วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เส้นก๋วยเตี๋ยว/แผ่นเกี๊ยว





เลิกกินเส้น
หมอเขียว:กินตามความอยาก ขั้นตอนทำยุ่งยาก กินข้าวก็จบ
อาจไปได้รับสารพิษจากการปรุงแต่ง ความไม่สะอาดจากการตาก การใช้น้ำมันเก่า



วิธีทำแผ่นเกี๊ยว




https://youtu.be/llJe3TQ5ruA



***********************
วิธีทำเส้นก๋วยจั๊บญวน:รายละเอียดในสมุดสีฟ้าหน้า46
https://youtu.be/bI6IflRtKzA





กินเส้นก๋วยเตี๋ยวเสี่ยงสารกันบูดและสีสังเคราะห์


กระจกสุขภาพ แก้วกะเดียว

...วันหนึ่งฉันไปกินก๋วยเตี๋ยวกับน้องฉันสั่งเส้นเล็กมากิน ฉันสงสัยว่าทำไมคนเลือกที่จะกินก๋วยเตี๋ยวเป็นอันดับสองรองจากข้าว และฉันก็คิดอีกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวมันมีอันตรายรึป่าวคนถึงเลือกที่จะกิน ฉันเลยลองมาค้นหาดู...

อันตรายจากเส้นก๋วยเตี๋ยว อันตรายจากเส้นเล็กและเส้นหมี่ ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อโดยเฉพาะเส้นเล็กและเส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง

เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูด จำนวนมาก ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงมีการเติมสารกันบูด เพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก

ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิม ที่คิดว่าเส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้าที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกั

ปณิตา เสียงเพราะ เพจ กระจกสุขภาพ แก้วกะเดียว
รูปภาพบนไทม์ไลน์22 ตุลาคม 2013
************************************

โรงงานทำก๋วยเตี๋ยว ใส่น้ำมันเครื่องขณะทำ ,ไม่ควรกินเส้นใหญ่ เส้นเล็ก ควรกินเส้นหมี่โคา เส้นหมีไวๆ เพราะเส้นอบแห้ง
เส้นก๋วยเตี๋ยว505 https://youtu.be/xhW3a5yNBvQ
(06:14) “ไม่พยายามคิดด้วยตัวเอง ไปซื้อเฟนไช เราก็ทำไปชิมไป ฟังจากลูกค้า จากเราทำก๋วยเตี๋ยว เราก็ไม่ได้มีความรู้อะไร ขายเอง ได้ไปเจอกับลูกค้าตัวต่อตัว เราก็ฟังว่าเค้าชอบแบบไหน






วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อย่ากินปลาแซลมอน




ไม่กินปลาแซลมอนเพราะไม่ใช่ปลาธรรมชาติ เป็นปลาจากฟาร์ม

สีส้มของปลาแลมอนสั่งได้เพราะเลี้ยงจากฟาร์ม

ตัดต่อพันธุกรรม(GMO) ให้ยาฆ่าเชื้อ

ปลาไทยมีโอเมก้า3(ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี) พอๆกันคือปลาช่อน ปลาสวาย ปลาทู ปลาสำลี ปลาดุก ปลาสลิด ปลาอินทรีย์

https://youtu.be/zQGTZI18l28

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ภัยจากคนและธรรมชาติ





 ภัยจากคน






 ภัยจากธรรมชาติ






วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มันสีม่วงและสีส้ม






จ.24 ต.ค59 ซื้อมันม่วงจากตลาดนัดปากซอยเมื่อพฤ.20 ต.ค59 ส่วนมันส้มซื้อที่พลังบุญวันส.22 ต.ค59 ต้มแบบป้าหมอน แต่ลดน้ำ้ตาลพอปะแล่ม
ถ้าให้กะทิขาว ให้ต้มแบบต้มมันให้สุก แยกต้มกะทิน้ำตาลมะพร้าวเกลือ จึงตักมันมาใส่ในกะทิ




https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156513452707028&id=172425057027

สีม่วงชลอความเสื่อมของตา
สีส้มลดอัตราการกลายพันธ์ุของเซลและทำลายเซลมะเร็ง





วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วูบ



หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่1) https://www.doctor.or.th/article/detail/3870

หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่2) https://www.doctor.or.th/article/detail/3894
(เรา:คำตอบข้างต้นนึกถึงตอนหลวงปู่ล้มในวันปีใหม่ ท่านให้คนออกไป ไม่เข้ามายุ่งกับท่าน แล้วท่านนอนราบกับพื้น / การดื่มน้ำเยอะขนาดขวด1.5ลิตรในช่วงบ่ายที่ออกไปก่อสร้าง จะเดินกลับมาดื่มน้ำบ่อยๆ การเดินคือการออกกำลังกายด้วย)

หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่3) https://www.doctor.or.th/article/detail/3906

หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่4) https://www.doctor.or.th/article/detail/4017
เปลี่ยนหมอที่รักษาทำได้อย่างไร

หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่5) https://www.doctor.or.th/article/detail/4027


หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่6) https://www.doctor.or.th/article/list/7623





หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่1) https://www.doctor.or.th/article/detail/3870
อาจารย์ : “ก่อนการเจ็บป่วยคราวนี้ คุณมีอาการผิดปกติอะไรนำมาก่อนหรือไม่ หรือรู้สึกปกติดี”คนไข้ : “ก่อนที่จะมีอาการวูบ ผมถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเหมือนเฉาก๊วยอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ครับ แต่ผมคิดว่าผมคงกินอาหารพวกเลือดหมูเข้าไป อุจจาระจึงเป็นสีดำ เพราะผมไม่รู้สึกผิดปกติอะไร จึงไม่ได้ไปตรวจ”อาจารย์ : “หมอคงเห็นแล้วว่า อาการวูบของคนไข้เกิดขึ้นหลังจากคนไข้มีเลือดออกในกระเพาะลำไส้ จนอุจจาระดำอยู่  2 สัปดาห์
“เมื่อคนไข้เสียเลือดไปมากจนถึงจุด ๆ หนึ่ง ความดันเลือดจะตกลงอย่างมากเมื่อเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่งหรือท่ายืน แม้ความดันเลือดในท่านอนจะปกติ (ถ้าเลือดออกมากกว่านี้ ความดันเลือดในท่านอนจึงจะตกด้วย)
“ดังนั้น ถ้าหมอไม่วัดความดันเลือดในท่านั่งหรือท่ายืน หมอก็จะไม่สามารถวินิจฉัย ‘ภาวะความดันเลือดตกเมื่อเปลี่ยนท่า’ ได้ เมื่อความดันเลือดตกเลือดจะไปเลี้ยงสมองไม่พอ คนไข้ก็จะเกิดอาการวูบ ถ้านั่งหรือยืนอยู่ ก็จะล้มลงหรือฟุบลง

การล้มลงหรือฟุบลง เป็นการช่วยเหลือตนเองตามธรรมชาติ เพื่อให้ศีรษะต่ำลง เลือดจะได้ไหลไปเลี้ยงสมองได้ง่ายขึ้น แล้วคนไข้ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่
“ถ้าคนใกล้ชิดไม่เข้าใจ เห็นคนไข้ล้มนอนลงกับพื้น กลัวคนไข้จะเปื้อนหรือหายใจไม่สะดวก จับคนไข้ลุกขึ้นนั่งหรือพยุงไว้ให้ศีรษะสูงขึ้นจากพื้น เช่น ให้นอนพาดตัก หรืออื่น ๆ เลือดจะไปเลี้ยงสมองได้ยากกว่าท่านอนราบหรือท่านอนหัวต่ำกว่าลำตัว ทำให้คนไข้หมดสตินานออกไปอีก ซึ่งอาจทำให้สมองขาดเลือดนานจนทำให้ชัก เกร็ง กระตุก หรืออื่น ๆ จนทำให้หมอวินิจฉัยผิดคิดว่าเป็นโรคสมองขาดเลือดจากหลอดเลือดถูกอุดตันได้

