วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

สัญญาณเน็ตติดๆดับๆ



1. เพิ่มความแรงด้วยการ Reboot สัญญาณใหม่

ถ้าหากว่าสมาร์ทโฟนของคุณเกิดไม่มีสัญญาณ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นก็ไม่มีอะไรมากีดขวางสัญญาณแม้แต่น้อย ให้คุณลองรีบูทสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ด้วยการเปลี่ยนโหมดเป็น Airplane Mode ประมาณ 3 วินาที และกลับมาใช้โหมดปกติ หรือวิธีที่ง่ายกว่านั้นแต่อาจจะเสียเวลากว่านิดหน่อยก็คือ การรีสตาร์ทโทรศัพท์

2. แบตเตอรี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สัญญาณแย่
 

ตรวจสอบระดับพลังงานแบตเตอรี่ในสมาร์ทโฟนของคุณด้วย เพราะว่าหากแบตเตอรี่ใกล้หมดจะส่งผลถึงการเชื่อมต่อสัญญาณที่ไม่เสถียร และทำให้การคุยโทรศัพท์ของคุณติดๆ ดับๆ ได้ ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ ชาร์จแบตเตอรี่ให้มีพลังงานมากขึ้นก่อนที่จะใช้งานต่อไป

3. การเปิดหน้าต่างช่วยคุณได้อย่างคาดไม่ถึง
 
การใช้โทรศัพท์ในยานพาหนะเช่น รถยนต์ ก็อาจประสบปัญหานี้ได้เช่นกัน เพราะรถยนต์ก็เปรียบเสมือนกล่องเหล็กใบใหญ่ๆ ที่อาจปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นหากต้องใช้โทรศัพท์จริงๆ ลองลดกระจกลงสักนิด สัญญาณจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่เพียงแต่ในยานพาหนะเท่านั้น ถ้าอยู่ในอาคารบางแห่ง โทรศัพท์อาจจะไม่มีสัญญาณก็เป็นได้ เพราะเหตุว่าโครงสร้างของอาคารนั้นๆ อาจมีวัสดุที่ปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์ เช่น อะลูมิเนียม หรือโลหะต่างๆ ดังนั้นทางแก้ที่ง่ายที่สุดก็คือการเปิดหน้าต่างให้มีช่องทางที่สัญญาณโทรศัพท์สามารถผ่านเข้ามาได้


นำเสนอทิป&ทริคโดย : Thaimobilecenter.com
วันที่ : 7/9/58

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

โค้ชนาตาลี หายจากมะเร็ง9ปี





ผักชีเป็นตัวกำจัดสารพิษได้อย่างดี

ชีวิตเดี๋ยวนี้1.สารพิษ2.สารอาหาร

ใช้ชีวิตยังไงไม่ให้ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ ประสบการณ์ผู้ผ่านการเป็นมะเร็ง



คุณฝน


ผักใบเขียวต้องกินหมุนเวียน กินน้ำแอปเปิลเขียว 
กินน้ำขิงผสมแอปเปิลเขียว มันม่วง กินปลานึ่งไม่ทอด 
ไม่กินตามหมอคือให้กินทุกอย่าง
จะบอกตัวเองว่าเคยกินมามากแล้ว 

https://youtu.be/DAWLlFhtHGY






คุณปรา
เดิมอยู่หาดใหญ่ เป็นมะเร็งเต้านม4-5ปีมาแล้ว ต่อมา4ปีมีก้อนเนื้อหลายจุด มีน้ำหนองน้ำเลือดไหลออกจากหัวนม ข้างหัวนมจะบุ๋มเข้าไป ระยะนี้เป็นระยะสุดท้าย เป็นระยะที่ลิ้นเป็นฝ้า กล้ามเนื้อลีบ กินข้าวไม่ได้
ตอนนั้นไม่คิดจะไปหาหมอ หมอที่รักษาเราอยู่ ก็เสียชีวิต ไปก่อนหน้า ด้วยมะเร็งลำไส้ แล้วเรายังจะคิดไปหาหมออีก

แต่ก่อนชอบทานเนื้อสัตว์มาก อะไรๆก็เป็นหมูไก่
หลังจากเจอมา คือไม่ทานเลย คือเราตัดออกไปเลยเนื้อสัตว์
คือไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันเลย เพราะว่าเคยรู้มาว่ามะเร็งชอบเนื้อสัตว์
น้ำตาลก็ตัดออกค่ะ ตัดน้ำมัน ปลากินนิดๆหน่อยๆ นอกนั้นเป็นผัก

เมื่อก่อนนะใครพูดอะไรมา ก็ฮึม ไม่ยอม ไม่ยอม

เกือบจะไปเมืองจีน เสิชในกูเกิล มีที่รักษา ที่จีนแตมี่ออฟฟิศที่เมืองไทย
แล้วก็โทร.ไปติดต่อเค้า เค้าบอกว่าค่าใช้จ่ายอยู่ที่2-3แสน ไปรักษาฝังแร่
ปรึกษาคนโน้นคนนี้ว่าถ้าไปฝังแร่ จะแผ่รังสีให้กับคนข้างๆได้
ตัดสินใจมาดูยูทูปใหม่

มาเจอสูตรน้ำผักคั้นกาก ก็เลยเอาสูตรนี้มากิน ระเบียบวินัยต้อง95%
มันไม่ได้ยากอะไรมากมาย ไม่ได้วุ่นวายอะไรเลย
เพราะว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมาให้แล้ว แต่ที่เราเป็นมะเร็งก็คือ
เราสวนกระแสธรรมชาติ ที่เค้าให้มาค่ะ

ตอนเช้าตื่นนอนมา สูดอากาศดีๆ ก็ไม่ได้ทำ
เพราะจะต้องทำกับข้าวให้ลูกไปรร. จะต้องทำงานบ้าน
แต่ถ้าทำตามธรรมชาติให้มา คนไม่เป็นโรคค่ะ

แน่นอนเช้าขึ้นมาก็ต้องกินน้ำขิงผสมแอปเปิลประมาณ1แก้ว(คั้นแยกกาก
ไม่ใส่น้ำตาล มะเร็งชอบน้ำตาล ) ที่เป็นมะเร็งเพราะชอบกินของหวาน


หลังจากนั้นออกกำลังกาย

แล้วก็ทำวัตรเช้าครึ่งชม. ทำวัตรเย็นครึ่งชม. 1ชม.ใน1วัน
แล้วก็สบาย เราไม่คิดฟุ้งซ่าน มะเร็งชอบความเครียด แต่ก่อนชอบเครียดค่ะ
เมื่อก่อนถ้าโทรหาสามี ถ้าเค้าไม่รับ จะคิดฟุ้งซ่านมาก
ถ้าไม่รับอีกที ขับรถเลย จากหาดใหญ่ไปภูเก็ต
มาตอนนี้ไม่โทรเลย ไม่หาความทุกข์ ไม่หาอะไรมาเข้าตัว จะอยู่แบบสบายๆ
ทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คิดบวกไม่ว่ากับใคร แล้วก็ยิ้ม
เดินเหมือนขอโทษนะคะคนบ้านิดๆ ยิ้ม เห็นใครก็ยิ้ม
จัได้ไม่คิดฟุ้งซ่านตรงนั้น

แล้วก็ฟังเพลงค่ะสัก30นาที ระหว่างนี้ทำอะไรไป ปั่นน้ำผักไป

ดีทอกซ์สวนก้นด้วยน้ำผัก น้ำกาแฟ
คุณเป็นโรคNCD(โรคจากพฤติกรรม ไม่ใช่จากเชื้อโรค เช่นทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็งต่างๆ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง ไตเรื้อรัง อ้วนลงพุง ตับแข็ง สมองเสื่อม) อะไร คุณต้องดีทอกสวนก้น เพราะคุณกินอะไรสาระพัดอย่าง คุณสูดอากาศเป็นพิษ คุณจะต้องเอาสารแย่นี้ออกไป โรคต่างๆก็จะหาย ไม่ยากเลย

