 

 ไม่มีใครปลูกดอกผักชีเพราะมันยาก ทุกคนคิดว่าผักชีน่าจะปลูกง่าย เพราะอาหารไทยใช้ผักชีเยอะ แต่รู้มั้ยว่าผักพวกนั้นใช้เคมีทั้งนั้น ไม่งั้นก็เป็นผักนำเข้าจากเมืองจีน”

เจมส์เด็ดดอกไม้สีขาวเล็กๆ ที่บานสะพรั่งในแปลงผักให้ลองชิม กลิ่นผักชีบางๆ มอบรสนุ่มนวล ต่างจากความฉุนจัดของผักชีที่เคยชินในจานข้าว แล้วพาเราเข้าไปเด็ดมะเขือเทศแดงๆ ลูกเล็กจากต้น รสหวานกรอบนั้นช่างตราตรึงใจ

“ตอนนี้ผมรู้สึกภูมิใจมากกว่าทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา เอาดาวมิชลินและรางวัลทั้งหมดไปเลย มันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกตอนปลูกมะเขือเทศได้สมบูรณ์แบบ”



เขาใช้เศษไม้เก่าจากบ้านไม้ในอีสานมาทำความสะอาด และดัดแปลงเป็นเขียงกับภาชนะอื่นๆ ที่เก๋และเปี่ยมเรื่องราว
“อาหารเราออร์แกนิก การโฆษณาของเราก็ออร์แกนิก คนบอกกันปากต่อปาก ซึ่งเราชอบนะครับ เราไม่ได้อยากให้คนมาเยอะๆ โดยที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เราทำ คุณควรเข้าใจก่อนว่าเราไม่เสิร์ฟสเต๊กใหญ่ๆ ที่เลี้ยงครอบครัวขนาด 6 คนให้คน 2 คน นั่นคือความโลภ ต่อให้มีเงินทำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าควรทำ

“อาหารเราราคาสมเหตุสมผลเพราะเราปลูกทุกอย่างเอง เราไม่เสียค่าเช่าร้าน ไม่เสียค่านำเข้าวัตถุดิบ จะไปเก็บเงินแพงๆ จากไหน ราคาที่คุณจ่ายคือค่าอาหารเท่านั้น”


“ทุกคนคิดเรื่องเงินเป็นอันดับแรกในอุตสาหกรรมนี้ ทุกร้านคิดเงินแพงๆ จากวัตถุดิบนำเข้าและค่าเช่าที่แสนแพง ร้านอาหารในทองหล่ออาจต้องจ่ายค่าเช่าประมาณ 4 แสนบาทต่อเดือน ดังนั้น ราคาที่ลูกค้าจ่ายคือค่าเช่าร้านมากกว่าค่าอาหาร” เจมส์อธิบาย
“เชฟบางคนต้องทำงานหนักเพื่อให้อาหารรสชาติดี เพราะเขาประหยัดค่าวัตถุดิบตลอด แล้วใช้เคมีหรือผงชูรสให้มีรสชาติมากขึ้น และได้เงินมากขึ้น

 ถ้าไม่มีวัตถุดิบก็ต้องรู้จักดัดแปลงสูตร เข้าใจว่าวัตถุดิบเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องรู้จักที่มาอาหาร


“เกษตรกรต้องการการศึกษา นายทุนเข้าไปขายฝันว่าถ้าคุณปลูกนั่นปลูกนี่คุณจะมีเงิน แล้วพอถึงเวลาเก็บเกี่ยว ผลผลิตไม่ได้มาตรฐานก็ไม่ซื้อหรือกดราคาจนได้เงินน้อยมาก เงินไม่พอก็ต้องไปกู้ธนาคารหรือเจ้าหนี้อื่นๆ จะเลิกก็ไม่ได้เพราะติดสัญญา เราอยากให้เขาเห็นว่ามันมีทางเลือกอื่น บางคนโชคดีมากนะคะที่มีที่ดินกว้างๆ เป็นมรดก เขาไม่ได้จน แต่ต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้มากที่สุด ถ้าคนไทยปลูกพืชหลายๆ อย่างได้ ราคาก็จะถูกลง แล้วเราก็จะได้ทานสินค้าที่ดีขึ้นมาหน่อย” เมเอ่ยอย่างมีความหวัง

*****************************************

กินวันละมื้อ/ยิ่งหิว ยิ่งสุขภาพดี
เรา:คนใกล้ตาย จะกินน้อยลงๆ จนหยุดกิน


*********************************************




*********************************************
สมเด็จพระเทพฯ“สมเด็จย่าทรงเป็นคนฉลาด เรียนพยาบาล ได้ไปเรียนที่อเมริกา ชีวิตก็เปลี่ยนแปลง เป็นคนที่สนใจสิ่งต่างๆ เช่น ลองหัดขับรถยนต์ ใช้กล้องถ่ายภาพ ถ่ายหนัง สนพระราชหฤทัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปอเมริกาเพื่อเรียนพยาบาล เรียนโภชนศาสตร์ ทรงทำกับข้าวให้ลูกๆ ถึงหลานๆ อาหารต้องถูกหลักโภชนาการ ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ ไปต่างประเทศ ทรงมาดูแลหลานๆ มื้อเย็นท่านไม่ให้กินของทอดเลย มันฝรั่งทอดนี่ไม่ได้เลย“


*********************************************






*********************************************
เรา:กินทำให้ป่วย 
ลองอ่านคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แม้เราปกติ แต่บางอย่างเราไม่รู้ ทำให้ชีวิตขาดความสบายกายสบายใจได้น่ะ พิจารณาดูนะ

(3:08) สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกคำแนะนำได้แก่
1.หลีกเลี่ยงการกินไส้กรอก แฮม เบคอน เพราะกระบวนการผลิตทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง

(4:18) 2.ลดหรือเลิกกินเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เนื้อหมู เนื้อวัวอยูในกลุ่มนี้ เพราะตัวโมเลกุลของยีนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะไปสมคบกับแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งในร่างกาย
ถ้าจะกินให้กินปูปลากุ้งหอยเป็ดไก่

(5:29) 3.ผลไม้ผักควรจะกินให้มากขึ้น เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ จะไปลดการอักเสบ ขบวนการอักเสบเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเกิดมะเร็ง

(6:00) 4.กินธัญญพืชไม่ขัดสี เป็นแหล่งแครอลี่หลัก ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต

(6:35) 5.กินให้หลากหลาย เพราะร่างกายต้องการธาตุต่างๆกัน ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
หมอสันต์ https://youtu.be/V__XGRFEzcM

6. ห้ามกินอาหารไม่ลง ให้ใช้การปั่น เช่นชอบก๋วยเตี๋ยวก็ใส่ลงไปปั่นเป็นน้ำทั้งหมด แล้วดื่ม วิธีนี้ทำให้ร่างกายได้สารอาหาร มากกว่าพยายามกิน แต่กินไม่ได้

(9:04) 7.ของที่เป็นน้ำๆที่พอจะกลืนได้ พอเข้าไปก็สำลัก เพราะของเหลวกระเซ็นไปในกล่องเสียง แล้วไอแบบจะเป็นจะตาย ให้ใช้แป้งสำหรับผสมอาหารผสมลงไปแล้วคน ให้มันกึ่งแข็งกึ่งเหลว ไม่ต้องเคี้ยว เอาลิ้นดุนๆเป็นคำ แล้วกลืนได้เลย

