หญ้าไผ่น้ำกก.ละ100 กินทุกวัน6เดือน ช่วยผู่ป่วยฟอกไต
จ.1เม.ย62 วิธีปลูกและต้มหญ้าไผ่น้ำ
หญ้าไผ่น้ำ 4ขีด น้ำ3ลิตร ต้ม29-25นาทีี รักษาไต แต่จะฉี่บ่อย
วิธีกินหลากหลายพิจารณาให้เหมาะกับตัวเรา หลังกินจะฉี่บ่อย ทดลองกินแล้วพบว่าไม่ควรกินตอนเย็นหรือก่อนนอน จะทำให้ต้องลุกมาฉี่เวลานอน
วิธีต้มที่ได้ทดลองวันที่ 9 ก.ย.58 คือ ใส่ไผ่น้ำครึ่งถุง น่าจะครึ่งกก. เติมน้ำให้ท่วม เปิดไฟไม่ต้องปิดฝา ต้มจนเดือด ยาโดนความร้อนจะยุบ ต้มต่ออีก5นาทีจึงปิดไฟ ช้อนหญ้าทิ้ง
รินใส่แก้วสแตนเลสขนาด250ซีซี ดื่มก่อนอาหารเช้า30นาทีถึง1ชม. และบ่ายสองอีก250ซีซียามีสีม่วงคล้ายสีดอกอัญชัน รสจืด ยาที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็น
แต่พบว่าน้ำยาหลังรินใส่ขวดจะมีฟอง ไม่กล้าดื่ม เททิ้ง ซึ่งผิดพลาดเพราะน้ำยานั้นดื่มได้ หลังเทใส่แก้วฟองหายไป
10ก.ย58 เอาหม้อยาที่เหลือยาค้างไว้ มาเติมน้ำจนท่วม ต้มจนเดือด ต้มต่ออีก5นาที ปิดไฟ น้ำสีจางและรสจืดกว่าเมื่อวาน ดังนั้นไม่ควรต้มซ้าอีก
วันนี้กิน1แก้วสแตนเลสคือ400ซีซีหนเดียว
พ.4 พ.ย.58 ต้มไผ่น้ำโดยแบ่งต้มจากทั้งหมดครึ่งๆกก.กว่า ให้ปริมาณเกือบเต็มหม้อต้ม จากนั้นล้างและเติมน้ำให้เต็มจะให้ท่วมต้นไผ่น้ำ ต้มโดยเปิดฝา เดือดแล้วต้มไฟอ่อนอีก 5 นาที ปิดไฟ ช้อนดูน้ำยา พบว่าน้ำสีไม่เข้มเหมือนที่เคยต้ม จึงทิ้งต้นไผ่น้ำแช่ไว้อย่างนั้น ไม่ตักทิ้ง พบว่าเวลาผ่านไปสีเข้มขึ้น ดื่ม400ซีซีก่อนอาหารเช้าครึ่งชม ตอนบ่ายจิบแทนน้ำ
//////////////////////////
ดื่มเป็นชาตามขนาดที่ปรากฏข้างซอง หลังจากกินหญ้าไผ่น้ำหมดแล้ว
////////////////////////
ประสบการณ์จากโรคนิ่ว
จ.5พ.ค.58 ตรวจประจำปีที่สถาบันมะเร็งค่าตรวจ 2,370 เบิกได้1050
น้ำหนัก49.5ก.ก.สูง159.5ซม.