อบตัวเอาพิษออกทางผิวหนัง

กลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น

ดื่มน้ำผักปั่นแยกกาก ต้องหาผักออร์แกนิกที่หลากหลาย เวลาเรากินผักตอนกินข้าว ผักไม่เหมือนกับที่เราคั้น จะได้สลับกัน
เราจะได้ไม่กินผักอย่างเดียว ดื่มน้ำผักปั่นแยกกากเป็นการดีทอกอย่างหนึ่ง
เอาสารพิษออกจากร่างกายได้ด้วย นำ้หนักที่ลดลงคือสารพิษ

ทานข้าวปกติ แม่จะแกงเผ็ดฟักทองเปล่าๆ กินกับข้าวร้อนๆอร่อยมาก
ในพริกแกงมีหอม กระเทียม ตะไคร้ ขมิ้น ตำเอง ซื้อเค้าใส่สารกันบูด
กินอาหารไม่ซ้ำ เช้าเรากินแบบนี้ เที่ยงเราต้องกินอีกแบบหนึ่ง
อาหารเย็นไม่กิน ถ้าหิวกินสมู๊ทตี้ผักสักแก้ว ถ้าไม่หิวไม่ต้องกิน
เพราะว่าอาหารยังเหลืออยู่จากมื้อเช้ากับมื้อเที่ยง ให้ระบบการย่อยยังได้อยู่
เป็นการทำฟาสติ้งคือลดมื้ออาหาร( เพื่อเพิ่มเวลาท้องว่างให้นานมากขึ้น ส่งผลให้อินซูลินหยุดทำงานชั่วขณะ เพิ่มฮอร์โมนบางตัวเช่นโกรทฮอร์โมน
ที่ช่วยเผาผลาญไขมันให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลต่อการลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน
ทุกครั้งที่มีอะไรตกถึงท้อง อินซูลินจะทำงาน และฮอร์โมนบางชนิดจะหยุดทำงานเช่นฮอร์โมนช่วยชลอวัย ก็ทำงานได้ดีขึ้น
คุมระดับอินซูลิน ลอความเสี่ยงเบาหวาน
การทำฟาสติ้งลดมื้ออาหาร เป็นการทำให้ร่างกายทำงานอย่างที่มันควรจะเป็น

ไม่ต้องถามว่ากินอันนั้นได้ไหม กินอันนี้ได้ไหม
คือที่กินมาตลอด อันนั้นเป็นโรคค่ะ

แล้วเราก็ต้องกลับชีวิตใหม่ พลิกชีวิตใหม่เลย
จากที่เรากินเนื้อเยอะ เราไปกินข้าวนอกบ้านตอนเย็นน่ะ
ถ้าเราเป็นโรคจากเนี่ยะ เราก็หยุดทุกอย่างที่เคยทำมา

แล้วเราเริ่มต้นcleaning  จะเข้าไปresetร่างกายใหม่หมด
เริ่มต้นด้วยน้ำผักออร์แกนิก มันไม่ใช่ยาปฏิชีวนะที่จะเข้าไปทำอันตรายตับไต
มันแค่ผักล้วนๆ ลองดูซิ
ก็ทำเลยกินแก้วแรก ดิฉันได้ถามตัวเองว่า มันจะหายเหรอ
ใบไม้เล็กๆ มันจะมารักษาตัวเราเองได้เหรอ ยังงงๆ
แต่ก็กินนั่นแหละ ซื้อมาแล้วจะเอาไปไหน
กินแก้ว2,3,4,5หิวข้าว จากที่กินข้าวไม่ได้ การันตีได้เลย

ตัวคุณเองคือยาวิเศษ ถ้าคุณตัดสินใจอยากหาย ทานเลย
ยาวิเศษด้วยตัวเอง
https://youtu.be/ouhRtSXSUOI
เรา:ได้เรียบเรียงข้อความจากคลิปใหม่และค้นข้อความมาเพิ่ม เพื่อตอบโจทย์ที่เราสงสัย

เมือเป็นมะเร็ง คุณต้องเอาสารพิษออก 

คุณเป็นมะเร็งเพราะขาดสารอาหาร และสารพิษมากเกินไป
เมือเป็นมะเร็ง คุณต้องเอาสารพิษออก ไม่งั้นคุณไม่มีทางหาย
เพราะร่างกายดูดซึมอาหารไม่ได้ ต่อให้คุณกินอาหารดีขนาดไหน ไวตามินของคุณไม่เพิ่ม อยู่เมืองไทยแสงแดดเยอะ แต่ไวตามินดีต่ำ ทำไม
เพราะร่างกายดูดซึมไวตามินดีเข้าไปใช้ไม่ได้ เพราะร่างกายเสื่อม
สังเกตว่าร่างกายสดชื่นมีชีวิตชีวาไหม
คุณจะต้องไปทำดีท็อกซ์ที่ตับ
มะเร็งเริ่มต้นที่ลำไส้แล้วไปตับ ควรทำดีท็อกซ์ที่ลำไส้ ง่ายๆเลยคือ
น้ำผักคั้น เพราะเต็มไปด้วยเอ็นไซม์ คุณหาไม่ได้ในผักสุก
การสวนก้นด้วยกาแฟ หรือสวนด้วยอีกหลายวิธี
ถ้าคุณเหนื่อยง่าย ตื่นขึ้นมาแล้วเพลีย ร่างกายคุณดูดซึมสารอาหารไม่ได้...
ถ้าคุณเป็นมะเร็งไปรักษาที่เกอร์สันคลีนิก อย่างแรกที่เค้าให้คุณทำคือดีท็อกซ์

สารพิษในปัจจุบันเยอะมาก เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่จะต้องทำคือกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย...

อาหารคุณควบคุมได้ สิ่งแวดล้อม อากาศคุณควบคุมไม่ได้...
คุณต้องเอาสารพิษออก กลูต้าไทโอนเป็นฮอร์โมนในร่างกาย...
มันไปดึงของเสียออกจากร่างกาย  กลูต้าไทโอนสร้างโดยตับ
คุณจึงต้องให้ตับทำงานให้ดี...

อีกอย่างคือความโกรธ
ต่อให้คุณดีท็อกซ์ขนาดไหน ถ้าคุณไม่หยุดเอาความโกรธความเครียดเข้าสู่ร่างกาย
คุณเอาสารพิษตัวนี้ออกไม่ได้ค่ะ
https://youtu.be/lsVoEZLte-A

กิน3ชนิดนี้มากเกิดมะเร็ง1.น้ำตาล 2.เนื้อแดง 3.อาหารอุตสาหกรรม 
1.น้ำตาล ข้อมูลปัจจุบันพูดตรงกันหมดว่า เป็นสารอาหารตัวเดียว ที่มะเร็งต้องการมากที่สุด ถ้าไม่มีน้ำตาล มะเร็งอยู่ไม่ได้ แต่ก่อนคิดว่าน้ำผึ้งมาจากธรรมชาติ จึงกินน้ำผึ้งทุกวัน น้ำผึ้งดี แต่ไม่ใช่กินมาก

ทำไมมะเร็งชอบน้ำตาล เพราะน้ำตาลทำให้เกิดการอักเสบข้างในร่างกาย
มะเร็งมีแหล่งพลังงาน จากเซลล์ที่ผิดปกติเซลที่เกิดการอักเสบ เซลจะโตขึ้น
นั่นเป็นการบอกว่า ทำไมน้ำตาลเป็นอาหารที่ดีที่สุดของมะเร็ง

น้ำตาลยังทำให้เสี่ยงต่อเบาหวาน คนเป็นเบาหวาน จึงมีความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งสูงมาก ถ้าป้องกันโรคจะต้องลดน้ำตาลและแป้งขาว
ซึ่งแป้งขาวจะกลายเป็นน้ำตาลเมื่อย่อยแล้ว