(10:39)8.ผมไม่แนะนำให้ใช้สายยางเพื่อให้อาหาร ถ้ากินไม่ได้ก็คือกินไม่ได้เท่านั้นเอง หรือใช้ตัวช่วยที่กล่าวมาแล้ว 
เราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะไปถึงระยะสุดท้ายเมื่อไหร่ โดยธรรมชาติเวลาที่เราไปถึงระยะสุดท้าย ธรรมชาติจะบอกให้ร่างกายหยุดรับอาหาร ร่างกายจะอยู่ในภาวะขาดอาหาร ในสภาวะนั้นร่างกายจะปล่อยสารเอ็นดอฟินออกมา มันจะทำให้เรารู้สึกสบาย ทำให้วาระสุดท้ายของเราไปแบบสบายๆ แต่พอเราใช้วิธีให้อาหารทางสายยาง เราไม่รู้หรอกว่าวาระสุดท้ายมาถึงหรือยัง ระยะสุดท้ายนานเป็นเดือน
(เรา:เคยพบภาวะนี้ในย่าเกาะและลุงพรหมมา เมื่อไปเยี่ยมลูกจะบอกว่าไม่กินอะไร) ผู้ดูแลก็ให้อาหารทางสายยางให้เข้าไปไม่มีจบ สำหรัผมการให้อาหารทางสายยางไม่เป็นธรรมชาติ สายยางคาอยู่มันก็ทรมาน ร่างกายก็ไม่สบาย เพราะร่างกายจะไปแล้ว เค้าหยุดรับอาหารแล้ว เครื่องเค้าหยุดเดินเครื่อง ก็ยัดอาหารเข้าไป ทำให้วาระสุดท้ายมันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
(เรา:เคยเห็นที่รพ.รามาผู้ดูแลกรอกอาหารใส่สายยางตามเวลาอาหาร แต่คนไข้นอนติดเตียง ไม่มีอาการสบายสดชื่น,หลวงปู่จึงไม่ให้เคลื่อนย้ายท่านไปรพ.)
หมอสันต์ https://youtu.be/V__XGRFEzcM

9.ออกกำลังกาย ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีโรคแทรกน้อยลง ภูมิคุ้มกันดีขึ้น

10.ส่วนสุดท้ายที่ควรทำก่อนทุกข้อ ไม่ว่าเราจะใช่หรือไม่ใช่ผู้ป่วย ก็คือ
เรื่องทางใจ มีอยู่2อย่าง กลัวกับการวิ่งหาความหวัง ทั้ง2อย่างนี้มันทำให้ชีวิตไม่มีคุุณภาพ...
คือชีวิตที่ดีมันต้องอยู่กับปัจจุบัน...เขาว่าโน่นดีก็ไป นี่ดีก็ไป...
ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย...ความกลัวก็ดี ความดิ้นรนไขว่ขว้าหาความหวัง มันไม่ใช่เรา เป็นแค่ความคิด ถ้าเราเผลอ...
มันก็จะพาเราไปไหนต่อไหน ลืมใช้ชีวิตณ.ขณะนี้ให้มีคุณภาพ ...
เราเป็นผู้สังเกต แล้วอยู่กับปัจจุบัน 
มองให้่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็น ยอมรับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ยอมรับหมด จะไปดิ้นรน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด 
ทีนี้จะทำให้คุณภาพชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวัน มีคุณภาพดีที่สุด ไม่ต้องไปวิ่งหนีความกลัว ไม่ต้องไปวิ่งตามหาความหวัง
หมอสันต์ https://youtu.be/V__XGRFEzcM




ผลการศึกษาเรื่องถั่ว ลดน้ำหนัก มะเร็งลำไส้ใหญ่ กับท้องผูก กินพืชกินเนื้อสัตว์ 
(4:40) คนกินถั่วมากท้องจะไม่ผูก
(4:47) คนที่ท้องผูกเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
(4:52) คนที่กินเนื้อสัตว์มีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น อันนี้แน่นอน ข้อมูลทางการแพทย์เรารู้อยู่แล้ว
(5:01) ใครกลัวมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็กินพืชเยอะๆ
(5:04) ไปห้องสุขาถ่ายหนักวันหนึ่งให้ได้2ครั้ง...ถ้าวันละครั้งยังลุ้นแสดงว่าสัตว์เลี้ยงของเราแบคทีเรียลำไส้ไม่มีอาหาร ปริมาณแบคทีเรียน้อย มวลอุจจาระน้อย ต้องกินกากให้มากขึ้นอีก
(5:27) อย่าไปซื้อกากเค้าใส่กระป๋อง(=อาหารกระป๋อง) บ้านเราเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติ เราไปซื้อกากเค้าใส่กระป๋องกิน มันก็น่าเกลียดไหมล่ะ
หมอสันต์:มีงานวิจัยที่อังกฤษ เอาอุจจาระมาวิเคราะห์ พบว่า50%เป็นแบคทีเรีย หมายถึงว่าครึ่งหนึ่งของมวลอุจจาระไม่ใช่กาก เพราะฉะนั้นถ้าเราเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในลำไส้ใหญ่ เราก็จะมีมวลอุจจาระเยอะ เพราะครึ่งหนึ่งเป็นตัวแบคทีเรียเอง เราจะเลี้ยงมันได้ ก็ต้องมีอาหารไว้ให้มัน อาหารที่เราจะเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่ ก็คืออาหารที่เราย่อยไม่ได้ถูกไหม ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ ย่อยได้หมด มันจะเหลือไม่ค่อยถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรีย ที่กินเนื้อสัตว์ก็เป็นคนละแบบกับแบคทีเรียกินพืช อาหารพืชโดยเฉพาะถั่ว ตอนนี้เขาเอาถั่วเป็นอาหารลดน้ำหนัก ทั้งที่ถั่วมีไขมันสูง แต่ถั่วมีสารที่คนใช้ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปถึงลำไส้ใหญ่ แต่ว่าแบคทีเรียใช้ได้
ถาม:คนอินเดียเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำมากเพราะอะไร
ตอบ:1.กินขมิ้นชัน อาหารอินเดียน่าจะเกือบทุกมื้อมีขมิ้นชันเยอะมาก เป็นธรรมชาติอาหาร ปรุงในทุกอย่าง ทุกมื้อน่าจะมีขมิ้นชันปรุงอะไร วิจัยในขมิ้นชันมีเยอะมาก แล้วพูดถึงโรคมะเร็งมีออกมาเยอะ ปวดหลัง ปวดแขน ขมิ้นชันน่าจะมีผลดีต่อร่างกายตัวหนึ่ง
2.กินถั่ว โปรตีนส่วนใหญ่ของคนอินเดีย น่าจะได้จากพืชเป็นถั่ว ส่วนใหญ่กินถั่ววันละหลายมื้อ แบบถั่วแดง ถั่วขาว อะไรเยอะแยะ 
3.มีพืชผักอะไรปรุงอาหารเหมือนไทยที่ใช้กระเทียม ขิงหลายอย่างเยอะมาก คือเครื่องปรุงเยอะจริงๆ(=สมุนไพร)
แต่ปัญหาอาหารอินเดียเยอะมาก น้ำมัน น้ำหนักไม่ลดลง แล้วอ้วนขึ้น แล้วโรคตามมา อย่างอื่นดีหมด