“คนไข้รายนี้ขณะมาในแท็กซี่ ถ้านอนมาคงจะไม่มีอาการมาก แต่ถูกญาติขนาบไว้ 2 ข้างเพื่อนั่งอยู่ได้ เลือดจึงไปเลี้ยงสมองน้อยลงกว่าท่านอน พอนั่งมาถึงโรงพยาบาลสมองขาดเลือดนานไปหน่อย จึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมา
“เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ทางสมองเหลืออยู่แสดงว่าไม่น่าจะใช่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือแตก
“การส่งไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และคลื่นแม่เหล็กสะท้อนจึงเป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ ที่ตรวจจะตรวจคือ หาสาเหตุของการตกเลือดในกระเพาะลำไส้ หมอตรวจหาหรือเปล่า”
แพทย์ : ตรวจครับส่องกล้องตรวจพบแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นครับ ตกลงอาจารย์จะตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจให้หรือเปล่าครับ”อาจารย์ : “หมอจะตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจเพื่อดูอะไรอีกล่ะเสียเงินเปล่า ๆ”คนไข้ : ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นข้าราชการ ผมเบิกได้หมดครับ”อาจารย์ : ถึงคุณเบิกได้หมด แต่ก็ต้องมีคนออกเงินให้คุณ เงินหลวงก็คือเงินภาษีอากรของพวกเราทุกคนรวมทั้งของคุณด้วย
“ยิ่งกว่านั้นการตรวจพิเศษต่าง ๆ เหล่านี้ ประเทศของเรายังผลิตอุปกรณ์และวัสดุต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้เอง เงินเหล่านี้จึงต้องเสียไปให้แก่ต่างประเทศ และมันเป็นการเสียเปล่า เพราะไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์แก่คุณหรือแก่สังคมเลย มันเป็นการดำน้ำพริกละลายแม่น้ำเท่านั้น
“ที่คุณได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และคลื่นแม่เหล็กสะท้อน ก็เสียค่าใช้จ่ายไปเปล่า ๆ เป็นหมื่น ๆ บาทแล้ว โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แถมคุณยังต้องทนทรมานไปนอนนิ่ง ๆ กระดุกกระดิกไม่ได้ และยังมีเสียงเครื่อง (MRI) ดังปัง ๆ ๆ รบกวนโสดประสาทอยู่เป็นชั่วโมง ๆ โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรคืนมาเลย
คุณคิดว่ามันคุ้มหรือ”
คนไข้ : “ขอบคุณครับ ถ้าอาจารย์คิดว่าไม่จำเป็นผลก็ไม่ทำครับ แต่ทำไมอาจารย์ท่านอื่นถึงคิดว่าจำเป็นล่ะครับ”อาจารย์ : “ในทางการแพทย์ หรือในวิชาชีพอื่นๆ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนย่อมแตกต่างกันได้
“อย่างไรก็ตามในกรณีของคุณ อาจารย์คนที่มีความเห็นว่าหลอดเลือดสมองของคุณถูกอุดตัน อาจเป็นเพราะเขาฟังประวัติหรือเรื่องราวของคุณตามที่แพทย์ประจำบ้านเล่าให้ฟังและเขาไม่ได้ซักถามคุณเอง เขาจึงเข้าใจผิดและคิดถึงโรคตามที่แพทย์ประจำบ้านคิดและวินิจฉัยไว้”
คนไข้ : ครับอาจารย์ หมอคนอื่น ๆ ไม่เห็นถามอาการผมเหมือนที่อาจารย์ถาม เขามัวไปถามเรื่องอื่น ๆ ผมก็เลยไม่มีโอกาสเล่ารายละเอียดของอาการวูบให้เขาฟัง”อาจารย์ : บางครั้งอาจารย์เขาเชื่อลูกศิษย์มากเกินไป ไม่ซักประวัติเอง ไม่ตรวจร่างกายเอง ก็อาจโดนลูกศิษย์พาเข้ารกเข้าพงได้ง่ายประวัติอาการของคนไข้มีความสำคัญที่สุดในการวินิจฉัยและติดตามการดำเนินโรค การซักประวัติที่ผิดพลาดหรือซักไม่มีเช่นในกรณีของคุณ ที่คุณไม่ค่อยรู้สึกตัวตอนมาโรงพยาบาล ทำให้ได้ประวัติที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้การตรวจรักษาผิดทางได้ง่าย โชคดีที่โรคของคุณเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง จึงไม่เกิดอันตรายหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ“

คนไข้ : 
แล้วผมจะหายขาดมั้ยครับ และจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ครับ”อาจารย์ : “เท่าที่ผมทราบจากหมอที่ดูแลคุณอยู่ ขณะนี้คุณมีอยู่โรคเดียว คือ แผลในลำไส้เล็กส่วนต้นที่ตกเลือด และเป็นสาเหตุของอาการวูบของคุณในเวลาต่อมา
“โรคแผลในกระเพาะลำไส้เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ ถ้าคุณกินยาเป็นประจำ ประมาณ 3-6 เดือน และระวังอย่าให้เครียด และอย่าไปกินยาแก้ปวดที่ระคายกระเพาะลำไส้ เช่น ยาจำพวกแอสไพริน หรือยาแก้ปวดข้อปวดกระดูก หรือยาชุดที่ขายกันอยู่ทั่วไปอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารหรือของที่ระคายกระเพาะลำไส้ เช่น พริกน้ำส้ม ของเผ็ดจัด สุรา ยาดอง การสูบบุหรี่ เป็นต้น
“ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้องอย่าเครียดกังวลมากเกินไป เพราะความเครียดกังวลจะทำให้กรดในกระเพาะมาก ทำให้แผลหายช้า หรือทำให้เกิดแผลในกระเพาะลำไส้ได้
“ส่วนคุณจะกลับบ้านได้เมื่อไร คงต้องถามแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ของคุณครับ เพราะเขาเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาคุณโดยตรง ส่วนผมเป็นเพียงแพทย์ที่ปรึกษาเท่านั้น”




หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่2) https://www.doctor.or.th/article/detail/3894


เลือดซึ่งเป็นของเหลว(เป็นน้ำ)จะไหลไปสู่ที่ต่ำคือที่ขาและเท้า เลือดที่จะสูบฉีดไปเลี้ยงสมอง (ในศีรษะ) จึงลดลง ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมและล้มฟุบลงโดยยังรู้ตัวอยู่ (ค่อย ๆ นั่งลงและนอนลง ทำให้ไม่เจ็บตัว) หรือล้มฟาดลงโดยไม่รู้ตัว (ทำให้เกิดบาดแผลหรือรอยฟกช้ำจากการกระแทกกับพื้น โถส้วม เตียง โต๊ะ หรือสิ่งอื่น)
หลังจากนอนราบลงนอนกับพื้น(ศีรษะต่ำลงได้ระดับเดียวกับลำตัวหรือต่ำกว่า) เลือดก็จะไหลไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้น ทำให้ฟื้นคืนสติ หรือมีแรงเพิ่มขึ้นพอจะลุกขึ้นได้ แต่ถ้าลุกขึ้นเร็ว ๆ อาจเวียนศีรษะ และหน้ามืดเป็นลมอีกได้ ถ้าหน้ามืดเป็นลมแล้วยังไม่ล้มฟุบลง หรือนอนลง ยังคงยืนหรือนั่งอยู่เพราะถูกเบียดไว้ หรือถูกจับไว้ให้อยู่ในท่านั้น สมองจะขาดเลือดมากขึ้นหรือนานขึ้น ทำให้หมดสติรุนแรง และอาจเกิดอาการชัก อุจจาระ ปัสสาวะราด หรืออาจเกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้ เป็นต้น

เมื่อเห็นคนหมดสติ ล้มฟุบลง จึงไม่ควรเข้าไปอุ้มหรือประคองให้อยู่ในท่านั่งหรือในท่าที่ศีรษะสูงกว่าระดับตัว เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายเพิ่มขึ้น ควรปล่อยให้นอนหงายราบเหยียดยาว แล้วรีบคลำดูชีพจรที่คอและที่ขาหนีบ ถ้าคลำไม่ได้ และคนไข้ไม่หายใจและไม่รู้สึกตัวเลย ให้รีบฟื้นชีวิต( cardio – pulmonary resuscita-tion ) แบบคนไข้หัวใจหยุด( cardiac arrest ) ถ้าคลำได้ และคนไข้ยังหายใจเองได้ แม้จะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม ให้คลายเสื้อผ้าและส่วนที่บีบรัดร่างกายส่วนต่าง ๆ ออกให้ของฉุน ๆ ถ้ามี (เช่น แอมโมเนีย หัวหอมทุบหรือผ่าซีก ยานัตถ์ หรืออื่น ๆ) อย่าให้คนมาล้อม (มุงดู)คนไข้ ใช้พัดโบกลมให้คนไข้โดยเฉพาะบริเวณหน้า บีบนวดตามแขนขา ใช้ผ้าเย็น ๆ หรือผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า แต่อย่าประคองศีรษะ และลำตัวให้สูงขึ้น แล้วสักพักหนึ่ง คนไข้จะรู้สึกตัวและตื่นขึ้นเอง (แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ คนไข้ก็จะรู้สึกตัวและตื่นขึ้นเอง หลังจากนอนราบอยู่กับพื้นจนสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงจนพอเพียงกับอาการขาดเลือดแล้ว)
เมื่อคนไข้ดีขึ้นแล้ว ต้องถามประวัติอาการและหาสาเหตุที่ทำให้คนไข้ “วูบเมื่อเปลี่ยนท่า” ซึ่งเป็นอาการของ “ความดันเลือดตกเมื่อเปลี่ยนท่า”วิธีที่จะช่วยยืนยันการวินิจฉัย ”ภาวะความดันเลือดตกเมื่อเปลี่ยนท่า” ก็คือ การวัดความดันเลือดในท่านอนกับท่ายืน หลังจากที่คนไข้ฟื้นจากอาการหน้ามืดเป็นลมแล้ว ถ้าพบว่าความดันเลือดตัวบนในท่ายืนต่ำกว่าในท่านอนมากกว่า 30 ทอรร์ (มิลลิเมตรปรอท) ก็จะยืนยันการวินิจฉัยภาวะนี้ได้