ถ้ากินน้ำตาลเยอะแล้วจะทำยังไง ให้เพิ่มกากใยคือผัก ผักจะไปกำจัดน้ำตาล
คนที่ลดความอ้วน เขาจึงให้กินผักเยอะๆ ผักช่วยลดน้ำตาลในร่างกายลง
ดังนั้นทุกอย่างในร่างกายจะเริ่มดีขึ้น

น้ำตาลอยู่ในอะไรบ้าง กินกาแฟ ชารวมถึงชาขวดในร้านสะดวกซื้อ เบเกอรี่ ขนมต่างๆ ปัจจุบันคนติดน้ำตาลมากกว่าบุหรี่
น้ำตาลไม่แตกต่างขากยาเสพติด เราจะไม่พูดถึงการตัดน้ำตาล
เพราะน้ำตาลให้พลังงาน แต่อย่ากินน้ำตาลมากเกินไป
โดยเฉพาะน้ำตาลก้อนที่ใส่กาแฟ งดเลย

หลังจากเราผ่านการกินผักผลไม้ ต่อไปให้ลดผลไม้เพิ่มผัก
เมื่อหวลกลับไปกินอาหารใส่น้ำตาลสังเคราะห์จากอ้อย พบว่ากินแล้วหวานจนแสบคอ
น้ำตาลจากผักผลไม้ ไม่เหมือนน้ำตาลสังเคราะห์จากอ้อย

แล้วเราจะเพิ่มผักได้อย่างไร ถ้าเราไม่ชอบกินผัก
ผักสดดีที่สุด ใช้การปั่น ถ้าป่วยมาก ให้กินน้ำผักแยกกาก ไม่ใช่น้ำผักปั่น เพราะน้ำผักมีเอนไซม์ แต่การปั่นดีที่ได้กากใย ต้องดูว่าอะไรเหมาะกับตัวเรา
ทำแล้วไม่ยุ่งยาก โค้ช(ผู้พูด)เหมาะกับการปั่นเพราะต้องทำงาน

มะนาวเหลืองทำให้ผักหวานขึ้น ให้ใส่ในน้ำผักปั่น

ผักสดดีที่สุด อย่ากินผักสดชนิดเดิมทุกวัน ขะต้องเปลี่ยนผักสดที่กินทุกวัน
https://youtu.be/Yw3dlwo44o8

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ขมิ้นชัน/ท้องอืด


แผลกระเพาะอาหาร กรดเกิน หรือไฟธาตุดับ ไส้ติ่งอักเสบ ล้วนปวดท้องอาการใกล้เคียงกัน:หมอบวร จันทร์โภคาไพบูลย์ (จากยุพร27/8/63)

• ผู้ป่วยแผลกระเพาะอาหารคนแรกที่ผมรักษา คือลูกสาวผมเองครับ เขาเรียนหนักมาก โทรมาปรึกษาบอกว่าปวดท้องมากทำอย่างไรดี?

• ผมมีประสบการณ์เรื่องปวดท้องที่อันตรายและไม่อันตราย ผมจะเล่าด้วยสอนด้วยครับ
- อาการปวดท้องต่างๆ ผมจะสอนให้ (ท่านจะได้วินิจฉัยและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเป็น เรื่องง่ายๆแต่ไม่มีสอนหรอกครับ เขาเอาไว้ขายยา)
๑. ปวดท้องก่อนกินอาหาร แต่หลังกินอาหารหายปวดท้อง อย่างนี้เรียก “กรดเกิน ให้กินยาธาตุน้ำขาวรักษา”
๒. ก่อนกินอาหารไม่ปวด แต่หลังกินอาหารปวดท้อง อย่างนี้เพราะ “อาหารไม่ย่อยเพราะไฟธาตุดับ ต้องกินยาธาตุน้ำแดงรักษา”
๓. ปวดท้องก่อนกินอาหารและปวดท้องหลังกินอาหารด้วย อย่างนี้ท่านป่วยเป็น “แผลกระเพาะอาหาร”
- กรณีนี้เหมือนกรณีของลูกสาวผม เรียกว่า “ปวดท้องเพราะแผลกระเพาะอาหาร”
- สมัยผมเรียนที่ มช. นศ. ถ้าปวดท้องแบบนี้ไป รพ. สวนดอก หมอเขาจะจ่ายยาเคลือบกระเพาะทุกคน (รวมถึงลูกสาวผมด้วย)
- ยาเคลือบกระเพาะอาหารไม่ได้รักษาอะไรเพียงบรรเทาอาการปวด ถ้าเช่นนั้นผมแนะนำให้ท่านดื่มนมจะดีกว่ายาเคลือบกระเพาะอาหารครับ
- สมุนไพรสาธารณะสุขมูลฐานให้กิน “กล้วยดิบ ตากแห้งบดผงชงน้ำรักษาแผลกระเพาะอาหารครับ”
- คนปักษ์ใต้ส่วนใหญ่เป็นแผลกระเพาะอาหารเพราะกินอาหารรสจัด หรือเพราะคนมุสลิมถือศีลอด คนปักษ์ใต้เขาดูแลป้องกันป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบด้วยการ “กินขมิ้นใส่ในการปรุงอาหารครับ” (กินอาหารเป็นยา)
- คนปักษ์ใต้ไม่ได้กินขมิ้นเป็นผงเดี่ยวๆเหมือนคนกรุงเทพ คนปักษ์ใต้เขากินขมิ้นใส่ในอาหาร เช่น ปลาทอดขมิ้น แกงเหลือง(ใส่ขมิ้น) ข้าวหมกไก่ (ใส่ขมิ้น)ฯ
• หมายเหตุ เกล็ดความรู้ที่ท่านต้องระวังครับ
- เปลือกขมิ้นถ้าโดนความร้อนสูงจะเป็นพิษ (กินแล้วอาเจียน)
- ยาขมิ้นใส่แคปซูลไม่ได้ปอกเปลือก ถ้าท่านโชคร้ายเจอตรงเปลือกมาก บางครั้งกินแล้วจะอาเจียน (ทีนี้ท่านทราบสาเหตุแล้วนะอาเจียนเพราะอะไร แก้ไขด้วยดื่มน้ำต้มขิงครับ)

• ลูกสาวผม ผมใช้ยาตำรับเขาอ้อ(ผมได้สูตรมาจากอดีตท่านเจ้าอาวาสตาหลวงกลั่น)
- ใช้รักษากรดไหลย้อนกินยา 30 วัน
- หรือแผลกระเพาะอาหารกินยา 90 วัน (ลูกสาวหายมาจนปัจจุบันนี้)
- หรือลำไส้แปรปรวนกินยาขนานนี้ 6 เดือน (ผมกล้าพูดว่าเป็นยาขนานเดียวที่รักษาลำไส้แปรปรวนหายครับ)
๔. “ไส้ติ่งอักเสบ” ปวดตัวงอปวด ปวดทั้งวัน (ถ้าปวดเกินสองวันต้องรีบไป รพ. ด่วนครับ)
- วิทย์นศ. วิศวะเพื่อนข้างห้องที่หอพัก มช. ปวดท้อง หมอสวนดอกให้ยาเคลือบกระเพาะมากิน
- ปวดเกินสองวัน roommate เขามาปรึกษาผมสองทุ่มกว่า บอกว่าวิทย์ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันนอนปวดท้อง หน้าท้องจับไม่ได้เลยปวดมาก ผมว่าน่าจะไส้ติ่งอักเสบ ให้เพื่อนไปหารถแดงมารับส่งสวนดอก ผมให้วิทย์นั่งเก้าอี้หามลงมาจากชั้นสาม
- ผ่าตัดไส้ติ่งคืนนั้นเลย ปรากฎว่าไส้ติ่งแตกแล้วแสดงว่านานกว่าสามวัน ต้องใส่สายยางระบายน้ำหนองในพุงออกมา