ถาม:แล้วกินเนื้อสัตว์
ตอบ:กินเนื้อสัตว์น้อย 70%ของคนอินเดียเป็นมังสวิรัติอยู่แล้ว ตอนนี้อาจจะค่อยๆเพิ่ม แปลว่าอะไร วันละ1มื้อกินไก่ เนื้อแกะ 2อย่างส่วนใหญ่ ผมไม่ใช่มังสวิรัติ ผมกินเนื้อสัตว์ แต่กินกี่ครั้งล่ะ วันละครั้งเดียว คนที่ไม่ใช่มังสวิรัติกินเนื้อสัตว์วันละมื้อ บางคนอาทิตย์ละครั้งกินเนื้อสัตว์ คนอินเดียกินไข่ไม่เยอะอาทิตย์ละ2-3ครั้ง ตอนนี้ 
คนอินเดียค่อยๆเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากกินเนื้อสัตว์มากินพืชเพิ่มขึ้น
หมอสันต์ ใจยอดศิลป์





1.กินมากเกินไป ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญมาก
ส่วนใหญ่จะเผาผลาญได้ไม่ดี เกิดสารตกค้างต่างๆ สารอนุมูลอิสระ แปลง่ายๆ
คือสารพิษตกค้างทีาเกิดจากการเผาผลาญ ทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพก่อนทีาควรจะเป็น ทำให้เราแก่เร็ว

2.กินของว่างบ่อยๆ ร่างกายเราต้องเผาผลาญไม่หมด ต่างจากข้อ1 เป็นการทะยอยกินทีละนิด โดยรวมก็ถือว่ากิเยอะ เกิดสารพิษขึ้นมา

3.กินมื้อดึก หลัง18:00น.เป็นต้นไป ร่างกายไม่เหมาะต่อการกิน เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ไม่ดี ถึงแม้เรากินไม่เยอะในมื้อดึก ร่างกายเราก็จะเผาผลาญไม่หมดอยู่ดี ผลเสียจะตกกับร่างกาย มีการสะสมสารพิษ พูดง่ายๆเป็นขยะ ทำให้เซลเสื่อมสภาพเร็ว



ป้านิดดา

ความสมดุลของร่างกาย : ให้สังเกตว่าเราสดชื่นไหม 
ถ้าสดชื่นแปลว่าร่างกายเราสมดุล 
แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อย เดินก็เหนื่อย พูดก็เหนื่อย แปลว่าร่างกายเราเสียดุล

การเสียดุลที่สำคัญมาจากเลือด เพราะเลือดคือหัวใจ
ความเครียดนี่ทำให้เลือดเป็นกรด เลือดข้น มันดึงไอ้โน่นไอ้นี่จากร่างกายมา ทำให้ร่างกายเสียดุล

การปรับสมดุลของร่างกายไม่ยาก เพราะว่าสารอาหารทั้งหมดมาจากธรรมชาติ ไม่ใช่ไฮโปรโกนิก นั่นไม่ใช่ 
เมื่ออาหารมาจากดิน ธาตุอาหารทั้งหลายมาจากดินหมด
ถ้าเรากินผักผลไม้เต็มที่ เราก็ได้สารอาหารเข้ามาในร่างกาย
ผักผลไม้เป็นตัวช่วยให้เราได้รับสารอาหารนั้น

ความสมดุลของร่างกายด้วยสมาธิ 
สมาธิช่วยให้ร่างกายมีความเป็นด่าง ความเป็นด่างที่พอดีมันขับพิษ
(เรา:หลวงปู่ใช้รักษาโรคโดยท่านจะบอกว่าอย่าให้ใครเข้ามากวน)

ป้านั่งสมาธิจนดิ่ง(=จิต) จะร้อนเหงื่อไหลท่วมตัว 
เพราะพลังปราณรอบตัวเข้ามา ร่างกายหลั่งเอนโดฟิน ทำให้เซลกระชุ่มกระชวย ร่างกายเป็นด่างปุ๊บ จะมีพลังมากเลย ขับพิษถึงเซล
ความร้อนที่เป็นเหงื่ออออกมา นั่นคือขับพิษชนิดหนึ่ง

ยิ่งเคี้ยวละเอียดจะได้พลังปรมานู เกิดประจุไฟฟ้า ยิ่งเกิดพลังปรานขึ้นมา
โยคีทั้งหลายเขากินไม่เยอะ (หลวงปู่ฉันน้อย)
แต่เขาเคี้ยวนาน เขาได้รับสารอาหารเต็มที่ได้สารอาหารเยอะ ที่สำคัญอาหารที่กินถูกย่อยแล้วเป็นด่าง


เกลือที่ดีคือเกลือทะเล เกลืออุตสาหกรรมไม่ดี
ไม่ใช่เกลือตั้งต้นไม่ดี แต่เอามาผ่านความร้อน 1,200°ฟ เพื่อขจัดแมกนีเซียม
ความร้อนยังทำลายแร่ธาตุ เช่นไอโอดีน จึงต้องเติมไอโอดีนเข้าไป ซึ่งเป็นสารเคมี ร่างกายมันก็ไม่รับ เหลือแต่โซเดียมคลอไรด์
จึงมีความเค็มมากเค็ม99% เพราะสารอื่นไม่อยู่แล้ว
เป็นโมเลกุลโดด จำพวกสารพิษ 
พอกินเกลืออุตสาหกรรมเข้าไป ร่างกายต้องใช้น้ำเข้ามาช่วย เพราะฉะนั้นกินเกลืออุตสาหกรรมมากๆจะหิวน้ำ ร่างกายต้องใช้น้ำ20เท่า เพื่อมารักษาสมดุล ไตก็ทำงานหนัก ทำให้ความดันโลหิตสูง

กินน้ำตาล กาแฟ น้ำอัดลม ทำให้เลือดเป็นกรด แล้วเรามักลืมดื่มน้ำ
น้ำกาแฟที่กินเข้าไป เลือดจะต้องกรองเอาน้ำออก เหมือนเครื่องกรองน้ำ เมื่อน้ำสกปรกยิ่งกรองยาก ร่างกายจึงเสียพลังในการกรองน้ำกาแฟ ยิ่งทำให้ร่างกายเสียน้ำเข้าไปอีก คนที่กินน้ำน้อยแล้วกินน้ำตาล กาแฟ น้ำอัดลม จะมีอาการตัวแห้ง กระหาย ตาแห้งนะ
น้ำตาลทุกชนิดเป็นด่าง แต่พอเข้าไปในเลือด ทำให้เลือดเป็นกรด ...กระเพาะต้องผลิตกรดเกลือ...เพื่อทำให้ของหวานนั้นเป็นกลาง แล้วไหลต่อไปลำไส้ แต่กรดเกลือที่ออกมายังอยู่ในกระเพาะ ยิ่งกินหวานมากๆ
กรดเกลือค้างในกระเพาะมากเรื่อยๆ กระเพาะถึงได้ทะลุ เมื่อมันไม่มีอะไรย่อย มันก็ย่อยตัวมันเองคือกระเพาะ