เมื่อวินิจฉัยภาวะนี้ได้แล้ว ก็ต้องสืบหาสาเหตุของภาวะนี้จากการชักประวัติและตรวจร่างกาย
สาเหตุที่พบบ่อย เช่น

1. การขาดน้ำหรือเลือด
 เมื่อร่างกายขาดน้ำ เช่น ไม่มีน้ำดื่ม อาเจียนมาก ท้องเดิน(ท้องร่วง)มาก หรือขาดเลือด(เช่น เสียเลือดจากบาดแผล เลือดออกในกระเพาะลำไส้(เช่น คนไข้รายนี้) เสียเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคพยาธิปากขอในลำไส้ โรคเม็ดเลือดแดงแตก( hemolysis ) หรืออื่น ๆ จนคนไข้ซีดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น

2. การขาดการออกกำลังกาย เช่น นอนอยู่กับเตียงนาน ๆ ทำงานนั่งโต๊ะเป็นประจำ ไม่ได้ออกกำลัง
กายร่างกายอ่อนแอ หรือเป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น

3. การกินยาบางอย่าง เช่น ยาขับปัสสาวะ (เช่น คนที่ต้องการลดน้ำหนักเร็ว ๆ เพื่อหลอกตนเอง
หรือผู้อื่น) ยาลดความดันเลือด ยาระบบประสาท เป็นต้น

4. โรคทางระบบประสาท โดยเฉพาะที่ไปกระทบกระแทกประสาทอัตโนมัติ เช่น โรคเบาหวานที่
เป็นมานานโดยเฉพาะที่ไม่ได้คุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี จะทำให้ความดันเลือดตกเมื่อเปลี่ยนท่าได้มาก ๆ คนสูงอายุที่ระบบประสาทเสื่อมหรือเสียไป เป็นต้น

เมื่อตรวจพบสาเหตุก็ต้องรักษาสาเหตุด้วยถ้ารักษาได้ อาการ “วูบเมื่อเปลี่ยนท่า” ก็จะหายขาด
ถ้ารักษาสาเหตุไม่ได้ เช่น คนสูงอายุที่ระบบประสาทเสื่อมลงหรือเสียไป ก็ต้องแนะนำให้คอยระวังตัวอย่าลุกขึ้นจากเตียงเร็วนัก ถ้าลุกขึ้นจากท่านอน ก็ให้นั่งสักครู่
ระหว่างที่นั่งอยู่ก็บิดตัวไปมากระดกเท้าขึ้น ๆ ลง ๆ และเขย่งเท้าให้หัวเข่ายกขึ้นยกลงสักพัก แล้วจึงลุกขึ้นยืนโดยจับพนักเตียง หรือพนักเก้าอี้ไว้
เมื่อยืนขึ้นมาแล้ว ก็ควรยืนอยู่กับที่สักพัก โดยมือยังจับพนักเตียงหรือพนักเก้าอี้ไว้ ถ้าเวียนศีรษะหรือหน้ามืดให้รีบนั่งลงหรือนอนลงทันทีเมื่ออาการดีขึ้น จึงลุกขึ้นยืนใหม่
ในขณะที่ยืนจับพนักเตียงหรือพนักเก้าอี้อยู่ ควรจะเขย่งเท้าขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อขาได้ทำงานจะได้เกิดการขับไล่เลือดไม่ให้ไหลตกลงไปที่ขาและเท้าได้ จะได้ไม่เกิดอาการ “วูบ”
การยืนเฉย ๆ นาน ๆ โดยไม่ได้ขยับขาในคนที่ร่างกายอ่อนแอ หรือขาดน้ำขาดเลือด (เช่น ในคนไข้รายนี้) จะทำให้เลือดตกไปที่ขาและเท้าทำให้สมองขาดเลือด และเกิดอาการ “วูบ” ได้

การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ ระวังการดื่มน้ำและกินอาหาร (ไม่ให้เกิดการอาเจียน อุจจาระร่วง ฯลฯ) การรักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายโดยเร็วหรือให้ดีที่สุด และอื่น ๆ จะทำให้รอดพ้นจาก “การวูบเมื่อเปลี่ยนท่า” หรือ “การวูบในท่ายืน” ได้และจะทำให้สุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงขึ้น และรอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หรือดีขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ได้ด้วย

การป้องกันไว้ก่อน ย่อมดีกว่าการปล่อยให้ “วูบ” จนหัวร้างข้างแตกเสียหน้า เสียตำแหน่ง (อย่างกรณีนักมวย “เขาค้อ”) เสียเงิน (เข้าโรงพยาบาล) และเสียอะไรต่อมิอะไรอื่น ๆ มิใช่หรือ

(เรา:คำตอบข้างต้นนึกถึงตอนหลวงปู่ล้มในวันปีใหม่ ท่านให้คนออกไป ไม่เข้ามายุ่งกับท่าน แล้วท่านนอนราบกับพื้น / การดื่มน้ำเยอะขนาดขวด1.5ลิตรในช่วงบ่ายที่ออกไปก่อสร้าง จะเดินกลับมาดื่มน้ำบ่อยๆ การเดินคือการออกกำลังกายด้วย)


หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่3) https://www.doctor.or.th/article/detail/3906
คนไข้รายที่ 2 : เป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง ขณะกำลังยืนสอนนักเรียนแพทย์และแพทย์ประจำบ้านอยู่ข้างเตียงคนไข้ ก็เกิดอาการ “วูบ” ล้มลง และหมดสตินักเรียนแพทย์รีบพยุงศีรษะและลำตัวของอาจารย์ขึ้น เพราะเห็นว่าพื้นห้องของหอคนไข้ทั่วไป(หรือที่ชาวบ้านชอบเรียกว่า “หอคนไข้อนาถา”) นั้นไม่สะอาดนัก กว่าจะหาเตียงให้อาจารย์นอนได้ ซึ่งไม่ใช่ของง่าย(เพราะโดยปกติเตียงในหอคนไข้จะเต็มทุกเตียง จึงต้องขอให้คนไขที่ดีขึ้นแล้วลุกออกจากเตียงก่อน แล้วคลุมผ้าปูที่นอนใหม่ทับลงไปและเปลี่ยนปลอกหมอนใหม่ เพื่อจะได้ไม่ติดเชื้อโรคจากคนไข้เดิม) ก็เสียเวลาไปหลายนาที อาจารย์จึงมีอาการชักและเกร็งและตาค้าง ทำให้แพทย์ประจำบ้านคิดว่าหัวใจของอาจารย์หยุดเต้น จึงรีบทุบหน้าอีกและจะทำการฟื้นชีวิต (ใส่ท่อช่วยหายใจ และขย่มหน้าอกเพื่อนวดหัวใจ ฯลฯ)  แต่โชคดีที่มีคนสังเกตเห็นว่าอาจารย์ยังหายใจเองได้ แม้จะไม่รู้สึกตัว และยังพอจะคลำชีพจรได้ อาจารย์จึงไม่ต้องเจ็บตัวจากการใส่ท่อช่วยหายใจ และการขย่ม(กระแทก)หน้าอก จึงได้มีการให้น้ำเกลือ และให้ยากระตุ้นหัวใจและความดันเลือดแทน หลังจากนั้น ก็มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและปรากฏว่า คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ ถึงตอนนี้อาจารย์ก็รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับรู้สึกงงว่า ทำไมตนถึงมานอนบนเตียงคนไข้ แต่ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่

เมื่อดีขึ้นแล้ว จากการถามประวัติ ปรากฏว่าอาจารย์คนนี้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปกติก็กินยาลดความดันเลือดอยู่เป็นประจำ แค่คืนก่อนนอนไม่ค่อยหลับ ตอนเช้ารู้สึกปวดมึนศีรษะจึงลองวัดความดันดู ปรากฏว่าสูงขึ้นไปกว่าปกติ 20-30 ทอร์ (มิลลิเมตรปรอท) จึงเพิ่มยาความดันในมื้อเช้าอีกเท่าตัว (จากครึ่งเม็ดเป็นหนึ่งเม็ด) และรีบมาโรงพยาบาลเพื่อให้ทันสอนนักเรียนแพทย์และแพทย์ประจำบ้าน โดยไม่ได้กินอาหารเช้า เมื่อสอนไปสักพัก รู้สึกหน้ามืดและเวียนศีรษะ ก็คิดว่าไม่เป็นไรยังคงยืนสอนต่อไปจนในที่สุด ก็ไม่รู้ตัวและล้มฟุบลง นักเรียนแพทย์โดยเจตนาดีที่จะไม่ให้อาจารย์ต้องนอนอยู่กับพื้น จึงได้ประคองลำตัวและศีรษะของอาจารย์ขึ้นให้อยู่ในท่านั่ง กว่าจะหาเตียงให้อาจารย์นอนได้ ก็ทำให้สมองขาดเลือดไปนานเกิดอาการชักเกร็งและตาค้าง และคลำชีพจรที่คอและขาหนีบไม่ได้ (ที่คลำไม่ได้ อาจเป็นเพราะควากฉุกละหุก หรือความตื่นเต้น หรืออาจเป็นเพราะความดันเลือดตกลงอย่างมาก จนทำให้คลำได้ยาก)จึงทำให้เข้าใจว่า “หัวใจหยุดเต้น” (cardiac arrest) จึงเตรียมใส่ท่อช่วยหายใจ และขย่มหน้าอกเพื่อนวดหัวใจ