• ปวดท้องเป็นโรคธรรมชาติเยี่ยวยาได้ด้วยสมุนไพรธรรมชาติครับ
- พวกเรามามีสุขภาพดีวิถีบวรเวชกันเถอะครับ เชื่อผม Green is the best

*****************

ขมิ้นชัน อภัยภูเบศร์


โรคอะไรไม่ควรกินขมิ้นชัน นิ่วในถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอุดตัน

****************
ท้องอืด เกิดจากภาวะร้อนเกิน เผาจนเซลกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำงานไม่ได้ เลือดลมเริ่มไหลเวียนไม่ได้ ระบบย่อยทำงานไม่ได้ เชื้อโรคจะมากินอาหาร
เกิดกรด เกิดแก๊สขึ้น ในขณะเดียวกันเซลเสียพลังในการขับพิษออก กรดแก๊สจะเกิดขึ้น ดื่มน้ำย่านาง กล้ามเนื้อจะคลายตัว เส้นเลือดไม่ถูกกด เลือดลมก็ไหลเวียนได้ น้ำย่อยก็ออกไปย่อยได้
กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำงานปกติ ย่อยอาหารได้ อาการท้องอืดหายไป เพราะไม่มีอาหารให้เชื้อโรคกิน กรดแก๊สจะไม่เกิดเพิ่ม ร่างกายจะบีบเอาแก๊สส่วนเกินออกไปเอง

หมอเขียว.การถอนพิษจากร่างกายตอนที่1
https://youtu.be/34BABqauT70

ไตวาย นิ่ว/ประสบการณ์เราที่เป็นนิ่ว:หมออมร เปรมกมล:









******************************
พฤ.27ส.ค58 ไปร.พธรรมศาสตร์ที่แผนกศัลยกรรมเสียบบัตรนัด ไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหาร กลับมารอเรียกวัดความดัน ปกติ ได้คิว39 รอไม่นาน ~08:00  รับแฟ้มพบหมอห้อง17
หมอ:มีนิ่วขนาด0.6มม.ที่ไตขวา แต่ไตมีสภาพดี คุณป้ามีปวดเอวไหม
เรา:มีปวดบ้าง แต่ถ้าเอวข้างขวาที่พบนิ่ว ไม่ปวด
หมอ:ให้วิธีรักษา2วิธี คือกินน้ำวันละ2ลิตร หรือกระแทกเอวข้างขวาให้นิ่วหลุด
เรา:ขอกินน้ำ2ลิตร
หมอ:นัด3เดือนดูอาการด้วยการทำอัลตร้าซาวด์
เราไปนัดคิวอัลตร้าซาวด์ ได้ศ.13พ.ย58เวลา08:30 กลับมาแผนกศัลยกรรมได้คิวฟังผลอัลตร้าซาวด์ พฤ.19พ.ย58,09:10น. และตรวจฉี่1-2ชม.ก่อนพบหมอคือต้องเก็บฉี่07:00น.

ก่อนพบหมอเราระลึกถึงหลวงปู่ กราบท่านในใจว่า ขอให้ได้มีชีวิตอยู่แบบธรรมชาติ แผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาไปรอบๆตัว ได้ผลรู้สึกเย็น จิตนิ่ง)

เรา:25ส.ค59 เริ่มมาอยู่วัดช่วงเข้าพรรษาจนถึงวันนี้พฤ.13ก.ย61 กว่า2ปีที่ได้ใช้ชีวิตปกติ ตัดความยุ่งยากไปพบหมอนัดหมอออกไปเกือบหมด เว้นไทรอยด์อย่างเดียว จิตไม่ตก ไม่กังวล ไม่กลัวตาย ไม่กลัวโรค เจ็บป่วยมี รักษาด้วยหมอที่ดีที่สุดคือหลวงปู่และตัวเราเอง บุญมากแล้ว เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เพราะไม่มีขาย นอกจากสร้างบุญให้เกิดเท่านั้น

*************************
สาเหตโรคไต ุ90% มาจากพฤติกรรมกิน กินมากกินเยอะ นน.ตัวเยอะ กินเค็มความดันจะสูง กินหวานเป็นเบาหวาน หลังจากเป็นความดันเบาหวาน อีก10ปี เป็นไตวาย บอกว่าจะมาแก้ ไม่ได้แล้ว เพราะไตเสียแล้ว รักษาได้แค่ประคับประคอง นำไปสู่การล้างไต

พบหมอรามา.โรคไตป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
*************************

ขิง ขมิ้น ข่า กระชาย  สมุนไพรบำรุงไต-หมอนัท

จริงๆแล้วน้ำคือตัวระบายพิษ สมุนไพรเป็นตัวกระตุนแค่นั้น
https://youtu.be/u_Q61jte6AQ

*************************
ทำครบ5ข้อชะลอไตเสื่อม
https://youtu.be/oAxkLXzO67E

*************************
หมอบุญชัย โรคไตป้องกันได้ด้วยหลักอาหาร
https://youtu.be/XaxcjT-kNME

*************************






https://youtu.be/fJSbg0ocQzA


หมอที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง


(07:55)การทำอัลตร้าซาวด์ เราจะเห็นแค่ไตมีแผล แต่เราบอกไม่ได้ว่าอักเสบไหม ถ้าไตมีแผลไม่อักเสบก็ไม่มีปัญหา แต่ไตมีแผลเล็กๆน้อยๆก็จริง แต่ไตอักเสบอยู่ เราจัตรวจพบด้วยการเคาะไต

(19:38) นิ่วไตขนาดเล็กที่วินิจฉัยไม่ได้หมออมรเรียกว่าโรคอีสานรวมมิตร...ในความคิดของหมออมร รักษาง่ายมาก ก็เหมือนเม็ดเกลือขนาดเล็ก ตะกอนขนาดเล็ก เรากำจัดได้โดยการดื่มน้ำมากๆ
(21:22)30%ของทุกหมู่บ้านจะเป็นโรคนิ่วไตขนาดเล็กที่วินิจฉัยไม่ได้
(24:23) การปฏิบัติตัวที่สำคัญที่สุดจากโรคนิ่วไตขนาดเล็กที่วินิจฉัยไม่ได้คือผงชูรสและสารปรุงรสทุกชนิด สิ่งที่กลัวคือสิ่งปนเปื้อนในผงชูรส ในกระบวนการผลิต เขาจะใช้กรดกับโซดาไฟ เข้าไปทำปฏิกิริยา จะเกิดพิษจากกระบวนการผลิต ร่างกายไม่สามารถขับออกได้หมด สารพิษนี้จะทำให้คนส่วนหนึ่งที่จะเป็นมะเร็ง หรือกำลังจะเป็นมะเร็ง ก็จะเป็นมะเร็ง ไตวายอยู่แล้วก็จะเป็นไตวายมากขึ้น
(25:54) ในลูกชิ้นมีทั้งผงชูรส สารกันบูด และบอแรกซ์
(26:22) ซีอิ้วขาวในหลายๆยี่ห้อจะมีผงชูรส
ศ.นพ.อมร เปรมกมล

(31:26)วิธีเคาะหรือทุบสีข้างตรวจ จะเจ็บข้างที่เป็นโรค
พบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวในฉี่ คลำแล้วร้อนที่สีข้าง