เวลาไม่สบาย ให้กินน้ำมะนาว ป้านิดดาให้คำตอบ

 ดื่มน้ำมะนาว ไม่ใส่น้ำผึ้งเพราะเป็นกรดไม่ควรกิน
(มีข้อแย้งหลวงปู่บอกเป็นยา) ใส่แต่เกลือและน้ำ (มีข้อเพิ่มว่าห้ามใช้นำ้อุ่นเพราะทำลายวิตามินซี)
หลังดื่มร่างกายสดชื่นทันที มะนาวเป็นกรด เมื่อกินเข้าไปเป็นด่าง เพราะมันอยู่ในขบวนการที่กรด เอามาคู่กับน้ำย่อย มะนาวเข้าไป ทำให้น้ำย่อยไม่ต้องผลิตกรดเยอะ กรดมันก็เลยถูกใช้ในกระเพาะ
พอตัวที่เหลือเข้าไปในร่างกาย มันกลายเป็นด่าง
เขาถึงว่า เวลาไม่สบาย ให้กินน้ำมะนาว

*******************************
- ถ้าเป็นมะเร็งขึ้นมาแล้ว ต้องจัดการเรื่องอาหารอย่างไร?

อย่างเคสของสามีป้านิดเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ตอนนั้นปี 2547 ตรวจพบโดยบังเอิญ พอทราบข่าวว่าเป็นมะเร็ง จิตตกเลย...ป้านิดก็เลยทุ่มเทศึกษาเรื่องธรรมชาติบำบัดทุกสาขา แล้วก็ใช้วิธี "กินอาหารเปลี่ยนเลือด" เพราะว่าเลือดของเรามีอายุแค่ 4 เดือน ถ้าภายใน 4 เดือนเรากินอาหารดีๆ ในเดือนที่ 5 เลือดทั้งร่างกายเราจะเป็นเลือดดีหมด ขณะเดียวกันในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา เม็ดเลือดขาวมีอายุแค่ 3-4 วัน ถ้าเราตั้งใจกินอาหารดีๆ แค่ 3-4 วันโรคก็หายได้

ส่วนที่ไม่หายนั่นเป็นเพราะเราไปใช้ยากดภูมิคุ้มกัน อย่างเวลาที่เราปวดหัว นั่นเป็นกลไกบางอย่างของร่างกายที่บอกให้รู้ว่า เรามีความเจ็บปวดที่ไหนเพื่อที่เราจะได้แก้ได้ที่ต้นเหตุ แต่พอเรากินยา เป็นการกดภูมิต้านทาน แล้วพฤติกรรมเราก็เหมือนเดิม พอยาหมดฤทธิ์ก็ปวดเหมือนเดิม

- คำว่า "อาหารดีๆ" คืออะไร?

อาหารที่ดีคืออาหารพลังสด สามีป้านิดตื่นเช้ากินผักผลไม้ ชา-กาแฟ-นม หยุดหมด เที่ยงกินมังสวิรัติ รวมทั้งมื้อเย็นก็ต้องไม่มีเนื้อสัตว์ ทำอย่างนี้ประมาณ 2 ปี จากที่มีทั้งหมด 5 โรค ริดสีดวงทวาร มะเร็งต่อมลูกหมาก สะเก็ดเงิน โรคขุนช้าง-อันนี้เรียกเอง คือ อ้วน-หัวเหม่ง-ผิวหยาบ แล้วก็มีโรคท้าวแสนปม คือเกิดกระเนื้อที่ตัว ป้านิดเห็นหน้าแก บอกวิวไม่ดีเลย (หัวเราะ)

ปรากฏว่า แกกลายเป็นขุนแผน น้ำหนักหายไป 10 กิโล ผมงอกใหม่ และกระเนื้อหลุดออก ซึ่งตอนหลังมารู้ว่ากระเนื้อคือสิ่งที่ร่างกายขับพิษออกมา รวมทั้งพวกฝ้าด้วย ริดสีดวงทวารก็ดีขึ้นจนหายสนิท ผิวพรรณก็ดีขึ้น หน้าเป็นสีชมพู (หัวเราะ)

แล้วสิ่งอื่นใดคือ เรื่องจิต เริ่มตั้งแต่เดินออกกำลังกาย ตากแดด เพราะแดดช่วยสร้างวิตามินดี สร้างกระดูก แล้วฆ่าเชื้อโรคเยอะมาก 36 ชนิด แล้วก็ฝึกจิต มองทุกอย่างด้วยการุณยภาพ ใจก็เลยเบาขึ้นๆ
นิดดา หงษ์วิวัฒน์ 2 มิ.ย.56
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370148147

*******************************

ไม่กินข้าวเย็น-รางวัลโนเบล2559 เนื้อหาหาย

*******************************

1.โรคต่างๆเริ่มจากอาหารเกาะติดผนังลำไส้ ไม่ระบายออก หมักหมมเป็นพิษ 
2.กินผักสดให้ได้60-65%ในมื้อนั้นๆ เพื่อกินเอนไซม์ สร้างภูมิต้านทาน
3.หลังกินอาหารอย่างน้อย30นาที จึงดื่มน้ำ ไม่ควรกินข้าวคำน้ำคำ
4.ระหว่างวันควรดื่มน้ำให้มาก ตื่นเช้ามาเริ่มดื่มน้ำทันที
5.ควรกินอาหารที่ทำใหม่ๆ ไม่กินอาหารอุตสาหกรรม เพราะใส่สารเคมี ให้เก็บได้นาน รวมถึงเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรม ที่เร่งด้วยเคมี ใช้เวลาเลี้ยงน้อย
6.น้ำตาลจากผักผลไม้ ร่างกายยังต้องการ แต่ไม่ใช่นำ้ตาลอุตสาหกรรม ผลิตด้วยสารเคมี
7.พิจารณาอาหารที่จะกินทุกครั้ง “พอ“กินในปริมาณที่ร่างกายต้องการ
อย่ากินเกินตามอารมณ์
8.อย่ากินเกิน18:00 เพื่อให้เวลาร่างกายรักษาซ่อมแซมตัวเองบ้าง
9.ระหว่างมื้อหิว ให้กินน้ำ หรือน้ำผักผลไม้ ที่ไม่ต้องเคี้ยว เคี้ยวเมื่อไหร่ ระบบในร่างกายต้องทำงานอีกแล้ว ไม่ได้หยุดพัก กระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ไม่มีกำลังทหารที่แข็งแรง ออกมาสู้กับเชื้อโรค ทำให้เจ็บป่วยบ่อย เป็นทุกข์บ่อยๆ
10.เจ็บป่วยอย่ากลัว โรคจะลามเร็ว เป็นเยอะเป็นมาก เจ็บเยอะเจ็บมากเพราะ จิตจะตก จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ตามคำสอนหลวงปู่
“อย่าสำออย เป็นโรคนิดหน่อย“
อา.8ก.ค61

ข้อความข้างบน สรุปและเพิ่มจากเว็บ https://youtu.be/kEkqmObVsEI


:-)










ต้องแกงกะทิใหม่ ต้มทุกอย่างให้เสร็จ ใส่กะทิสุดท้ายปิดไฟเลย ไม่ต้องเคี่ยวให้แตกมัน
น้ำมันหีบเย็นเป็นน้ำมันสุขภาพ(=ไม่ผ่านความร้อน)
https://youtu.be/9_f3fahjIX4





กินปลาสัตว์น้ำ งดสัตว์เลี้ยงลูกด้วนม
 https://youtu.be/oi9CMuJtejE



********************************************************


อายุ100ปี ยังทำต้มผัดทอด ปลูกผัก กินเอง
https://youtu.be/wGqFFcAaTn8


เรา:ได้กินในสิ่งที่อยากกิน ความอยากลด จึงลดความเครียด ไม่มีโรคจากเครียด กำหนดชีวิตได้ด้วยตัวเอง เห็นว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าที่จะอยู่ ที่เราเห็นตัวอย่างการใช้ชีวิตทำกินเองนี้ ยายยิ้ม หมอเฉก หมอสันต์ หมอบุญชัย ป้านิดดาและสามี