แต่คนไข้ “หัวใจหยุด” มักจะหยุดหายใจภายในเวลา 1-2 นาที แต่อาจารย์คนนี้ยังหายใจอยู่ และมีผู้สังเกตเห็นและฉุกคิดได้ว่าไม่ใช่ภาวะหัวใจหยุดเต้น อาจารย์คนนี้จึงรอดพ้นจากการเจ็บตัวไป
เมื่อได้นอนราบกับเตียงแล้วสักพัก ก็ตื่นขึ้นมาเองได้ น้ำเกลือและยากระตุ้นหัวใจและความดันเลือดคงมีส่วนช่วยด้วย แต่ถึงจะไม่ให้ยา โดยทั่วไปแล้วคนไข้ที่เป็นลมหน้ามืดในท่ายืนเมื่อได้นอนราบลงกับพื้นแล้วสักพักก็จะดีขึ้นเอง (บังเอิญรายนี้ลูกศิษย์คิดจะช่วยอาจารย์ไม่ให้สกปรกและน่าเกลียด จึงได้ประคองอาจารย์ขึ้นไว้ในท่านั่ง จึงเกิดอาการมากขึ้น) 

อาการ “วูบ” ของอาจารย์แพทย์รายนี้ก็คล้ายคลึงกับอาการ “วูบ” ของคนไข้รายแรก คือ เกิดจาก “ความดันเลือดตกในท่ายืน” หรือเลือดไหลลงไปที่ขาและเท้าในท่ายืนมากกว่าปกติ จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ และทำให้เกิดอาการ “วูบ” ขึ้น

แต่สาเหตุที่ทำให้ “วูบในท่ายืน” ของอาจารย์แพทย์รายนี้ ต่างจากในคนไข้รายแรกที่เกิดจากการเสียเลือดจากแผลในกระเพาะลำไส้ เพราะของอาจารย์แพทย์รายนี้เกิดจากสาเหตุอย่างน้อย 4 ประการ

1.การอดนอนหรือการนอนไม่ค่อยพอในคืนก่อนทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานไม่ได้สมบูรณ์เต็มที่ในวันต่อมา จึงไม่สามารถสอนนักเรียนนาน ๆ คนที่อดนอนจึง “วูบ” หรือเป็นลมได้ง่าย

2.การกินยาลดความดันเลือดอีกเท่าตัวในตอนเช้าวันนั้นเพราะรู้สึกปวดมึนศีรษะแล้วไปวัดความดันเลือดสูงกว่าปกติ
อันที่จริง คนที่อดนอนก็อาจปวดมึนศีรษะได้เป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าพอปวดมึนศีรษะก็คิดว่าเป็นอาการปวดมึนศีรษะเกิดจากความดันเลือดสูง
อนึ่ง คนที่นอนไม่หลับ มักจะเครียด หรือหงุดหงิด คนที่ไม่สบาย เช่น ปวดมึนศีรษะอยู่ก็มักจะเครียดจากความกลัว หรือความไม่สบายกายได้เช่นเดียวกัน
ในขณะที่เครียด ความดันเลือดมักจะสูงกว่าปกติเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จึงไม่ควรกินยาลดความดันเลือดเพิ่มขึ้น เพราะการกินยาลดความดันเลือดเพิ่มขึ้นเป็นการแก้ปลายเหตุ ที่จริงควรกินยาแก้เครียดและยาแก้ปวดศีรษะจะดีกว่า ถ้าไม่สามารถนอนพักผ่อนได้ (การนอนหลับพักผ่อนจะเป็นการแก้สาเหตุมากกว่าการกินยา)
เมื่อไปกินยาลดความดันเลือดเพิ่มขึ้น จึงทำให้ความดันเลือดตกลงไปมากเมื่อความเครียดบรรเทาลง หรือหมดไป
เมื่อความดันเลือดตกลงไปมาก จึงทำให้เกิดอาการ “วูบ” ขึ้น

3.การงดอาหารเช้า แล้วไปทำงานแบบท้องว่าง ทำให้ร่างกายขาดพลังงานได้ง่าย คนที่อดอาหารจึง “วูบ” หรือเป็นลมได้ง่าย

4.อากาศหรือบรรยากาศ อากาศในหอคนไข้มักจะมีกลิ่นอับหรือกลิ่นที่ไม่ชวนดมต่าง ๆ และไม่มีการถ่ายเทอากาศ(ไม่มีลมพัด) ให้คลายร้อน และให้สดชื่นมากนัก อีกทั้งยังถูกรุมล้อมด้วยนักเรียนแพทย์ และแพทย์ประจำบ้านในการสอนข้างเตียงเช่นนี้ ทำให้อึดอัดมากขึ้น บรรยากาศที่อึดอัดร้อนอบอ้าว หรือความจอแจ คับแคบ เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งสำหรับการ “วูบ” หรือเป็นลมได้ง่าย
“ถ้าเราเข้าใจอาการ “วูบ” จากการเป็นลมหน้ามืดเช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถป้องกันและรักษาอาการ “วูบ” แบบนี้ได้เอง

เพราะถึงไปโรงพยาบาล การรักษาก็ไม่แตกต่างกัน นั่นคือให้นอนพัก และรักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ “วูบ”



หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่4) https://www.doctor.or.th/article/detail/4017
การรักษาและป้องกันอาการ “วูบ” ในกรณีนี้เป็นสิ่งที่คนไข้จะต้องปฏิบัติเองทั้งนั้น แพทย์และพยาบาลไม่สามารถปฏิบัติแทนได้ อย่างมากก็ได้แต่แนะนำและอธิบายให้คนไข้เข้าใจเท่านั้น
อนึ่ง การไปโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทาง (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอวัยวะหนึ่งอวัยวะใด) มากอาจจะถูกสงสัยว่า “วูบ” จากโรคหัวใจ “วูบ” จากโรคสมองหรืออื่น ๆ
ทำให้ต้องตรวจพิเศษ (ตรวจแล็บ) เพิ่มเติม เสียเวลา เสียเงิน เจ็บตัว และอาจเกิดผลแทรกซ้อนจากการตรวจดังกล่าวได้
ดังนั้น ถ้ามีอาการ “วูบ” แบบหน้ามืดเป็นลม พอนอนพักแล้วหายเป็นปกติ และสามารถหาสาเหตุด้วยตนเองได้ ให้แก้สาเหตุนั้น และในขณะที่รู้สึกหน้ามืดหรือเริ่ม “วูบ” รีบนอนราบลง ก็จะไม่เป็นอันตรายได้



หมอชาวบ้าน วูบ(ตอนที่5) https://www.doctor.or.th/article/detail/4027 “โรคที่คุณเป็นนี้จะหายเร็วขึ้น ถ้าคุณปฏิบัติรักษาตนเองให้ดี เช่น อย่าตรากตรำทำงานมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนได้ดี กินอาหารร้อนและเครื่องดื่มร้อน ๆรักษาความอบอุ่นของร่างกาย อย่าเข้าออกสถานที่ที่มีความร้อนเย็นต่างกันมาก ๆ เป็นต้น


หญิง : “แล้วที่การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์คราวก่อน บอกว่าสมองดิฉันขาดเลือดเพราะหลอดเลือดอุดตันนั้น แล้วหมู่นี้ ความจำของดิฉันก็ไม่สู้จะดีเสียด้วย”
หมอ : “ที่จริงหมอคนที่ท่าน เอกซเรย์เขาเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เขาจึงอยากให้ทำใหม่ใน 2-3 วัน
“แต่คุณต้องจำไว้ว่า หมอเอกซเรย์เขาไม่ได้ตรวจร่างกายคุณและไม่ได้ถามประวัติคุณ เขาเพียงแต่อ่านเอกซเรย์ซึ่งเปรียบเสมือนรูปภาพ (หรือเงาของอวัยวะ)ของคุณเท่านั้น จึงอาจผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าไปพยายามวินิจฉัยถึงการทำงานของอวัยวะนั้น ๆ เพราะรูปภาพของคุณก็บอกแต่เพียงว่า รูปร่างคุณเป็นอย่างไร หน้าตาสวย หรือไม่สวยก็เท่านั้นเอง ส่วนคุณจะทำงานได้เก่งหรือไม่ ทำงานได้ดีหรือไม่ รูปภาพของคุณย่อมบอกหมอไม่ได้
“เช่นเดียวกับความจำของคุณ ความจำนั้นเป็นการทำงานของสมอง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะไม่สามารถบอกได้ว่าสมองของคุณจำได้มาก หรือจำได้น้อยเพียงไร มันบอกได้แต่ความปกติทางกายภาพเท่านั้น