(47:25) ปลาดุกนี่ตัวร้ายที่สุด

(48:01) คนเราถ้านอนแล้วให้ลุกมาฉี่ได้1ครั้ง






พระพุทธเจ้า“ทุกสิ่งมาแต่เหตุ“
พระรูปนี้เกือบถูกตัดขา




















หญ้าหนวดแมวทำชากินลดขนาดนิ่ว












วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

มะนาว /ความเป็นกรดด่างในร่างกาย /วิตามินC



https://youtu.be/oPrkux2DLTg




ปัญหาความดันโลหิต ตัวใหญ่ อ้วน อ่านนี่ก่อน

“(1:13)ถึงแม้ท่านจะเป็นมนุษย์กินผัก แต่ผักลวกสุกหมด ไม่เหลือวิตามินC
(ความคิดเห็นด้านล่างถามการกินน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นได้ไหม ตอบคือวิตามินCหายหมด ให้กินกับน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดา)
วิตามินCจึงเป็นวิตามินที่ขาดจากกระแสเลือดคนไทยในปัจจุบัน จากการที่เรากินผักปรุงสุก จึงทำให้เป็นโรคขาดวิตามินC

มีโรคอะไรบ้างครับที่เราท่องในตำรา:โรคลักปิดลักเปิด ไม่ต้องไปคิดถึงเลย แต่มันจะก่อโรคNCDขึ้น
โรคที่สำคัญมากคืออะไรทราบไหมครับ:โรคความดันโลหิตสูง
พื้นฐานที่คนไทยเป็นโรคความดันกันนี่ 20%เพราะว่าขาดวิตามินCเรื้อรัง

ทำไมเป็นความดันขึ้นครับ เพราะหลอดเลือดมันแข็ง วิตามินCจะทำให้หลอดเลือด ร่างกาย ผิวหนัง และกระดูกเรา เหนียวหยุ่น
เพราะวิตามินCไปกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินหลอดเลือดเรา
เวลาเรากินอาหาร ขาดวิตามินCยาวนาน หลอดเลือดมันจะแข็ง หลอดเลือดแก่กว่าอายุ ความดันโลหิตสูง เพราะว่าหลอดเลือดแก่เกินอายุ

เราอายุ30 บางคนอายุหลอดเลือด60ไปแล้ว หลอดเลือดแข็ง=คนอายุ60
ความดันโลหิตจึงสูง  เพราะว่าแรงดันเลือดมันยังเยอะ
เพราะร่างกายเราต้องใช้เลือดเยอะในอายุ30
หรือบางคนอายุ30จริง หลอดเลือดอายุ30จริง แต่ตัวใหญ่ อ้วน
ความดันก็ขึ้น เพราะว่ามันต้องการเลือดเยอะ

บางที2อย่างผสมกันเลย ทั้งอ้วนแล้วหลอดเลือดแก่ด้วย
เพราะขาดวิตามินC ความดันก็เลยสูงใหญ่เลย
เพราะฉะนั้นถ้าเรากินอาหารไม่ขาดวิตามินC บางคนฟื้นฟูหลอดเลือดได้
จนหลอดเลือดกลับมาเหนียวหยุ่นเหมือนเดิม ความดันโลหิตมันลดได้

ถ้าเราไม่ขาดวิตามินC จะดีกับหลอดเลือดอีก1อย่าง คืออะไรทราบไหมครับ
หลอดเลือดจะไม่แตกง่าย เพราะมันเหนียว แล้วมันจะไม่ปริ
หลอดเลือดแข็ง จะเจอ2เรื่อง คือปริ อันนี้เบาหน่อย ซ่อมได้ แต่ซ่อมแล้วมันกลายเป็นหลอดเลือดเสียเลย มันขรุขระ
หลอดเลือดขรุขระเป็นต้นเหตุทำให้ไขมันไปเกาะ

ถ้าเราดูแลหลอดเลือดดี ไขมันก็ไม่ไปเกาะ มันก็ไม่ปริ มันก็ไม่แตก
เราก็ไม่ตายด้วยโรคหลอดเลือดแตก ตีบ ตัน
ข้อแรกที่จะช่วยเราได้ อยู่ในอาหารคือวิตามินC
เพราะฉะนั้นโปรดอย่ากินอาหารขาดวิตามินC
มันยังเป็นภูมิต้านทานโรคดี สำหรับคนเจ็บป่วยเรื้อรัง แทนที่จะกินยารักษาหวัด

ภาวะที่สำคัญที่สุด ที่เราได้จากการกินผักดิบ มันจะดีมาก มี3ตัวนี้
คือ วิตามิน สารสำคัญคือเอ็นไซม์ และวัตถุออกฤทธิ์ทางยา

ผักปรุงสุกมีประโยชน์ไหมครับ มีครับ อย่าคิดว่าผักปรุงสุกไม่มีประโยชน์
ผักสุกได้อะไรครับ ก็ได้ความอร่อย กินง่าย เส้นใยเยอะ เกลือแร่ยังครบ วิตามินกลุ่มละลายในไขมันA D Eยังครบ ได้ควบคุมน้ำหนัก
เพราะฉะนั้นผักสุกก็เป็นอาหารที่ควรกิน เป็นอาหารบำรุงร่างกายนะครับ
ผักดิบเป็นอาหารยา เมื่อไหร่คนปรับความคิดนี่ได้ เราจะเริ่มแก้ไขตัวเองได้“

หมอบุญชัย อิศราพิสิษฐ์https://youtu.be/VSLrPQB5CiE
********************************



(08:15)คนปกติควรกินวันละ1-2ลูก คนเป็นมะเร็งกินวันละ2-3ลูกตลอดวัน จะบีบในน้ำเปล่า จะเป็นน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น แล้วดื่ม หรือผสมน้ำผึ้งไม่เกินวันละ4ชต.เกลือได้เล็กน้อย หรือใส่ในอาหารก็ได้
เพราะวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยส์ จะเข้าไปต้านอนุมูลอิสระ
ดีท็อกซ์ร่างกาย ทำให้กระชุ่มกระช่วย ช่วยระบบภูมิคุ้มกัน

มะนาวมีฤทธิ์ทำให้เลือดเราเป็นด่าง เลือดเป็นด่างไม่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของมะเร็ง มะเร็งชอบเลือดเป็นกรด(=คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์)
กรดมะนาวเมื่อเจอน้ำย่อยในกระเพาะจะกลายเป็นด่าง แล้วทำให้เลือดเราเป็นด่าง

การกินวิตามินซีเป็นอาหารเสริม จะไม่ได้คุณประโยชน์เหมือนกินมะนาว ไม่แนะนำให้กินวิตามินซี

เรา:จากคลิปอาหารแนะนำบางตัวยังไม่สบายใจที่พบข้อแย้งในผู้รู้คนอื่นอยู่บ้าง จึงขอแนะนำมะนาว
โค้ชแบงค์ https://youtu.be/k516ZXbJ3fc

*************************


https://youtu.be/yn4zSQNagKQ

https://www.postsod.com/lemonade-diet-fat


ความเป็นกรดด่างในร่างกาย 
580913 8อ อ.นิดดา หงษ์วิวัฒน์2
https://youtu.be/F54XZz1sZ6Y

8.40 ความเป็นกรดด่างในร่างกาย เราส่งกรดเข้าไปในร่างกายโดยกินเนื้อสัตว์ การปรุงอาหารสุกมากเกินไป กินอาหารหมักดอง กินน้ำตาล เบเกอรี่ แป้งขัดขาว เส้นก๋วยเตี๋ยวขัดขาว อาหารที่เอาใยอาหารออกหมด มันเป็นพวกที่ทำให้เกิดกรดในร่างกาย...