กินผักผลไม้ เนื้อสัตว์กินน้อยมาก ออกกำลังกาย


https://youtu.be/dIHp8m1Nz5o

********************************************************


นน.หารด้วยส่วนสููงเป็นเมตร2ครั้ง

กินอาหารตามลำดับ


กินผักก่อนเพราะมีเส้นใยมาก





เลือกกินของต้มนึ่งแทนของทอด


เบาหวานเป็นตัวอย่างจากการกินไม่ดี จึงมีโรคเพราะอวัยวะเสื่อมจากการกิน

ถ้ามื้อไหนกินไม่ดี แก้ไขกินให้ดีในมื้อต่อไป

หมอคนนี้กินอาหารมื้อเดียวแบบหลวงปู่พิสูจน์แล้วว่าอ่อนวัย คืออายุจะยืน เพราะอวัยวะไม่เสื่อม

https://youtu.be/lSU3ymBxvAE

********************************************************


********************************************************
คนมีพุง จากโน้ต อุดม

ออกกำลังเท่าใดก็ลดน้ำหนักได้น้อยกว่า ควบคุมอาหาร

****************************************************

******************************************************

ประสบการณ์ทดลองของข้าพเจ้ากินใน1วันอย่างไร


6 พ.ย.58
หลังจากอ่านการปรับเปลี่ยนชีวิตตามหมอสันต์ใน http://visitdrsant.blogspot.com/2014/07/4.html คิดว่าทำได้ เพียงแต่ไม่เด็ดขาดและเปลี่ยนไปมาตามสาระที่ได้รับมาใหม่ๆ ก็เริ่มเป็นเสาที่โยกคลอนแทนที่จะเป็นเสาที่ตั้งมั่น เพียงแต่ทาสีให้สดใสก็พอ ดังนั้นนับจากวันนี้ไปจะเป็นจุดเริ่มดังนี้
    เช้าและกลางวัน กินข้าว2ทัพพี หลักคือผักสดครึ่งจาน ปลา
     บ่ายกินน้ำย่านาง 
    เย็นกินโยเกิร์ตผลไม้ตามอ.ไพรลั่น พันธุ์โลกอุดร หลักคือกล้วยใส่ลงไปก่อน ผลไม้ตามฤดูกาล มะขามเปียกถ้าไม่ระบายให้ใส่เนื้อมะขามด้วย3ช้อนโต๊ะ ขิงให้มากพอเผ็ดกับเปรี้ยวนำ กะทิไม่ให้มันเพราะตับจะทำงานหนัก ปั่นจนละเอียด
อ.ไพรลั่นให้กินครึ่งแก้วเพราะน้ำตาลจะเกินถ้ากินทั้งแก้ว โดยกินหลังอาหารเช้า แต่เรากินเป็นอาหารเย็น บางวันอาจกินเพียงกล้วยหรือมะละกอ





*****************************************************
อันตรายจากน้ำตาล ไกร มาศพิมล https://youtu.be/GjqRzgm3ceg

กินหวานๆ


ท่านมีอาการนี้บ้างไหม

หน้า19: ภูมิแพ้และแพ้ภูมิตัวเอง เช่น ผื่นคันผิวหนัง ลมพิษ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม ท้องผูก ท้องเสีย ข้ออักเสบ โรคพุ่มพวง ล้วนมาจากกิน กินหวานๆมากเกินไป ได้แก่ ขนม ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม นม 

เมื่อเรากินน้ำตาลจากผลไม้หวาน และลำไส้เล็ก







หมอเปี่ยมโชค

*****************************************************



“กาแฟที่เคยกิน เลิกหมด เพราะกาแฟมีคาเฟอีน มันจะบังคับตับทำงาน แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นอาหารสำรอง กลายเป็นน้ำตาล ซึ่งน้ำตาลเป็นต้นตอของมะเร็ง 
น้ำตาลทุกชนิดเป็นอาหารของมะเร็ง 
ฉะนั้น เมื่อเครียด ร่างกายผลิตน้ำตาล เป็นอาหารของมะเร็ง 
กินกาแฟ คาเฟอีนบีบตับให้เปลี่ยนไกลโคเจนเป็นน้ำตาล กินแป้งเยอะๆ ขนมต่างๆ แป้งเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ไปเป็นน้ำตาล ฉะนั้น ต้องแก้ให้ครบหมดถึงจะหยุด“

นิดดา หงษ์วิวัฒน์ 

*****************************************************
เพิ่มความหวานเข้าไป เกิดความร้อน เป็นพลังงานได้(=เรากินหวานมากเกิดผื่นคัน)
พระอาจารย์ชัยณรงค์. ธรรมนิยาม รักษากาย รักษาใจ 2/4

******************************************************
กินน้ำตาลและพริกเท่าไหร่จึงไม่ป่วยโดยหมอเขียว
https://m.facebook.com/groups/473948956121406?view=permalink&id=551965091653125
น้ำตาลไม่เกิน 5 ชช.ต่อวัน พริก 3-7 เม็ดต่อสัปดาห์

***************************************************
ใครเป็นคนน้ำหนักเกินต้องเอาลง ถ้าอ้วนจะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอย่างมาก

เรากินน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว ร้ายกาจที่สุดคือเครื่องดื่ม
ในตัวเรามีเลือด4ลิตร มีน้ำตาลแค่ 1 ชช.คือ2.5มิลลิกรัม
เราดื่มเครื่องดื่มมีน้ำตาล16ชช. =เราเติมน้ำตาลเข้าไปในตัว1,600เท่า
นี่คือพิษสง น้ำตาลจะซึมเข้ากระแสเลือดขึ้นเป็นหมื่น%
เครื่องดื่มชูกำลังจริงๆแล้วทำลายเรา
เครื่องดื่มดีที่สุดคือน้ำเปล่า สุขภาพดี แข็งแรง บำบัดโรค
ขนมไทยต้องกินไม่มาก ขนมต่างประเทศเค็ก คุกกี้ พาย ขนมปังไส้ต่างๆฯยิ่งมีพิษสงมากขึ้น ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายทรานส์แฟต
กินขนมมีแป้ง ย่อยเป็นน้ำตาล ก็คือกินน้ำตาล+น้ำตาล

ปัจจุบันกับข้าวคาว เราใส่ของหวานหมด แกงส้ม น้ำพริก ผัดผัก ต้มยำ
เพราะฉะนั้นบนโต๊ะอาหาร เราใส่น้ำตาลหมด
เรากินข้าวกะละมังหนึ่งอีก ตามด้วยขนม
นี่คือความเกินเลย ที่ทำให้เราป่วย อ้วนกันทั้งเมือง จากหวานตัวนี้

ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันเลืิดผิดปกติจากหวานตัวนี้
น้ำตาลส่วนเกินที่ทะลักเข้ามา

ผมห้ามแบบเด็ดขาด ถ้าเลิกน้ำตาลได้เดือนหนึ่ง
คนอ้วนน้ำหนักจะหายไป2-3กก. โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน

หมอบุญชัย:กินอาหารให้อร่อยและเป็นยาhttps://youtu.be/nyux7Jv0BG8
มีโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ผ่านไป4เดือนโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก.
http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000039388

   • ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ
     

สือหาหก


       1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ
 เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย
       
       2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค
       
       3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
       
       4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
       
       5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้
       
       นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา
       
       • ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ



       1. เน้นการกินพืชผักผลไม้
 ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
       
       2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความเคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น
       
       3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์
       
       นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง
       
       4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว
       
       5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย
       
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย กฤตสอร) 

http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9560000039388

********************************************************
เปลี่ยนวิธีกิน พิชิตโรคร้ายยอดฮิต ความดัน เบาหวาน มะเร็ง คอเรสเตอรอลในเลือดสูง โรคอ้วน ป้องกันไตวาย ฯลฯ ไม่ต้องรักษาด้วยยา
https://youtu.be/kOglwM81Z5c

อันตรายจากน้ำตาลเริ่มดูที่11.24 "ในเลือดมนุษย์เรามีนำ้ตาลแค่ครึ่งช้อนชาเอง เราชงกาแฟถ้วยหนึ่งสำหรับคนไม่ติดหวานก็ใช้นำ้ตาล 2 ช้อนแล้ว น้ำตาล 2 ช้อนชาเทียบกับในเลือดครึ่งช้อนชามันคือ 4 เท่าคือ 400 % น้ำอัดลม 1 ขวดมีน้ำตาล 8 ช้อนชา ในเลือดเรามีน้ำตาลครึ่งช้อนชา เราก็ใส่ไป 1600% คนจะกินเครื่องดื่มให้ดูข้างขวดว่ามีน้ำตาลกี่กรัม 5กรัม = 1 ช้อนชา ในเลือดเรามีน้ำตาลครึ่งช้อนชา = 2.5 กรัม มันเป็นกี่เท่า

ถ้าต้องการแข็งแรงไม่ควรกินน้ำตาลเลย เพราะว่าเรากินผักมันมีแป้งอยู่แล้วและมันก็ย่อยได้ กินผลไม้แม้จะไม่หวานก็มีทั้งแป้งและน้ำตาลอยู่แล้ว การได้อย่างนี้เป็นการได้เพื่อบำรุงร่างกาย เพราะมันได้เข้ามาทีละนิดๆ ร่างกายเราใช้ทัน มันจะไม่เกิดการสะสม

เมื่อน้ำตาลเข้าร่างกายเป็นหมื่น%จะเกิดอะไรขึ้น
ปกติภาวะร่างกายที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติมันจะมีเรื่องฉุกเฉิน คือการหนีภัย การต่อสู้ สิงโตมา ซึ่งร่างกายเราก็จะผลิตน้ำตาลเยอะๆออกมาเพื่อใช้พลังงาน สมองก็จะสั่งการ ต่อมหมวกไตก็จะสร้างฮอร์โมนแอดรีนารีนฮอร์โมนไฟไหม้ ฮอร์โมนยกตุ่ม อันนี้ไว้สู้กับเสือดีหนีสิงโตได้ แต่เรื่องพวกนี้เราทำให้มันเกิดตลอดเวลาจากการดื่มน้ำตาลเข้าไป แล้วทำภาวะเทียมให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นร่างกายเราก็ถูกทำลายทั้งระบบเลย....คือเราทำให้เกิดภาวะต่อสู้วันหนึ่ง 10-20 ยก เรารู้สึกดี สดชื่น มีแรง จะไปสู้กับสิงโตอันนั้นดี แต่ไม่ใช่นั่งอยู่ดีๆเราก็จัดการกับตัวเราเองบ่อยๆ เราถูกกระตุ้นบ่อยๆ เพราะฉะนั้นอวัยวะเราก็พัง พังก็เกิดโรค

ข้อแนะนำ หลังอายุ 30 ต้องกินกลุ่มแป้งลดลง เพราะแป้งผลผลิตก็เป็นน้ำตาล
30 ปี มื้อหนึ่งกินข้าว 2 ทัพพี 40 ปี มื้อหนึ่งกินข้าว 1 1/2 ทัพพี 50 ปี มื้อหนึ่งกินข้าว 1 ทัพพี
60 ปี มื้อหนึ่งกินข้าว 1/2 ทัพพี"

หมอบุญชัย
https://youtu.be/kOglwM81Z5c

****************************************************

 ตื่นเช้าก่อนออกจากบ้าน ทานผลไม้และผักหน่อย กินคู่กัน แต่คนชอบบอกว่าไม่มีเวลา แตงกวาก็ได้พกง่ายดี กินแตงกวาก่อนกินอย่างอื่น เดี๋ยวเราก็ชิน วันนี้ยังไม่ได้กินผักผลไม้เลย ให้มันอยู่ในจิตสำนึก ถ้าอยู่แล้วเราจะเริ่มมองหา และทำต่อจนเป็นนิสัย ไม่มีเลิก ตบะไม่แตก เพราะไม่ได้บอกให้หยุดกินสิ่งที่เคยชิน เพียงแต่เพิ่มผักผลไม้เท่านั้น คล้ายๆ เหมือนคุ้มครองเซลล์ก่อน หลังจากนั้นจะไปทานอะไรก็ ก็ค่อยๆ ปรับ ช่วงเช้าดีที่สุด
     นิดดา หงษ์วิวัฒน์

กินเนื้อสัตว์ สัตว์4ขาพวกนี้ร่างกายย่อยได้แค่ 65 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นพิษ ฉะนั้น กินเนื้อเยอะๆ มากๆ จะถ่ายอุจาระเหนียวและเหม็น นั่นคือของเสียที่เหลือจากการย่อยไม่ได้ 

สัตว์ปีกและไก่ ย่อยได้ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ปลา ย่อยได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ 

แต่ปัญหาปลา ไม่ได้อยู่ที่เนื้อ แต่อยู่ที่การปนเปื้อนสารพิษจากน้ำ คือจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นพิษ แต่มันเป็นพิษเพราะวิธีการของมนุษย์ ที่ในการเลี้ยง ใส่สารพิษเข้าไป ปลาก็เป็นพิษ 

อย่างไรก็ตาม กับเรื่องการกิน เราก็หันมาเน้นผักสดผลไม้สดมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นมังสวิรัติ 

นิดดา หงษ์วิวัฒน์
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000087566

***************************************************

ก่อนกินอาหารเช้าคุณทำอะไร

   ออกกำลังกาย งดเสียบหูฟังเพลง แต่ควรฝึกดูลมหายใจ บิลเกตส์เป็นตัวอย่าง


 ตื่นเช้าก่อนออกจากบ้าน ทานผลไม้และผักหน่อย กินคู่กัน แต่คนชอบบอกว่าไม่มีเวลา แตงกวาก็ได้พกง่ายดี กินแตงกวาก่อนกินอย่างอื่น เดี๋ยวเราก็ชิน วันนี้ยังไม่ได้กินผักผลไม้เลย ให้มันอยู่ในจิตสำนึก ถ้าอยู่แล้วเราจะเริ่มมองหา และทำต่อจนเป็นนิสัย ไม่มีเลิก ตบะไม่แตก เพราะไม่ได้บอกให้หยุดกินสิ่งที่เคยชิน เพียงแต่เพิ่มผักผลไม้เท่านั้น คล้ายๆ เหมือนคุ้มครองเซลล์ก่อน หลังจากนั้นจะไปทานอะไรก็ ก็ค่อยๆ ปรับ ช่วงเช้าดีที่สุด
     นิดดา หงษ์วิวัฒน์
****************************************************