//////////////////////////////
ภัตตาคารบ้านทุ่งดูการปลูกหญ้าไผ่น้ำ https://youtu.be/2NMGnmLqfbo
///////////////////////////////////////////
580323 03หมอเขียวบรรยายอาหารเป็นยา อาหารรักษาโรค ณ ราชเมืองเรือ ราชธานีอโศก วันที่ ๒๓ มีนาคม ๕๘ เผยแพร่เมื่อ 27 มี.ค. 2558
ดูที่08.37 “คนเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จึงต้องใช้เปรี้ยว เพราะนิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากหวานกับมัน มันจะเปลี่ยนเป็นไขมัน นิ่วในถุงน้ำดีคือก้อนไขมัน เปรี้ยวจะไปสลายทำลายฤทธิ์ของหวานกับมัน สลายได้เร็ว เปรี้ยวกับจืดเย็นจะไปทำลายฤทธิ์ของหวานและมัน ทำให้ทุเลาได้เร็ว
90.25 “ใครที่กินเปรี้ยวจนเสียวฟัน อย่ากินเปรี้ยวอีก. แสดงว่าเกินธาตุนั้นแล้ว กินแล้วจะเป็นพิษ เสียวฟัน ไม่สบายแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเสียวฟันทำให้มีโรคมากแล้วจะอายุสั้น“
90.57 “เสียวฟันต้องกินจืดเย็น ไม่ใช่ดูธาตุแล้วต้องกินตามธาตุไปตลอด ชีวิตต้องปรับ“
การวิเคราะห์โรคภัยตามหลักแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ (แนวบุญนิยม)หมอเขียว
โรคที่เกิดจากความไม่สมดุล
โรคนิ่วในไต / นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ / นิ่วในถุงน้ำดี
ไม่ว่านิ่วจะเกิดที่ใดในร่างกาย ก็มีกลไกเดียวกันคือ เมื่อมีภาวะร้อนเกินมาก ๆ ก็จะเผาน้ำในไต กระเพาะปัสสาวะหรือถุงน้ำดีให้แห้ง ตะกอนสสารจึงเกาะกลุ่มรวมกันเป็นก้อน เรียกว่า "นิ่ว" ถ้าเราถอนพิษร้อน น้ำก็จะไม่ถูกเผาให้แห้ง และเคลื่อนออกจากอวัยวะดังกล่าวกระทบเสียดสีกับก้อนนิ่ว ก้อนนิ่วก็จะค่อย ๆ สึกกร่อนเล็กลงเรื่อย ๆ และหลุดออกในที่สุด นิ่วก็จะหายไป เพราะเราไม่ได้ทำต้นเหตุของนิ่วเพิ่ม แต่ถ้าเราไปผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว โดยที่ไม่แก้พฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุ นิ่วก็จะกลับมาเป็นใหม่อีก
ผู้เขียนเห็นว่าควรใช้วิธีผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีนิ่วอุดตันท่อทางเดินของอวัยวะนั้น ๆ จนเกิดอาการที่ไม่สบายรุนแรง โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอาการดังกล่าวด้วยวิธีอื่นได้ แต่หลังจากที่ผ่าตัดหรือใช้เครื่องมือสลายนิ่วแล้ว ก็ควรแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นต้นเหตุด้วย จะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นนิ่วอีก
http://www.morkeaw.net/k-analyze-frameset.html***********
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
งานวิจัยหลายรายการสรุปได้ตรงกันว่าไม่ว่าจะเป็นนิ่วชนิดไหน การดื่มน้ำมากๆวันละ 2 ลิตรขึ้นไปช่วยลดการเป็นนิ่วซ้ำได้แน่นอน
http://visitdrsant.blogspot.com/2011/12/blog-post_19.html
เป็นนิ่วในไตซ้ำซาก
คุณหมอสันต์ที่เคารพ
หนูอายุ 37 ปี เมื่อสามปีก่อนปวดท้องเพราะเป็นนิ่วที่กรวยไต ได้รับการรักษาด้วยการทำช็อกเวฟให้นิ่วแตก แล้วอาการดีขึ้นจนเป็นปกติ หมอบอกว่าให้หนูดื่มน้ำมากๆ แต่ดื่มน้ำเปล่ามันจืด หนูจึงดื่มชาแทน ชาจีนบ้าง ชาดำบ้าง ชาเขียวบ้าง บางดื่มถึง 6 ขวด มาปีนี้หนูเป็นนิ่วอีกแล้ว มีอาการปวดท้องทรมานมากกินไม่ได้อาเจียน หมอทำ CT แล้วบอกว่ามีนิ่วขนาด 10 ซม. จุกอยู่ที่จุดต่อระหว่างกรวยไตกับหลอดไต คราวนี้ได้ทำการรักษาโดยวิธีเรียกว่าอะไรไม่ทราบ หมอบอกว่าใช้เลเซอร์ ซึ่งก็สำเร็จด้วยดี แต่ต้องคาสายไว้ในตัวซึ่งจะต้องมาผ่าตัดภายหลังอีก ปัญหาก็คือว่าทำไมหนูจึงเป็นนิ่วซ้ำซาก ชั่วชีวิตนี้จะต้องเป็นอีกกี่หน ไตหนูจะพังหรือเปล่า มีสมุนไพรอะไรป้องกันนิ่วได้บ้าง คุณหมอช่วยแนะนำด้วยค่ะ