ร่างกายเกิดกรดมากไม่ได้ ร่างกายต้องทำให้เกิดการสมดุล เพราะเลือดจะเคลื่อนตัวไม่ได้ เลือดที่เป็นกรดมาก มันจะจับกลุ่ม เกิดสารอนุมูลอิสระเยอะ สารนี้มาจับตามเลือด เลือดไหลไม่ได้ ทำให้เลือดข้น ...เม็ดเลือดขาววิ่งไม่ได้ เม็ดเลือดแดงวิ่งไม่ได้ ผลสุดท้ายจะน็อค ล้มบ้าง หัวฟาดบ้าง

ร่างกายต้องช่วยตัวเอง โดยเอาเกลือออกมาจากกระดูก เพื่อสลายความเป็นกรด ทำให้เกิดการสลายการจัดตัวเป็นก้อนของเลือด ให้เลือดแตกออกจากก้อนที่จับกลุ่มนั้น

ร่างกายต้องการความเป็นด่าง เพียงphไม่เกิน7.4นิดเดียว ถ้ามีด่างมากเกิดผลเสีย
13:52 น้ำ้ด่างไม่จำเป็นต้องมาจากเครื่องไฟฟ้า เพราะน้ำนี้ทำให้มีความเป็นด่างสูง เมื่อด่างในร่างกายมีมาก อันแรกเลยคือกระเพาะทะลุ

ความเป็นกรดในร่างกายยังมาจากอารมณ์ ร่างกายต้องสลายแคลเซี่ยมบ่อยๆมาช่วย จึงเกิดกระดูกพรุน กระดูกบาง กระดูกแตกหัก

12.06 ความเป็นด่างในเลือดทำให้เลือดเรียงตัวเป็นระเบียบ เลือดไหลพุ่งเร็ว เกิดกำลังมาก ช่วยขับพิษในร่างกายในระดับเซลล์ คือดึงพิษออกมาจากเซลล์ได้ ทั้งมีพลังส่งสารอาหารและออกซิเจนให้เซลล์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดทางให้เม็ดเลือดขาววิ่งได้เร็ว

19:52 เราไม่รู้ว่าตอนไหนร่างกายเราเป็นกรดหรือด่าง การกินน้ำด่าง ถ้ากินไปขณะร่างกายเป็นด่าง ก็เหมือนยัดเยียด ร่างกายเป็นด่างมากเกินไป เกิด
1)ต้านการย่อยอาหาร ท้องจะอืด กระเพาะอาหารมีโอกาสทะลุ เพราะร่างกายจะอยู่ไม่ได้ ปล่อยกรดอย่างรุนแรงออกมา เพื่อมาสมดุล ด่างไปแล้ว แต่กรดยังอยู่ กรดจะกัดกระเพาะอาหารต่อ
2)มีภาวะการขาดสารอาหารในอนาคต เพราะว่าท้องอืด ดูดซึมสารอาหารไม่ได้
3)เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต คราวนี้ล้มป่วยทันที

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

เนื้อแดงอันตรายยังไง







https://youtu.be/8hw39ahp-Sw


**********

“เนื้อแดง” เรื่องนี้ต้องขยาย

รศ.ดร. แก้ว กังสดาลอำไพ
http://www.web.greenworld.or.th/columnist/goodlife/1741


ความจริงประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้เขียนสอนหนังสือนักศึกษาปริญญาโทที่สถาบันโภชนาการ ก็กล่าวถึง...
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งทำอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 20 ปี และครอบคลุมในหลากหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องพบว่าการกินเนื้อแดงเป็นประจำทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และเบาหวานประเภท 2 ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชน (ในประเทศร่ำรวย)เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ...
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เฝ้าสังเกตสุขภาพผู้ชายกว่า 37,000 คน นานถึง 22 ปี และเฝ้าสังเกตสุขภาพผู้หญิงกว่า 83,000 คน นานถึง 28 ปี โดยชายและหญิงที่เข้าร่วมการตรวจสอบล้วนเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็งมาก่อน จากการศึกษาที่กินเวลายาวนานหลายปี ท้ายสุดก็พบผู้เสียชีวิตรวมกันทั้งชายหญิง เกือบ 24,000 คน กว่า 6,000 คนในจำนวนนี้ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และกว่า 9,400 คน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง จึงได้ข้อสรุปว่า ผู้ที่บริโภคเนื้อแดงไม่ผ่านการแปรรูปและกินเป็นประจำทุกวัน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ที่กินเนื้อแดงแปรรูปทุกวัน เช่น ฮอทด็อก หรือ เบคอน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้นักวิจัยยังระบุว่า ในกรณีของเนื้อวัว การกินเนื้อวัวแปรรูปและทำให้สุกโดยใช้ความร้อนสูง จะก่อให้เกิดสารบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ  ในขณะที่การกินเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลา จะไม่ค่อยเกิดผลเช่นนี้ ดังนั้นถ้าผู้ที่ชื่นชอบการกินเนื้อแดง หันมากินเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลาให้มากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ อีกทั้งจากผลการศึกษายังพบว่า ถ้าเปลี่ยนการกินเนื้อแดงมาเป็นเนื้อปลาจะลดความเสี่ยงที่จะตายก่อนวัยอันควรลง 7 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ปีกจะลดความเสี่ยงลงถึง 14 เปอร์เซ็นต์ แต่แหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดก็ยังมาจากถั่วและธัญพืชต่าง ๆ

เหตุใดกินเนื้อแดงเป็นประจำ แล้วทำให้ตายเร็วขึ้น
ประเด็นแรก “กินเนื้อแดงประจำ ทำให้ตายเร็วขึ้น” คำอธิบายถึงเหตุผลการตายซึ่งในทางลึกพาดพิงถึงการตายด้วยมะเร็งนั้น มีคำอธิบายต่อไปว่าทำไมเนื้อแดงถึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง คำอธิบายที่พบได้จากหนังสือวิชาการด้านอาหารและมะเร็ง และงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติคือ เนื้อแดงมีปริมาณเหล็กสูงกว่าเนื้อที่ออกสีซีด (วิธีดูว่าเนื้อส่วนไหนเป็นเนื้อแดงหรือไม่ทำได้จากการต้ม แล้วดูสี ถ้าเห็นเนื้อต้มแล้วออกแดง นั่นคือเนื้อแดง)
สีแดงของเนื้อนั้นเป็นการแสดงออกถึงความเข้มข้นของสารชีวเคมีที่เรียกว่า ไมโอโกลบิน (Myoglobin) ซึ่งเป็นชีวโมเลกุลในกล้ามเนื้อสัตว์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขนส่งออกซิเจนไปให้เซลล์กล้ามเนื้อ กล่าวไปไมโอโกลบินก็คล้ายฮีโมโกลบินที่อยู่ในเลือดนั่นเอง ดังนั้นกล้ามเนื้อของอวัยวะที่ต้องออกแรงหนัก ความต้องการออกซิเจนก็จะสูงตาม ส่งผลให้ร่างกายต้องจัดหาไมโอโกลบินมาไว้เพื่อตอบสนองความต้องการออกซิเจนของกล้ามเนื้อ
ทั้งไมโอโกลบินและฮีโมโกลบินนั้นมีองค์ประกอบหลายส่วนคล้ายกัน โดยเฉพาะส่วนชีวโมเลกุลที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเรียกว่า ฮีม ดังนั้นยิ่งเนื้อแดงเท่าไร ก็ยิ่งมีเหล็กมากเท่านั้น
ท่านผู้อ่านอาจจะพบว่า เนื้อส่วนโคนขาของไก่เมื่อต้มแล้วจะมีสีออกแดงมากกว่าเนื้อส่วนอกไก่ที่เมื่อต้มแล้วจะมีสีซีดจาง เพราะไก่ (โดยเฉพาะไก่บ้าน) ใช้กล้ามเนื้อโคนขามากจึงมีไมโอโกลบินในกล้ามเนื้อสูง ต่างจากอกไก่ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมากมัก
นักวิทยาศาสตร์สุขภาพเข็ดขยาดต่อปริมาณเหล็กที่อยู่ในองค์ประกอบทางชีวภาพมากพอควร เพราะเหล็กเป็นแร่ธาตุหนึ่งในหลายชนิด (เช่น ทองแดง ซีลีเนียม) ที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระได้ทั้งในและนอกเซลล์ถ้ามีปริมาณสูงมากเกินจำเป็นทั้งยังอยู่เป็นอิสระไม่เกาะกับโปรตีนใดๆ
การเกิดอนุมูลอิสระนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการกลายพันธุ์ของหน่วยพันธุกรรมคือ ดีเอ็นเอ และถ้าการกลายพันธุ์นั้นเกิดตรงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง โอกาสที่ร่างกายของผู้บริโภคเนื้อแดงจะเป็นมะเร็งก็สูงขึ้นด้วย วิธีการป้องกันในประเด็นนี้ทำได้โดย การบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระให้เพียงพอ
สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารนั้นได้จากผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม ซึ่งสามารถรวมถึงข้าวสีต่างๆ ด้วย สารต้านอนุมูลอิสระนี้จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา โดยการไปกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหล็กของเนื้อแดง ดังนั้นองค์กรที่ทำหน้าที่ด้านสุขภาพจึงแนะนำให้ประชาชนกินข้าวครึ่งหนึ่ง ผัก ผลไม้ครึ่งหนึ่ง