“อนึ่ง ถ้าหมอที่ส่งคุณไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เขียนไม่ไปส่งตรวจว่า เขาสงสัยภาวะสมองขาดเลือด หมอเอกซเรย์ก็อาจจะเกิดความรู้สึกคล้อยตามไปได้ในขณะที่อ่านเอกซเรย์นั้น
“การแปลผลการตรวจพิเศษ (การตรวจแล็บ) ต่าง ๆ จึงต้องพิจารณาร่วมไปกับอาการ และผลการตรวจร่างกายเสมอ มิฉะนั้นจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย”
หญิง : “ถ้าอย่างนั้นที่ดิฉันไปตรวจก็เสียเงินไปเปล่า ๆ สิคะ”
หมอ : “ครับ การไปโรงพยาบาลเอกชนต่าง ๆ จึงควรจะหมอที่ไว้ใจได้ในโรงพยาบาลนั้น ๆ ก่อน ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป บางครั้งเรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ต้องเสียเงิน เสียเวลา และอาจจะต้องเจ็บตัวจนเกินความจำเป็นด้วย”
หญิง : “แล้วทำไมแพทยสภา หรือแพทยสมาคมไม่จัดการให้โรงพยาบาลเหล่านี้ตรวจรักษาให้ถูก-ต้องล่ะคะ”
หมอ : “เพราะการตรวจรักษาต่าง ๆ มีเกณฑ์กว้างมาก และการชี้ว่า ผิดหรือถูกนั้นมักไม่มีเส้นแบ่งชัดเจน เช่นในกรณีของคุณ ถ้าคุณถามผมว่าผมแน่ใจเต็มที่เลยหรือว่า สมองคุณไม่มีภาวะขาดเลือด ผมก็ต้องตอบว่า ผมไม่แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะแน่ใจเพียง 98-99 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่หมอคนอื่นเขาอาจจะแน่ใจเพียง 50-60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 40-50 เปอร์เซ็นต์นั้น เขาสงสัยว่าสมองคุณอาจจะขาดเลือด เขาจึงส่งคุณไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

“เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าเขาตรวจรักษาผิด ก็คงจะกล่าวไม่ได้ แต่จะกล่าวว่าเขาตรวจรักษาถูก ก็คงจะกล่าวไม่ได้เช่นเดียวกัน
“แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้คุณเสียเงินมากขึ้น และอาจจะต้องเสียเวลามากขึ้น ถ้าคุณเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล”
หญิง : “คุณหมอพูดเข้าข้างพวกเดียวกันใช่มั้ยคะ คุณหมอไม่กล้าพูดว่าเขาหลอกเอาเงินจากคนไข้โดยการตรวจรักษาที่ไม่จำเป็น ใช่มั้ยคะ”
หมอ : “ที่จริง ผมพยายามพูดอย่างเป็นกลางที่สุด เพราะความจำเป็นหรือไม่ จำเป็นนั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแต่ละคน
“คนไข้บางคน ชอบให้ตรวจโน่นตรวจนี่มาก ๆ เพราะเขารู้สึกว่าโก้ได้ตรวจกับเครื่องมือใหม่ ๆ แปลก ๆ เสียเงินมาก ๆ แล้วโก้ เอาไปคุยโอ้อวดกับญาติมิตรได้เป็นปี
“แต่บางคนก็ไม่อยากตรวจอะไรเลย แม้แต่การตรวจเลือดง่าย ๆ ก็ไปอ้างว่าเป็นบาปที่จะเจาะเลือดพระอรหันต์
“คนที่ชอบตรวจมาก ๆ ก็จะกล่าวว่า การตรวจนั้น ๆ จำเป็นและถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่ชอบก็จะกล่าวว่า ไม่จำเป็นและไม่ถูกต้อง
“ทางที่ดีที่สุดก็คือ คนไข้จะต้องรักษาสิทธิของตนเอง เช่น โดยการถามแพทย์ถึงเหตุผลและผลดีผลเสียของการตรวจรักษาต่าง ๆ แล้ว วินิจฉัยด้วยตนเองว่า ตนพร้อมหรือไม่พร้อม สำหรับการตรวจรักษานั้น ๆ”
หญิง : “แล้วหมอที่ไหนเขาจะมาคอยอธิบายให้ฟังเหมือนคุณหมอล่ะคะ ถามเขา 2-3 คำ เขาก็โมโหแล้ว”
หมอ : “คุณก็ควรเห็นใจหมอบ้าง ถ้าเขาตรวจคนไข้มาหลายชั่วโมง ไม่ได้พัก แล้วก็ยังมีคนไข้รออีกตั้งแยะ ถ้าคุณไปเซ้าซี้เขาตอนนั้น เขาก็อาจจะมีอารมณ์บ้าง เพราะเขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่”
หญิง : “ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยให้โรงพยาบาลเอกชนต่าง ๆ หลอกเงินคนไข้ต่อไป ใช่มั้ยคะ”
หมอ : “ไม่ใช่อย่างนั้น ทางแพทยสภา แพทย์สมาคม และกระทรวงสาธารณสุขเขาพยายามจะควบคุมดูแลให้โรงพยาบาลเอกชนต่าง ๆ ปฏิบัติให้ถูกต้อง 
“แต่คนที่รู้ดีที่สุดว่า โรงพยาบาลเอกชนใด หรือแพทย์คนใด ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ก็คือคนไข้ หรือประชาชนที่ไปใช้บริการในโรงพยาบาลนั้น ๆ
“ถ้าคนไข้หรือประชาชนที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลหนึ่ง โรงพยาบาลใดไปพบไปเห็นบริการที่ไม่ถูกต้อง หรือสงสัยว่าไม่ถูกต้อง แล้วไม่ร้องเรียนไปที่แพทยสภาหรือกระทรวงสาธารณสุข แพทยสภาหรือ กระทรวงสาธารณสุขก็คงไม่ทราบ หรือถ้าทราบ แต่ไม่มีผู้เสียหายหรือไม่มีหลักฐาน ที่จะฟ้องร้องหรือเอาผิดกับแพทย์หรือโรงพยาบาลนั้น แพทยสภาก็ไม่สามารถเอาผิดกับแพทย์ที่ประกอบวิชาชีพอย่างไม่ถูกต้อง และกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่สามารถสั่งปิดโรงพยาบาลนั้น ๆ ได้

“ดังนั้น คนไข้และประชาชนจึงเป็นคนที่ตรวจสอบและดูแลการกระทำที่ไม่ถูกต้องของแพทย์ และโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้ดีกว่าแพทยสภาแพทย์สมาคม และกระทรวงสาธารณสุข อย่างน้อยก็โดยการเล่าให้ฟังญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงฟังต่อ ๆ กันไปและงดใช้บริการของแพทย์นั้นหรือโรงพยาบาลนั้น
“ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนไข้และประชาชน อย่าไปยึดติดกับการบริการข้างเคียง เช่น ตึกและห้องที่หรูหรา เครื่องมือเครื่องไม้มาก คนรับใช้(บริกร) มาก มีห้องหรูหรา ห้องทำผม บางแห่งมีห้องนวด (ทั้งแบบกายภาพบำบัด และแบบอาบอบนวด) ด้วยเพราะบริการข้างเคียงเหล่านี้จะทำให้การแพทย์มีลักษณะเป็นการแพทย์พาณิชย์มากขึ้นและเพิ่มขึ้น

“ที่น่าวิตกก็คือ ประชาชนในปัจจุบันยึดติดกับความฟุ่มเฟือยและวัตถุนิยมเหล่านี้ จึงทำให้การแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ กลายเป็นการแพทย์พาณิชย์เพิ่มขึ้นๆ แล้วก็มอมเมาให้ประชาชนชอบบริการแบบนี้มากขึ้นๆ โรงพยาบาลเอกชนจึงเกิดมากขึ้น ๆ เหมือนดอกเห็ดในฤดูฝน”
หญิง : “โอ้โฮ คุณหมอเลยระบายเสียยกใหม่ แล้วดิฉันจะไปเล่าให้พี่ ๆ น้อง ๆ และเพื่อนฝูงฟังค่ะ”
หมอ : “ดีแล้ว เพราะคุณทำให้หมอเสียเวลาไปพอสมควรทีเดียว คุณจึงควรชดใช้ด้วยการให้การศึก-ษาแก่ญาติมิตรต่าง ๆ ต่อไป จะได้ไม่ต้องมาต่อว่าหมอเกี่ยวกับพฤติกรรมของหมอคนอื่นอีก”
หญิง : “คุยกับหมอจนเลือดขึ้นหน้าและขึ้นสมองแล้ว ดิฉันเลยหายเวียนหัวแล้วค่ะ”
หมอ : “ดีมาก กำลังใจและความตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้สำเร็จ เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการหายจากอาการและหายจากโรคได้ด้วย”

คนไข้รายนี้อายุเพียงประมาณ 30 ปี จึงไม่น่าจะเป็นโรคสมองขาดเลือดจากหลอดเลือดสมองตีบหรือตัน และอาการเวียนหัวบ้านหมุนก็สมพันธ์กับการเปลี่ยนท่าของศีรษะอย่างชัดเจน จึงน่าจะเป็นความผิดปกติของหูชั้นใน จากการอดนอน การแพ้อากาศ การเป็นไข้หวัด หรืออื่น ๆ จึงอาจเป็น ๆ หาย ๆ ได้เมื่อเกิดสาเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น การรักษาต่าง ๆ ได้กล่าวไว้ในการสนทนาข้างต้นแล้ว
