กินน้ำเย็นหลังกินข้าว 

 *******************************************************
สมาคมหมอในอเมริกาได้ตอบปัญหาสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
1) อย่าดื่มชาร้อนจากถ้วยพลาสติก
2) เลี่ยงกินอาหารร้อนจากถุงพลาสติก (เช่นน้ำซุปร้อน, ก๋วยเตี๋ยว)
3) อย่าเอาอาหารใส่ถุงพลาสติกแล้วเอาไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ (ที่ใช้กันประจำคืออุ่นข้าวสวย,ข้าวเหนียวหรือซาลาเปาในถุงพลาสติกแล้วอบในไมโครเวฟ)
จำไว้ว่า เมื่อพลาสติกได้รับความร้อนมันจะทำปฏิกริยาทางเคมีและ
กระตุ้นสารก่อให้เกิดมะเร็งถึง 52 ประเภท

*************************************************




























 ****************************************************

วิธีล้างผัก

***************************************************

ยาเม็ดที่7 อาหารปรับสมดุล http://youtu.be/BYyj0DUvMSk


เผยแพร่เมื่อ 14 ก.ย. 2012
7.1 เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำหรับผู้ที่ไม่สามารถงดเนื้อสัตว์)

 7.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปไ้ด้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอด­ีของร่างกาย ณ ปัจจุบันนั้น ๆ ซึ่งตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สึุกสบาย เบากาย มีกำลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เ้่ท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำบากนัก 


7.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องบำรุงกำลัง ผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และอาหารที่มีผงชูรสมาก

(มีการวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมีผงชูรสมาก
ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตน้ำหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมิต้านทานลด และรหัสพันธุกรรมผิดปกติ)

อาหารที่มีไขมันสูง เ่ช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ อาหารทะเล และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด 

ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มบำรุงกำลังต่าง ๆ นำ้หมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอมขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม ของหมักดอง อาหารทะเ้ล (มีไขมันและโซเดียมสูง)  

7.4 หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี 
1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำดับ 
2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน 
3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย 
4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย 

***************************************************


*****************************************************

กินเส้นก๋วยเตี๋ยวเสี่ยงสารกันบูดและสีสังเคราะห์


กระจกสุขภาพ แก้วกะเดียว

...วันหนึ่งฉันไปกินก๋วยเตี๋ยวกับน้องฉันสั่งเส้นเล็กมากิน ฉันสงสัยว่าทำไมคนเลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวเป็นอันดับสองรองจากข้าว และฉันก็คิดอีกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวมันมีอันตรายรึป่าวคนถึงเลือกที่จะกิน ฉันเลยลองมาค้นหาดู...

อันตรายจากเส้นก๋วยเตี๋ยว อันตรายจากเส้นเล็กและเส้นหมี่ ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อโดยเฉพาะเส้นเล็กและเส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง

เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูด จำนวนมาก ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงมีการเติมสารกันบูด เพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก

ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิม ที่คิดว่าเส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกั

ปณิตา เสียงเพราะ เพจ กระจกสุขภาพ แก้วกะเดียว
รูปภาพบนไทม์ไลน์22 ตุลาคม 2013
*****************************************************

อาหารที่ควรกินตอนท้องว่าง

ผลไม้สด

เต็มไปด้วยวิตามินสารอาหารเส้นใยและน้ำ ผสมผสานผลไม้เข้ากับอาหารของคุณวิธีที่เหมาะสมช่วยให้ระบบทางเดินอาหารของคุณสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการรับประทานวิตามินและการย่อยอาหารที่ดีขึ้น การเริ่มต้นวันใหม่ของคุณด้วยผลไม้ช่วยล้างพิษ(ดีท็อกซ)์ระบบ และให้พลังงานแก่ร่างกาย สามารถช่วยในการลดน้ำหนักและให้พลังงานที่จำเป็นและให้ความสำคัญกับกิจกรรมในชีวิตอื่น ๆ
น้ำตาลที่ไม่ผ่านกระบวนการที่มีอยู่ในผลไม้ต้องใช้เวลาในการดูดซึมโดยร่างกายของเรา เมื่อกินผลไม้อย่างเดียวและเมื่อท้องว่าง ทั้งหมดของสารอาหารเส้นใยและน้ำตาลที่ไม่ผ่านกระบวนการที่มีอยู่ในผลไม้สามารถประมวลผลได้ง่ายขึ้น

ไข่ควรกินตอนท้องว่าง

่ให้ประโยชน์มากมายต่อร่างกายเมื่อบริโภค ขณะท้องว่าง ไข่ทำให้รู้สึกอิ่มนาน เมื่อ่กินไข่ตอนเช้าปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่บริโภคในวันหนึ่งลดลงและไข่ยังช่วยในการลดไขมัน

https://brightside.me/inspiration-health/20-foods-to-eat-and-avoid-on-an-empty-stomach-253710/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts

http://www.lifehack.org/488728/10-foods-to-eat-and-avoid-on-an-empty-stomach-for-better-digestive-health

https://brightside.me/inspiration-health/20-foods-to-eat-and-avoid-on-an-empty-stomach-253710/?utm_source=fb_brightside&utm_medium=fb_organic&utm_campaign=fb_gr_5mincrafts

******************************************************

" ผลไม้ควรกินในตอนท้องว่างหรือก่อนมื้ออาหาร

ดร. สตีเฟ่น หมาก ทำการรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายโดยวิธีการ “Un-Orthodox”และผู้ป่วยจำนวนมากฟื้นตัว

มันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการรักษาโรคมะเร็ง มันอยู่ในวิธีที่เรากินผลไม้

ผลไม้ควรกินในตอนท้องว่าง  หรือก่อนมื้ออาหารของคุณ! มันจะมีบทบาทสำคัญ  ในการล้างพิษในระบบของคุณให้การจัดการที่ดีของพลังงาน เพื่อลดน้ำหนัก

สมมติว่า .. คุณกินสองชิ้นของขนมปัง แล้วชิ้นหนึ่งของผลไม้

ชิ้นของผลไม้ พร้อมที่จะผ่านตรงไปสู่กระเพาะลงไปในลำไส้ แต่มันถูกขัดขวางจากการทำเช่นนั้น เนื่องจากขนมปังถูกกินก่อนผลไม้

ในระหว่างนั้น อาหารทั้งมื้อของขนมปังและผลไม้นั้น  จะเน่าเปื่อย และบูด และเปลี่ยนเป็นกรด

ในนาทีที่ผลไม้เข้ามาสัมผัสกับอาหาร ในกระเพาะอาหาร และน้ำย่อย, มวลอาหารทั้งหมดเริ่มที่จะเปื่อยเน่า

คุณเคยได้ยินคนบ่น :  ทุกครั้งที่ ฉันกินแตงโม-ฉันเรอ เมื่อฉันกินทุเรียน-ท้องของฉันพองขึ้น เมื่อฉันกินกล้วย-ฉันรู้สึกเหมือนวิ่งเข้าห้องน้ำ ฯลฯ 

จริง ..  ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น รวมทั้งผมสีเทา, หัวล้าน, การระเบิดทางประสาท และรอยคล้ำใต้ดวงตา ถ้าคุณกินผลไม้ตอนท้องว่าง

ผลไม้ผสมกับการเน่าเปื่อยของอาหารอื่น ๆ และผลิตก๊าซ และด้วยเหตุนี้ ตัวคุณจะขยาย!