ทำไมกินเนื้อแดงแปรรูปจึงเสี่ยงกว่าที่ไม่แปรรูป
ประเด็นที่สองในรายงานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า ผู้บริโภคเนื้อแดงไม่ผ่านการแปรรูป โดยกินเป็นประจำทุกวันมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ที่กินเนื้อแดงแปรรูปทุกวัน เช่น ฮอทด็อก หรือเบคอน จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ข้อสรุปจากผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงผลของการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง ว่าก่อให้เกิดปัญหาอย่างไร

การกินเนื้อแดงแม้เพิ่มความเสี่ยงต่อการตายเร็ว (คงเนื่องจากมะเร็ง) แต่ก็น้อยกว่าการกินเนื้อที่แปรรูป เพราะในเนื้อแดงที่แปรรูปของฝรั่งคือ ฮอทด็อก (ซึ่งความจริงหมายถึงไส้กรอก เพราะฮอทด็อกนั้นคือ ขนมปังยาวผ่าครึ่งทามายองเนส ใส่ผักแล้ววางไส้กรอกลงไปพร้อมราดซอสมะเขือเทศ) และเบคอนนั้นถือว่าเป็นอาหารเนื้อหมัก ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารพิษทางชีวภาพที่ร้ายแรงที่สุดในโลกคือ  บอททูลิน (ที่เอามาทำโบท็อกซ์สำหรับคนหน้าเหี่ยว) สารพิษนี้ถูกปล่อยออกมาจากแบคทีเรีย ชื่อคลอสตริเดียม บอททูลินัม ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องใส่ดินประสิวเข้าไปเพื่อยับยั้งเชื้อแบคทีเรียนี้ แต่ผลพลอยเสียที่เกิดขึ้นคือ ดินประสิวไปทำปฏิกิริยากับสารชีวเคมีบางชนิดที่เป็นองค์ประกอบในเนื้อสัตว์เกิดเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีน ผลการศึกษาจึงออกมาว่า แค่กินเนื้อแดงก็แย่แล้ว ไปกินเนื้อหมักก็ยิ่งแย่ไปอีก
ประเด็นกินเนื้อหมักแล้วตายเร็วนั้น คนไทยคนจีน ก็คือกัน เพราะเรากินกุนเชียงซึ่งก็เป็นเนื้อหมักใส่ดินประสิวเช่นกัน

เนื้อหมักทำไมต้องใส่ดินประสิว คำตอบคือ ...เคยมีคนเคยทำไส้กรอกฝรั่งไม่ใส่ดินประสิว ปรากฏว่ากินได้แต่ไม่ได้ความรู้สึกของไส้กรอก สีสันก็ไม่แดงอย่างที่ควรเป็น (ดินประสิวจับตัวกับไมโอโกลบินในเนื้อสัตว์ทำให้เนื้อสัตว์มีสีแดงขึ้น) อีกทั้งดังที่กล่าวแล้วว่าดินประสิวช่วยป้องกันเชื้อคลอสตริเดียม บอททูลินัมด้วย

ยิ่งเนื้อแปรรูปและทำให้สุกด้วยความร้อนสูงยิ่งอันตราย
 เพราะฮาร์วาร์ดได้บอกว่า การกินเนื้อวัวแปรรูปและทำให้สุกโดยใช้ความร้อนสูง  จะก่อให้เกิดสารบางอย่างออกมาที่ไม่ดีต่อสุขภาพ  ในขณะที่การกินเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลา จะไม่ค่อยเกิดผลเช่นนี้ ข้อความดังกล่าวนั้นก็ถูกอยู่ แต่ไม่ถูกเต็มเหนี่ยว เพราะต้องกล่าวเพิ่มเติมว่า เนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลานั้น ต้องไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนสูงเช่นกัน
กรณีของเนื้อแดง เรามักเอามาทำเป็นเสต็กหรือเนื้อย่าง ซึ่งก่อให้เกิดการปนเปื้อนของสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (พีเอเอช) และสารเฮ็ตเตอโรไซคลิกเอมีน (เอชซีเอ) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลองทั้งคู่ ทำนองเดียวกันถ้าเป็นเนื้อปลาหรือไก่ หากเอามาปิ้งย่างรมควัน สารก่อมะเร็งทั้งสองชนิดย่อมเกิดเช่นกัน ดังนั้นเนื้อสัตว์จะปลอดภัย ถ้าปรุงโดยวิธีการต้มหรือนึ่งเท่านั้น สารพิษจึงไม่เกิดหรือเกิดน้อยมาก
ขอให้เกร็ดความรู้แก่ผู้บริโภคว่า สารพิษกลุ่มเอชซีเอนั้น ผู้ค้นพบเป็นนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นชื่อ ดร.ซูจิมูระ ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่า การปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนสูง เช่น การย่างสเต็กนั้นก่อให้เกิดสารพิษกลุ่ม พีเอเอชได้ แล้วปลาย่างซาบะของญี่ปุ่นจะเกิดหรือไม่ จึงได้ทดลองเก็บควันและเนื้อปลาที่ครอบครัวซูจิมูระปิ้งกินในห้องพักไปวิเคราะห์ ก็พบพีเอเอชในปริมาณพอควร แล้วยังพบสารใหม่คือ เอชซีเอ หลายชนิด

ดังนั้นเวลาบอกว่ากินปลาแล้วมีสารพิษน้อยนั้นจึงหมายถึง ปลานึ่งหรือต้มเท่านั้น ส่วนปลาดิบนั้นแม้ไม่เกิดสารพิษแต่อาจมีพิษจากตัวปลาเอง เช่นปลาปักเป้า หรือมีพิษที่เกิดจากสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้
ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับเอชซีเอที่น่าจะเกี่ยวพันกับคนไทยก็คือ กรดอะมิโนหลายชนิดที่อยู่ในเนื้อสัตว์ เมื่อถูกความร้อนขณะปิ้งย่างแล้วมักกลายสภาพไปเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มเอชซีเอด้วย คำว่า กรดอะมิโน ในที่นี้ได้หมายรวมไปถึงกรดอะมิโนที่เรารู้จักกันดีคือ กรดกลูตามิก ทั้งที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติหรือที่เติมลงไปในเนื้อสัตว์ก่อนปิ้งย่าง กรดอะมิโนนี้เมื่อถูกความร้อนแล้วจะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง (ในสัตว์ทดลอง) ชื่อ Glutamate Pyrolysate 1 (Glu-P-1) และ Glutamate Pyrolysate 2 (Glu-P-2)