******************************************************************************

หน้ามืด
 เกิดจากการที่สมองขาดเลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว อาจเกิดจากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย กินยาหรือดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาท แต่หากมีอาการต่อเนื่อง2-3 วัน อาจเป็นเพราะความดันโลหิตต่ำ หรือโลหิตจาง
http://101goodhealth.blogspot.com/2015_07_01_archive.html


 วูบ หรือหมดสติ หรือลมชัก 
อาจเกิดจะระบบป้องกันตนเองของร่างกายมนุษย์ เมื่อเลือดดำที่กลับคืนสู่หัวใจ และเลือดแดงจากหัวใจส่งเลี้ยงสมอง ไหลช้าไหลน้อยกว่าปกติ ซึ่งมาจากความเครียดในอารมณ์ ที่มุ่งสู่เป้าหมายและปัจจัยเวลาในชีวิตมากและนานเกินไป ทำให้พักผ่อนน้อย นอนหลับไม่สนิท  ร่างกายจึงต้องป้องกันตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
   วิธีป้องกันและแก้ไขด้วยตนเอง หรือคนใกล้ตัวสามารถช่วยเหลือได้ โดยนวดมือจากจุดจับชีพจรถึงปลายนิ้วทุกนิ้ว มือซ้ายนวดมือขวา มือขวานวดมือซ้าย ให้คนป่วยหายใจลึกๆยาวๆทางจมูกเท่านั้น ทำต่อเนื่องสัก 3-4 นาที แล้วเอามือขวาของผู้ป่วยมาแตะที่บ่าซ้าย ของผู้ป่วยเอง แตะเบาๆเนิบๆสัก30วินาที ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆให้หมด จากนั้นให้ดื่มน้ำหรือจิบน้ำสัก 1-2 อึก อาการจะดีขึ้นแล้ว ทำอีกสักหนึ่งรอบ ก็สามารถจะหายเป็นปกติได้
    เมื่อค่อยยังชั่วแล้ว อย่าลืมทำกายบริหาร ปรับสมดุล
ดื่มน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติชั่วโมงละ 1 แก้ว สังเกตปัสสาวะให้ใส เป็นใช้ได้ และหายใจลึกๆยาวๆเข้าออกทางจมูกเท่านั้น
    อาการนี้เครื่องมือแพทย์ปัจจุบัน ไม่สามารถตรวจพบได้ว่าเกิดจากอะไร  เพราะเส้นเลือด ไม่ตีบ ไม่ตัน ไม่แตกความดันก็เป็นปกติ แต่เป็นการไหลช้าไหลน้อยของเลือด ซึ่งเครื่องมือแพทย์ปัจจุบันตรวจไม่ได้ ตรวจไม่พบ

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ยาคูลท์



 เรื่องลับของยาคูลท์..ที่คุณ(อาจ)ไม่เคยรู้!!
กระทู้สนทนาเครื่องดื่มชีววิทยา
https://pantip.com/topic/32995094

1.ชื่อเป็น ยา!!!

ยาคูลท์เป็นนมเปรี้ยวสัญชาติญี่ปุ่น 1000%แปลกตรงที่ชื่อไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นทั้งที่ประเทศนี้ชาตินิยมจัดมาก YAKULT เป็นภาษา Esperanto(ภาษาประดิษฐ์ของหมอรัสเซีย) มาจากคำว่า "Jahurto"  มีความหมายเท่ากับ "yoghurt" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "การมีอายุยืนยาววววววว"!!!

2.ยาคูลท์เคยขวดแก้ว 
ตั้งแต่ปี 1935 ... "ยาคูลท์" เคยใช้ขวดแก้วใสกริ้งมาตลอด ๆ สรีระของขวดมีแรงบันดาลใจจาก " Kokeishi" ตุ๊กตาโบราณ จนกระทั่งปี 1968 ปรับเปลี่ยนมาใช้ขวดพลาสติกแบบที่เราเห็น ๆ ในปัจจุปัน เพราะ "ต้นทุนถูกกว่า"และ"น้ำหนักเบากว่า"ขวดแก้ว-รวมกันหลายขวดก็หลายกิโล  ทำให้สาวยาคูลท์ในยุคใหม่ไม่ต้องแบกขวดแก้วหนักเกินเหมือนในอดีต!


3.ถามสาวยาคูลท์...ดูสิคะ 
เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อยาคูลท์ในอดีตเป็นแม่บ้าน การมีคนส่งยาคูลท์เป็นผู้หญิงและแนะนำเรื่องสุขภาพให้ผู้หญิงด้วยกันฟัง จะทำให้รู้สึกสนิทใจกันมากกว่า ประหนึ่งรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงนั่งเม้าส์ม้อยส์ เพราะฉะนั้น "สาวยาคูลท์ "จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1963!!

4.ตั้งแถว – ตบมือ – สู้โว้ย!!
บริษัทยาคูลท์ประเทศญี่ปุ่นมีธรรมเนียมแสนเก๋จนต้องยกนิ้วให้ เพราะพนักงานในบริษัทยาคูลท์ และ พี่ ๆ ร.ป.ภ.จะตั้งแถวตบมือทุกครั้ง 
เมื่อสาวยาคูลท์ญี่ปุ่นออกไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ-สู้โว้ย!!!!

5.อหิวาตกโรค จุดพลิกยาคูลท์ไทย 
จุดที่พลิกผันจริง ๆ  คือ...เมื่อปี 2515 เกิดอหิวาตกโรคระบาดแถวปากน้ำ จ.สมุทรปราการ บริษัทยาคูลท์ไทยนำยาคูลท์เพื่อเยียวยาอาการผู้ป่วย ซึ่งตอนนั้นมีที่อาการหนักอยู่ 3 คน ซึ่งถ้าผู้ป่วยจะใช้ยาคูลท์แทนยาจะต้องหยุดดื่มยาทั้งหมด และต้องดื่มยาคูลท์ต่างน้ำ 
ปรากฏว่าสามชั่วโมงผ่านไป.... คนไข้ที่ดื่มยาคูลท์หยุดถ่าย และกลายเป็นกระแส Talk Of The town ณ.บัดนั้น

6.ยาคูลท์ไทยมีไซส์เดียว???
ยาคูลท์รอบโลกมีไซส์ที่แตกต่างกัน เช่นขวดไซส์ 100 มล. เห็นดาดดื่นที่ สิงค์โปร์ ไต้หวัน และจีน แต่ที่นี่ประเทศไทย มีไซส์เดียวตลอดกาลนั่นคือ 80 มล. และขนาดนี้ก็มีขายเฉพาะ เกาหลี มาเลเซีย และอเมริกาเท่านั้น เพราะไซส์นี้มีจุลินทรีย์แลคโตบัลซิลัสมากกว่า 8,000 ล้านตัว เชื่อว่าเพียงพอสำหรับการสร้างสมดุลภายในลำไส้เหมาะกับคนไทย และที่สำคัญ....ถ้ากระซวกมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียขี้แตกขี้แตนไม่รู้ตัว!!

7.คอคอด...บอกอะไร!!
แค่เห็นเงาก็รู้แล้วว่าเป็นยาคูลท์!!! เพราะขวดนมเปรี้ยวยี่ห้อนี้ดีไซน์ขวดเป็นเอกลักษณ์สุด ๆ โดยเฉพาะ"คอคอด" ซึ่งเชื่อว่าให้ถือสะดวกและลิ้มรสช้าๆ จะได้ไม่ดื่มทีเดียวหมด!!


8.อุณหภูมิที่ยาคูลท์ลั้ลลา!!!
เลือกซื้อยาคูลท์จากตู้แช่ที่เก็บไว้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส  เพราะดีกรีหนาวเยี่ยงนี้จะทำให้ได้จุลินทรีย์ลั้ลลาและพร้อมจะทำงานให้เราได้เต็มทีคะ


ความคิดเห็นที่ 30
https://pantip.com/topic/32995094
แลคโตบาซิลลัส ของยาคูลท์เป็นสายพันธ์ุชิโรต้าครับ (จดลิขสิทธิ์ไว้ด้วย) เป็นสายพันธ์ุที่ผ่านการทดสอบแล้ว ว่าสามารถทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และ มีชีวิตอยู่ในถึงลำไส้ ส่วนนมเปรี้ยวยี่ห้ออื่นจะใช้สายพันธ์ุ แลคโตบาซิลลัสสายพันธ์ุทั่วไป ซึ่งไม่สามารถทนต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้ และจะมีชีวิตรอดไปถึงลำไส้ใหญ่น้อยมากๆ 

นมเปรี้ยวที่ใช้สูตรน้ำตาลน้อย เค้าใช้ส่วนผสม สารเทียมเพิ่มความหวานแทน ซึ่งอันตรายมากๆ และจุลินทรีย์ ตายหมดแล้วครับ เพราะการทำงานของจุลินทรีย์ จะทำการย่อยสลายน้ำตาลให้เป็นกรดแลคติค เมื่อจุลินทรีย์ไม่มีอาหาร(น้ำตาล) ก็จะไม่แข็งแรง หรือ ไม่มีชีวิตอยู่ได้