ไม่มีสิ่งเช่นนั้นหรอก ที่ผลไม้บางอย่าง เช่นส้มและมะนาวเป็นกรด เพราะผลไม้ทั้งหมด  กลายเป็นด่างในร่างกายของเรา 

เมื่อคุณต้องการดื่มน้ำผลไม้ - ดื่มเพียงแค่   * น้ำผลไม้สดเท่านั้น *  ไม่ใช่จากกระป๋อง แพ็ค หรือฃวด

อย่าแม้แต่ ..  จะดื่มน้ำผลไม้ที่ผ่านการทำให้ร้อนขึ้น

อย่ากินผลไม้ปรุงสุก  เพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารทั้งหมด คุณจะได้รับรสชาติของมัน การปรุงสุก ทำลายวิตามินทั้งหมด

แต่กินผลไม้ทั้งผล  จะดีกว่า  การดื่มน้ำผลไม้

หากคุณควรดื่มน้ำผลไม้สด ดื่มมันคำหนึ่ง  โดยคำหนึ่งช้าๆ เพราะคุณต้องปล่อยให้มัน ผสมกับน้ำลายของคุณ ก่อนที่จะกลืนกินมันลงไป

คุณสามารถดำเนินต่อไป  ในการกินมังสวิรัติผลไม้ 3 วัน เพื่อทำความสะอาด หรือล้างพิษในร่างกายของคุณ เพียงแต่  กินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้สด ตลอดทั้ง 3 วัน
แล้วคุณจะต้องแปลกใจ  เมื่อเพื่อนของคุณ บอกคุณว่า คุณดูเปล่งประกายอย่างไร!


สตรอเบอร์รี่มีความสามารถ  ในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดในบรรดาผลไม้ที่สำคัญ และป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็ง หลอดเลือดอุดตัน และอนุมูลอิสระ

ส้ม กินส้ม 2-4 ผลต่อวัน  อาจช่วยขจัดโรคหวัดออกไป, ลดคอเลสเตอรอล, ป้องกันและละลายนิ่วในไต,  และลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

แตงโม :  ดับกระหายที่ยอดที่สุด ประกอบด้วยน้ำ 92% มันถูกบรรจุด้วยปริมาณ "  กลูตาไธออน "  จำนวนมากมาย  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเราเป็นแหล่งสำคัญของ  " ไลโคปีน "  อนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับโรคมะเร็ง สารอาหารอื่นๆ ที่พบในแตงโม คือ วิตามินซี และโพแทสเซียม

 ฝรั่ง-ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์  ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก

มะละกอ-อุดมไปด้วยแคโรทีนๆนี้  เป็นสิ่งที่ดี  สำหรับดวงตาของคุณ



อาหารที่ไม่ควรกินตอนท้องว่างhttps://brightside.me

       2. ชาแก่
       
        ความเชื่อผิดๆ ว่าการจิบชาตอนเช้าจะทำให้สดชื่อ ผ่อนคลาย ซึ่งความจริงการจิบชาตอนเช้าโดยเฉพาะชาแก่ตอนท้องว่าง จะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้เกิดอาการใจสั่น เวียนหัว มือเท้าไม่มีแรง
      
ชาและกาแฟ

การดื่มกาแฟในขณะท้องว่างเพิ่มความเป็นกรดซึ่งจะทำให้เกิดอาการเสียดท้องและไม่ย่อยตลอดทั้งวัน การดื่มชาในกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าสามารถช่วยยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและลดน้ำดีและกรดในกระเพาะอาหารซึ่งช่วยในการย่อยอาหารโดยรวมและเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการผลิตคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย 
       3. ผัก
       
        เมนูที่ทำจากผักเป็นเมนูยอดฮิตของคนลดความอ้วน แต่รู้หรือไม่ว่าการทานผักแทนข้าวนอกจากจะให้เราได้รับสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่แล้วการทานผักตอนท้องว่างทำให้ท้องอืดอีกด้วย
       
       4. ลูกพลับ
       
        ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ลูกพลับ เป็นอาหารต้องห้ามที่ห้ามกินตอนท้องว่างเพราะว่าลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร 
       
       5. นมและถั่วเหลือง
       
        หลายๆ คนคงเลือกนมหรือน้ำเต้าหู้ ที่มาจากถั่วเหลือง เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ในเวลาท้องว่างเพราะนมและถั่วเหลืองอุดมไปด้วยโปรตีน แต่แท้จริงแล้วทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายเราได้มากที่สุดก็ต่อเมื่อกระเพาะเราอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้ 
       
       6. อาหารหวาน
       
        การเลือกรับประทานอาหารหวานหรือน้ำหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต ตอนท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้ 
       
       7. เหล้า
       
        เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกินตอนท้องว่างเพราะมีส่วนเพิ่มแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ 
       
        นอกจากนี้ความรู้อีกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับสิ่งที่ไม่ควรทำตอนท้องว่างก็คือไม่ควรอาบน้ำหรือออกกำลังเพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมาก 
กินอะไรและไม่กินอะไรตอนท้องว่าง คือไม่ควรกินจุบกินจิบนั่นเอง





กล้วย

 คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะ ๆ จะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น
ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
       ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่สมดุลของแมกนีเซียมและโพแทสเซียมในเลือด
ซึ่งเป็นเป็นอันตรายต่อหัวใจ เพราะยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ

ประสบการณ์ของข้าพเจ้า เช้าวันหนึ่งกินกล้วยตอนท้องว่างสัก7โมง ยังไม่กินข้าว หลังกินเกิดอาการไม่สบายตัวในระหว่างฟังเทศน์หลวงปู่ อยากให้ท่านเทศน์จบไวๆ 
ครั้งที่2คือกินกล้วยบ่ายกว่าท้องว่าง รู้สึกหายใจไม่สะดวก นึกคำสอนหลวงปู่ ตายก็ตาไปซะ สักพีกใหญ่จึงกลับเป็นปกติ 

มะเขือเทศ

มีระดับสูงของกรดแทนนิคซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารและสามารถนำไปสู่แผลในกระเพาะอาหาร ควรกินมะเขือเทศสำหรับสลัดอาหารเย็น

โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์นมที่เกิดจากการหมัก

กรดไฮโดรคลอลิกที่มีในกระเพาะ จะฆ่าแบคทีเรียกรดแลคติกที่พบในโยเกิร์ต จึงเกิดประโยชน์น้อยเมื่อทานเป็นอาหารเช้าในตอนเช้า

น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการแล้ว

เราทุกคนทราบว่าน้ำตาลมากเกินไปไม่ดีสำหรับคุณ แต่คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลที่เติมเข้าไปในอาหารแปรรูปส่วนใหญ่เช่นน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสและสารให้ความหวานอื่น ๆ มีผลเช่นเดียวกันกับตับในการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป? น้ำตาลที่พบตามธรรมชาติในผลไม้จะขัดขวางโดยเส้นใยของมัน แต่เป็นจำนวนมากของฟรุกโตสโดยเฉพาะในขณะท้องว่างทำให้ตับเสียหายมากเกินไปและอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตับ ข้ามอาหารเช้าโดนัท



******************************************************************************















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น