แต่การหมักเนื้อสัตว์ก่อนปิ้ง ในบางกรณีก็เป็นการป้องกันการเกิดสารพิษได้ เช่น การหมักเนื้อสัตว์กับผงพืชผักหรือสมุนไพรต่างๆ ที่อยู่ในครัวบ้านเรา จะลดการเกิดเอชซีเอโดยอาศัยอิทธิพลของสารต้านอนุมูลอิสระในผงผักหรือพืชสมุนไพรได้ในระดับน่าพอใจ แต่ถ้าเติมกรดกลูตามิกลงไปด้วยโดยหวังว่าจะทำให้อาหารอร่อยขึ้น สารก่อมะเร็งทั้งสองที่กล่าวถึงก็ยังสามารถเกิดได้

นักพิษวิทยาทางอาหารแนะนำทางออกให้กินได้อย่างมีความสุขคือ
เมื่อใดจะกินอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน ให้จำว่าต้องกินกับผักและผลไม้สีเข้ม หรือถ้ายำได้ให้ยำไปเลย ไม่ว่าอาหารนั้นจะเลี้ยงในงานแต่งงานไหนก็ตาม การกินยำ (รวมทั้งต้มยำ) ในงานแต่งงานนั้นไม่ทำให้ชีวิตแต่งงานนั้น ลำไย ไปได้ดอก ความลำไยของชีวิตแต่งงานที่ส่งผลให้เกิดการหย่าร้างของคนไทยปัจจุบันนั้น เกิดจากความเอาแต่ใจตัวเอง

*************************************************
say noเนื้อแดงเพื่อชีวิตที่ยืนยาว
https://greennews.agency/?p=15397

 สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยก็คือธุรกิจอาหารที่เกี่ยวข้องกับเนื้อแดงกำลังเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สังเกตได้จากการเกิดขึ้นของร้านอาหารประเภทปิ้งย่าง-ชาบูที่เบ่งบานอยู่ทั่วทุกหัวระแหง หนำซ้ำยังพบว่าเทรนด์การบริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะ “บุฟเฟต์” มีส่วนสำคัญในการเร่งรัดและเร่งเร้าให้บริโภคเนื้อแดงกันอย่างเกินความจำเป็น
สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม (GreenNews) ลงพื้นที่ทดลองสุ่มเพื่อให้เห็นภาพ ไม่น่าเชื่อว่าเพียง 2 ซอยที่อยู่ประชิดสถาบันการศึกษา อย่างรัชดาภิเษก 32 และซอยเสือใหญ่ รัชดาภิเษก 36 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก หนาแน่นไปด้วยหอพักนักศึกษา พบว่ามีร้านฟุฟเฟต์ปิ้งย่าง 5 ร้าน ร้านชาบูอีก 4 ร้าน ยังไม่นับร้านขายหมูปิ้ง-เนื้อปิ้งอีกเกินกว่า 10 ร้าน
ที่น่าสนใจก็คือ จากการพูดคุยกับเจ้าของร้านพบว่ามีลูกค้าเต็มและขายหมดทุกๆ วัน...
ข้อมูลจาก สมาคมผู้ผลิตและแปรรูปสุกรเพื่อการส่งออก ปี 2554-2560 ก็ช่วยอธิบายสถานการณ์การบริโภคเนื้อแดงของประเทศไทยโดยข้อมูลระบุว่าค่าเฉลี่ยของการบริโภคเนื้อสุกรในคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 10.28 กิโลกรัม เป็น 13.7 กิโลกรัม
—– ‘เนื้อแดง’ แหล่งชุมนุมของโรคร้าย —–
จริงอยู่ที่ว่า “เนื้อแดง” เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ แต่ก็ควรบริโภคในอัตราที่พอเหมาะ
ทีมนักวิจัยภาควิชาการโภชนาการ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (HSPH) สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาในหัวข้อ “พฤติกรรมการบริโภคเนื้อแดงสัมพันธ์ความเสี่ยงต่อการตาย” โดยเก็บข้อมูลจากคนวัยทำงานในสหรัฐกว่า 1 แสนราย พบว่าผู้ที่กินเนื้อแดงเป็นประจำเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้มากถึง 14%
นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิฐานอีกว่า ธาตุเหล็ก และไขมันอิ่มตัวในเนื้อวัว เนื้อหมู รวมถึงเนื้อแกะ เมื่อ นำไปปรุงอาหารหรือผ่านความร้อนจะทำให้เกิด “สารไนเตรต” และสารเคมีอื่นๆ ซึ่งเป็นต้นตอของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง
 การกินถั่วแทนเนื้อวัวหรือเนื้อหมูสามารถลดความเสี่ยงจากโรคร้ายได้ถึง 19%
เว็บไซด์ JAMA Internal Medicine ที่รวบยอดความคิดว่า การบริโภคเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อหาความเกี่ยวพันระหว่างการบริโภคเนื้อแดงกับความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นชาวอเมริกันร่วมๆ 8 หมื่นราย
ผลการศึกษาจากการติดตามตลอด 4 ปี พบว่า การกินเนื้อแดงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 45 กรัมต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานถึง 48% หากลดปริมาณการกินเนื้อแดงลงกว่าเดิมตั้งแต่ 45 กรัมต่อวัน ความเสี่ยงจะลดลงตามลงไปถึง 14%
สรุปคือ การเพิ่มปริมาณการบริโภคเนื้อแดงเป็นเวลานานต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 โดยผลการศึกษาพบหลักฐานว่าการจำกัดปริมาณการบริโภคเนื้อแดง มีส่วนช่วยป้องกันการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ได้
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางโภชนาการที่บ่งชี้ว่า การบริโภคเนื้อแดงแปรรูป อาทิ เบคอน แฮม ไส้กรอก รวมไปถึงแหนม กุนเชียง จะยิ่งเกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ นั่นเพราในกระบวนการแปรรูปจะสร้างสารก่อมะเร็งที่ชื่อ “ไนโตรซามีน” รวมถึงมีไขมันอิ่มตัว และโซเดียม ซึ่งจะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
—– ทำลาย ‘ไต’ กระดูกพรุน เสี่ยงมะเร็ง —–
ณัฐวรรณ เชาวน์ลิลิตกุล นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ รักษาการหัวหน้ากลุ่มสร้างเสริมสุขภาวะโภชนาการ (สส.) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อธิบายว่า เนื้อแดงที่คนไทยนิยมรับประทานมากที่สุดคือเนื้อหมู ซึ่งจริงอยู่ที่เนื้อสัตว์อย่างเนื้อแดงเป็นแหล่งโปรตีน วิตามิน แต่หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในเรื่องการขับของเสีย
“โดยเฉพาะคนที่ชอบรับประทานเนื้อติดมันอย่าง หมูสามชั้น หนังหมู หนังไก่ จะได้รับไขมันที่สูงตามมาด้วย ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน หรือโรคไตได้” 
ณัฐวรรณ อธิบายต่อไปว่า เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ผ่านความร้อนทั้งการปิ้ง ย่าง ทอด รวมถึงเนื้อแปรรูปนั้น เซลล์โปรตีนที่อยู่ในเนื้อจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่าหากทานโปรตีนมากเกินไป จะทำให้แคลเซียมในกระดูกถูกขับออกไป เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
“เนื้อสัตว์สีอื่นๆ อย่าง เนื้อไก่ หรือเนื้อเป็ด หากกินมากเกินไปก็อาจเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ ฉะนั้นทุกอย่างต้องกินให้เหมาะสมและพอดี หากต้องการรับประทานเนื้อสัตว์แนะนำให้ทานส่วนที่มีไขมันน้อย เช่น ส่วนอก หรือเนื้อปลา โดยไขมันในเนื้อปลาเป็นไขมันดี เช่น DHA และ โอเมก้า 3 ที่สามารถไปพัฒนาและซ่อมแซมระบบสมองได้ โดยเฉพาะในเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต”

*************************************************
หมอบุญชัยhttps://youtu.be/0FGhEbJpP6s

*************************************************