การดื่มยาคูลท์ ที่เหมาะสม ไม่ควรเกินวันละ 2 ขวดครับ เพราะมีปริมาณเพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน ดื่มเยอะๆ ก็จะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกาย ด้วยเหตุผลนี้ มั้ง ยาคูลท์จึง ไม่ทำขวดใหญ่


https://pantip.com/topic/30620995 ส่วนปริมาณในการดื่ม ควรดื่มประมาณ 1-2 ขวดต่อวัน เพราะสำหรับผลิตภัณฑ์ยาคูลย์ในป.ไทย
มีส่วนประกอบของน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม 
บางคนอาจจะคิดว่าดื่มเยอะ จะได้มีจุลินทรีย์ดีเยอะๆ แต่ว่าจริงๆแล้วมันสามารถอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น

ถ้าเกินจะถูกกำจัดออกไปกับอุจจาระ(ดังนั้น ดื่มเยอะแค่ไหน ก็โดนกำจัดออกอยู่ดี 


ความคิดเห็นที่ 81

https://pantip.com/topic/32995094
เคยถามคนขาย ยาคูลย์ว่า  ทำไมถึงไม่มีรสจืด   
สาวบอกว่า  น้ำตาล(ตัวให้ความหวานนี้ละ)  เป็นอาหารของ จุลินทรีย์   ถ้าตัวอื่นที่บอก น้ำตาลต่ำ จะใส่อย่างอื่นแทน จุลินทรีย์

ความคิดเห็นที่ 38
https://pantip.com/topic/32995094
กนกพรรณ เหตระกูล ลูกสาวเจ้าของธุรกิจยาคูลท์จบโทจากเมืองนอกสามใบ
เคยลงทุนทำหน้าที่เดินขายยาคูลท์แบบสาวยาคูลท์อยู่ 3 เดือน
เธอเล่าถึงสันดานเลว ๆ สาวออฟฟิศบางคนที่ชอบดูถูกคน/สาวขายยาคูลท์กับผู้ชายบางคนที่ชวนเธอไปทำงานอาบอบนวด
และการได้รับน้ำใจไมตรีจากพ่อค้าแม่ขายหลายคนที่ฝากขนมนมเนย/กับข้าวใส่ถุงให้กับเธอ
เพราะสงสารเมตตาสาวหน้าตาดีแต่มาเดินขายยาคูลท์ เธอจะเอากลับบ้านทุกครั้ง บางครั้งก็กินร่วมกับพ่อแม่หรือแบ่งให้กับสาว ๆ ในบริษัทของเธอ
อ่านเจอในคู่สร้างคู่สม และผู้จัดการ

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ของ นายห้างแสง เหตระกูล เป็นพ่อเธอ

ความคิดเห็นที่ 38
https://pantip.com/topic/32995094


ส่วนตัว ทาน 1 ขวดตอนเช้าก่อนทานข้าวทุกวันค่ะ  ทานมาน่าจะ 2 ปีแล้วค่ะ ช่วยเรื่องโรคกระเพาะที่เป็นอยู่ และอาการคันจุดซ่อนเร้น เมื่อก่อนต้องหาหมอ ทานยาเรื่องอาการคัน  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วค่ะ ถ้ามีเดินทางเป็นอาทิตย์แล้วไม่ได้ซื้อยาคูลท์ทาน อาการคันจะกลับมาแบบเห็นผลเลยค่ะ อยากแนะนำสำหรับคนที่มีปัญหาแบบเดียวกันค่ะ


ความคิดเห็นที่ 14

https://pantip.com/topic/32995094
เวลาท้องเสียเราไม่กินยาค่ะ แต่จะกินนมเปรี้ยว
ก่อนอื่นขอให้ถ่ายสัก 2 ครั้งไปก่อน แล้วเริ่มกิน
หมอที่รักษาแบบโภชนาการบำบัดอะค่ะ (ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า)
อธิบายให้ฟังง่ายๆว่าจุลินทรีย์ดี มันจะไปกินจุลินทรีย์ที่ทำให้ท้องร่วงค่ะ และอาการก็จะบรรเทาลง

ซึ่งสำหรับตัวเราได้ผลทุกครั้งนะคะ
เคยบอกเพื่อน มีแต่คนตลกแล้วก็บอกว่าท้องเสียห้ามกินนม
(แต่ว่านมธรรมดาอะ ก็งดนะคะ)
เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่ไม่ชอบกินยาตอนป่วยเหมือนกัน


https://pantip.com/topic/30620995

สำหรับผมดื่มเวลาท้องเสีย ครั้งเดียว 3 ขวด หายโดยไม่ต้องกินยาอย่างอื่น



วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ทำกรอบรูปเอง



กรอบรูปแขวน



https://youtu.be/7X6j5_ioAME

สมอไทย ราชาสมุนไพร / แยมมะขามป้อม


แยมมะขามป้อม

1. นำมะขามป้อม10ลูกไปต้ม 15 นาทีพอ เสร็จแล้วแคะเม็ดออกให้เรียบร้อย ถ้าเอาเปลือกออกได้ก็เอาออกด้วย 
2. นำไปปั่น ชอบละเอียดเนียนๆ ก็ปั่นนานหน่อย ปั่นหยาบๆ ถ้าชอบแบบกรุบกริบมี texture 
3. ตั้งกระทะ เทมะขามป้อมที่ละเอียดแล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลทรายแดงโอวทึ้ง เคี่ยวไปเรื่อยๆ  ยิ่งแห้งยิ่งเก็บได้นาน 

ปิดฝา กินไม่หมดเก็บในภาชนะปิดมิดชินไว้ในตู้เย็นจ้ะ 
รสชาติ 
อย่างแรกที่ผุดมาในหัวคือเปรี้ยว นึกถึงสับปะรด
ต่อมาคือขม คาดว่าใส่น้ำตาลไม่มากพอ แต่ขมแบบทานได้นะ ใครชอบรสเจือขมน่าจะชอบเลย
ท้ายสุดคือหวานนิดๆ
https://pantip.com/topic/33669383

************************
อาหารครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าฉัน หลังตรัสรู้ครบ7วันคือสมอครั้นพระองค์ออกจากสมาธิแล้วพระอินทร์จึงนำผลสมอ
อันเป็นทิพย์โอสถมาจากเทวโลกน้อมเข้าไปถวาย
การ์ตูนเรื่องพุทธศาสดา/ไตรปิฎก/ ตอน18 มุจรินทร์ http://download.buddha-thushaveiheard.com/images/All_page_03/html_Balee_1-40/Balee_SC_18.html


สมอภิเพก สมุนไพรไทย เข้ายาพิกัด ตรีผลา อันได้แก่ผลไม้ 3 อย่างคือ สมอไทย มะขามป้อม สมอภิเพก เป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ รู้ปิดรู้เปิด พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ทานผลไม้ทั้ง3ได้หลังเวลาเที่ยง เพราะท่านถือว่าเป็นยา




สมอไทย ความมหัศจรรย์แห่งผลไม้พุทธโอสถ
http://www.abhaiherb.com/knowledge/thaiherb/8642


ในสมัยพุทธกาล เวลาพระพุทธเจ้าทรงประชวรหรือพระสงฆ์อาพาธมักเสวยหรือฉันผลสมอไทยเป็นยาหลัก จนได้รับยกย่องว่าเป็นพุทธโอสถ ดังมีพระพุทธรูปปางทรงสมอปรากฏเป็นหลักฐาน 



ประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ตอนที่พระองค์ประชวรครั้งสุดท้าย ก็ทรงเสวยผลสมอไทยเหลือไว้ครึ่งลูก และทรงพระราชทานผลสมอไทยครึ่งลูกนั้นแด่พระสงฆ์เป็นทานครั้งสุดท้าย

ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ครั้งพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคผอมเหลือง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนี้แด่พระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ดื่มยาผลสมอดองน้ำมูตรโค” และยังได้เล่าถึงอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเสวยพระชาติเป็นพระหรีตกิทายกเถระ ว่า ท่านได้นำผลสมอถวายแด่พระสยัมภูพุทธเจ้า ทำให้ทรงบรรเทาพยาธิทั้งปวง จึงได้ทรงทำอนุโมทนาว่าด้วยการถวายเภสัชอันเป็นเครื่องระงับพยาธินี้ ท่านเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ หรือจะเกิดในชาติอื่น จงเป็นผู้ถึงความสุขในที่ทุกแห่ง และท่านอย่าถึงความป่วยไข้ ฉะนั้น เพราะการถวายสมอนี่เอง ความป่วยไข้จึงมิได้เกิดแก่ท่านเลย นี้เป็นผลแห่งเภสัชทาน


กำเนิดสมอไทย
ตามตำนานว่า ครั้งหนึ่งพระอินทร์กำลังเสวยน้ำอมฤต บังเอิญน้ำอมฤตหยดหนึ่งหกลงมาบนพื้นโลก กลายเป็นต้นสมอไทย มีสรรพคุณแก้ได้สารพัดโรค จึงเรียกว่าโอสถทิพย์หรือผู้ให้กำเนิดชีวิต 

อีกตำนานว่า ขณะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติผลสุขสมบัติอยู่ใต้ต้นไม้ พระอินทร์ทรงเห็นว่าพระพุทธองค์ควรเสวยพระกระยาหาร จึงได้นำผลสมอทิพย์มาถวาย

"สมอไทยก็มีความพิเศษเหนือสมุนไพรอื่นๆ สมตำนานเล่าขาน คือเป็นสมุนไพรที่มีเกือบครบทุกรส ได้แก่ รสเปรี้ยว ฝาด หวาน ขม เผ็ด แถมยังมีรสเค็มและรสเมาแทรก


ตามตำรายาไทยกล่าวว่า รสของยาบ่งบอกสรรพคุณของยา อย่างกรณีของสมอนี้ 
รสเปรี้ยว มีสรรพคุณกัดเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ ฟอกโลหิต แก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้โรคท้องผูก ชำระล้างเมือกมันในลำไส้
รสฝาด ช่วยสมานแผลในปากไปจนถึงแผลในกระเพาะลำไส้ แก้ท้องเสีย แก้บิด ซึ่งสรรพคุณของรสฝาดช่วยระงับการถ่าย (รู้ปิด) ตรงกันข้ามกับรสเปรี้ยวซึ่งช่วยให้ถ่าย (รู้เปิด) เมื่อลูกสมอไทยมีรสเปรี้ยวและรสฝาดผสานกัน จึงมีสรรพคุณเป็นทั้งยาระบายและยาระงับการถ่าย คือ รู้เปิด รู้ปิด ไปในตัว
รสหวาน บำรุงเนื้อ บำรุงกำลัง
รสขม แก้ไข้ บำรุงน้ำดี ถอนพิษผิดสำแดง ช่วยเจริญอาหาร
รสเผ็ด ขับลมในกระเพาะลำไส้ แก้ปวดท้องจุกเสียด ช่วยย่อยอาหาร
รสเค็ม ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง แก้ประดงน้ำเหลืองเสีย
รสเมา แก้พิษฝี พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้พยาธิต่าง ๆ แก้ริดสีดวง ระงับประสาท ทำให้นอนหลับสบาย 


วิธีกินป้องกันโรค
เพราะสมอไทยมีหลายรส กินสมอไทยอย่างเดียวจึงเท่ากับกินสมุนไพรหลายอย่าง 
ถ้าใครกินวันละ 1 ลูก เป็นประจำทุกวัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จะไม่มากล้ำกราย

วิธีกินเป็น
ยาบำรุงร่างกายแก้อ่อนเพลีย
เอาสมอไทย 1 ลูก แช่ในน้ำ 1 แก้ว เป็นเวลา 1 คืน ตื่นเช้ากินทั้งน้ำและเนื้อพระพุทธเจ้าจึงทรงเลือกสมอไทยเป็นยาสำหรับพระสงฆ์ฉันบำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย 


วิธีกินแก้โรคท้องผูกเรื้อรัง 
สรรพคุณเด่นอีกข้อของสมอไทยคือแก้โรคท้องผูกเรื้อรัง โดยสมอไทยไม่ใช่ยาถ่ายเท่านั้น แต่ยังช่วยชำระล้างลำไส้ให้สะอาด มีสมรรถภาพในการบีบตัว ขับถ่ายได้คล่อง วิธีกินสมอไทยแก้โรคท้องผูก ต้องกินวันละ ๓-๕ ลูกทุกวัน จนอาการท้องผูกหายไป จึงหยุดกิน

วิธีกินแก้อากรไอเจ็บคอ เสียงแห้ง มีเสมหะติดคอ คันคอยิบ 
ให้เอาเนื้อลูกสมอไทยมาผสมเกลือและข่าแก่พอสมควร ตำสามสิ่งนี้ให้แหลกเข้ากันดี แล้วแบ่งอมขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ที่เหลือเก็บแช่ตู้เย็นไว้ใช้ต่อ อาการไอคันคอยิบ ๆ จะหายไป หลังจากอมยาต่อเนื่องราว ๑ สัปดาห์

http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/11/Y9955770/Y9955770.html


ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า จากหมอชาวบ้านเรื่องยาดองสมุนไพร
https://www.doctor.or.th/article/detail/4819

ยาดองชนิดนี้มันอะไรกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า 

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธออาพาตไม่สบาย จงทำยาดองด้วยลูกมะขามป้อมและลูกสมอ ซึ่งพวกเธอนำลูกมะขามป้อมและลูกสมอมาทุบให้แตกแล้วใส่ลงในภาชนะและถ่ายปัสสาวะลงไปในภาชนะนั้น แช่ไว้ประมาณ 7 วัน แล้วก็เอามาฉัน อาพาธของเธอก็จะหาย” นี่แหละ ยาดองสมุนไพรที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสแนะนำภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์
ก่อนที่จะเขียนต่อไปถึงเรื่องวิธีทำ ผู้เขียนใคร่จะเขียนถึงสรรพคุณของลูกมะขามป้อมและลูกสมอสักเล็กน้อย เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงสรรพคุณยาดองสมุนไพรขนานนี้ ว่าใช้แก้โรคอะไรได้บ้าง
ลูกมะขามป้อม รสฝาดเปรี้ยว แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอดี แก้ไข้
ลูกสมอไทยอ่อน รสเปรี้ยว แก้โลหิตในท้อง แก้น้ำดี แก้เสมหะ ระบายอุจจาระ
ลูกสมอไทยแก่ รสเปรี้ยวฝาด ขม แก้ไข้เพื่อลม แก้เสมหะ แก้ไข้เพื่อเสมหะ
ท่านผู้อ่านก็พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าใช้แก้โรคอะไร และยาขนานนี้ถ้าสรรพคุณไม่ดีจริง ๆ พระพุทธองค์ก็คงจะไม่ตรัสสอนแนะนำให้ภิกษุทำใช้ทำฉัน

วิธีทำ ก็ไม่ยากเพียงแต่ท่านนำลูกมะขามป้อมแก่ ๆ มาสัก 9 ลูก หรือมากกว่านี้ก็ได้ แล้วทุบให้แตก ใส่ลงไปในขวดหรือในโหล แล้วก็นำลูกสมอไทยแก่มาเท่ากัน ทุบให้แตกอีกเช่นกัน ใส่ลงไปในขวดหรือในโหลอันเดียวกัน แล้วท่านก่ายปัสสาวะลงไปในขวดหรือโหลนั้น ประมาณสัก 2 หรือ 3 ครั้ง เอาจนท่วมลูกมะขามและลูกสมอ แล้วทิ้งไว้สัก 7 หรือ 9 วันก็ได้ ยิ่งเขย่าขวดได้ทุกวันยิ่งดี

เรื่องกลิ่น ธรรมดาว่า ปัสสาวะของคนเราจะเหม็นสาบ แต่ท่านไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องกลิ่นว่าจะเหม็นสาบอยู่เช่นเดิม ตรงกันข้าม คือไม่มีกลิ่นปัสสาวะเลย แถมจะมีกลิ่นหอมของมะขามป้อมและสมอเสียด้วย

เรื่องสี ธรรมดาว่า ปัสสาวะของคนเราจะมีสีต่าง ๆ กัน บางคนก็มีปัสสาวะสีใส บางคนก็สีชา อันนี้ท่านก็ไม่ต้องวิตกกังวลอีก ลูกมะขามป้อมและลูกสมอมันจะกันสีเหล่านั้นให้หายไปหมด จะกลายเป็นสีใสแจ๋วไปเลย สีใสยิ่งเสียกว่าน้ำฝนอีก ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองทำดู ว่าจะเป็นอย่างที่ผู้เขียนเขียนมาหรือไม่ ประหยัดไม่ต้องลงทุนให้เสียเงินเลย
ผู้เขียนเองก็เคยทำฉันมาแล้วหลายครั้ง และก็ไม่ได้ฉันผู้เดียวด้วย พระ-เณร หลายองค์ก็พลอยได้ฉันน้ำปัสสาวะของผู้เขียนสบายไปหลายองค์ เรื่องสรรพคุณเห็นทีจะไม่ต้องบอกก็ได้ใช่ไหม ว่าแก้โรคอะไร สงสัยอ่านทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอ่านเรื่องสรรพคุณของลูกมะขามป้อมและลูกสมอไทย ท่านก็จะเข้าใจเอง

ขนาดที่กิน กินก่อนอาหารครั้งละประมาณถ้วยชาจีน (ประมาณ 8 ถึง 10 ช้อนชา) ฆราวาสก็ทำกินรักษาโรคได้ ไม่เฉพาะแต่ภิกษุ-สามเณร ที่ผู้เขียนเขียนมานี้ ขอท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งหลงเชื่อง่าย ๆ ขอให้ทดลองทำดูเสียก่อน ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขียนแล้ว ถึงค่อยเชื่อ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ไม่ให้เชื่อใครหรืออะไรง่าย ๆ ขอให้พิจารณาให้เห็นจริงแล้วถึงค่อยเชื่อ