หนูอายุ 37 ปี เมื่อสามปีก่อนปวดท้องเพราะเป็นนิ่วที่กรวยไต ได้รับการรักษาด้วยการทำช็อกเวฟให้นิ่วแตก แล้วอาการดีขึ้นจนเป็นปกติ หมอบอกว่าให้หนูดื่มน้ำมากๆ แต่ดื่มน้ำเปล่ามันจืด หนูจึงดื่มชาแทน ชาจีนบ้าง ชาดำบ้าง ชาเขียวบ้าง บางดื่มถึง 6 ขวด มาปีนี้หนูเป็นนิ่วอีกแล้ว มีอาการปวดท้องทรมานมากกินไม่ได้อาเจียน หมอทำ CT แล้วบอกว่ามีนิ่วขนาด 10 ซม. จุกอยู่ที่จุดต่อระหว่างกรวยไตกับหลอดไต คราวนี้ได้ทำการรักษาโดยวิธีเรียกว่าอะไรไม่ทราบ หมอบอกว่าใช้เลเซอร์ ซึ่งก็สำเร็จด้วยดี แต่ต้องคาสายไว้ในตัวซึ่งจะต้องมาผ่าตัดภายหลังอีก ปัญหาก็คือว่าทำไมหนูจึงเป็นนิ่วซ้ำซาก ชั่วชีวิตนี้จะต้องเป็นอีกกี่หน ไตหนูจะพังหรือเปล่า มีสมุนไพรอะไรป้องกันนิ่วได้บ้าง คุณหมอช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ตอบครับ
1. การรักษานิ่วที่คุณทำไปครั้งแรกเรียกว่าช็อกเวฟ (extracorporeal shock wave lithotripsy หรือ ESWL) คือเอาคลื่นเสียงส่งจากภายนอก ผ่านผิวหนังไปเขย่านิ่วให้แตก ส่วนที่คุณทำครั้งที่สองเรียกว่า ureteroscopy หรือ URS ควบกับ laser lithotripsy คือเป็นการเอากล้องแบบโค้งได้ขนาดเล็กเท่าหลอดกาแฟสอดเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ผ่านกระเพาะปัสสาวะ ผ่านหลอดไต (ureter) ไปจนถึงตัวนิ่วที่ใกล้กับกรวยไต แล้วปล่อยเลเซอร์ให้นิ่วแตกแล้วเอาตะกร้าลวดขนาดจิ๋วลากนิ่วออกมา ส่วนสายที่หมอคาไว้เรียกว่า JJ catheter คือปลายมันขดสองข้างเป็นตัว J ข้างหนึ่งอยู่ในกรวยไต อีกข้างหนึ่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ จุดประสงค์ก็เพื่อระบายน้ำปัสสาวะให้ผ่านจุดที่นิ่วเคยอยู่ซึ่งอาจจะเกิดการบาดเจ็บชั่วคราวจากการใช้เลเซอร์ สายนี้มักคาไว้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ เวลาจะเอาออกก็ไม่ยาก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ทำแบบคนไข้นอก หมอจะส่องกล้องเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะแล้วลากสายนี้ออกมาเท่านั้นเอง
2. การที่คุณหมอแนะนำดื่มน้ำมากๆ (มากกว่าวันละ 2 ลิตร)นั้น เป็นวิธีป้องกันการกลับเป็นนิ่วซ้ำได้ดี คือป้องกันได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับการกระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ
3. แต่การที่คุณประยุกต์คำแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆไปดื่มน้ำชามากๆแทนนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะน้ำชามีออกซาเลทซึ่งเป็นสารตัวการก่อนิ่วตัวเอ้ตัวหนึ่ง ยิ่งถ้าตั้งอกตั้งใจดื่มวันละหลายขวดก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นนิ่วซ้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตามชาต่างชนิดกันก็มีออกซาเลทไม่เท่ากัน งานวิจัยปริมาณออกซาเลทในน้ำชาชนิดต่างๆพบว่าชาถุงแบบอังกฤษมีออกซาเลท 4.68 มก. ชาจีน(ชาใบ) มีออกซาเลท 5.11 มก. ชาเขียวและชาอู่หลงมีออกซาเลทเฉลี่ย 0.23 – 1.15 มก. ชาสมุนไพรเช่นชา Rooibos และ Honeybush มีออกซาเลทน้อยที่สุด คือมีตั้งแต่ 0 – 3 มก. ถ้าคุณกลัวเป็นนิ่วซ้ำ หลีกเลี่ยงชาเป็นดีที่สุด
4. คุณยังอายุไม่มาก แต่ก็เป็นนิ่วซ้ำซากเสียแล้ว อนาคตอาจจะต้องเป็นอีกหลายครั้ง ผมแนะนำให้คุณคุยกับหมอของคุณในประเด็นต่อไปนี้
4.1 เอานิ่วที่ลากออกมาได้ไปวิเคราะห์ทางแล็บ เพื่อดูว่าเป็นนิ่วชนิดไหน เพื่อจะได้มองหาวิธีป้องกันได้ถูก คือนิ่วในทางเดินปัสสาวะของคนเรานี้มีได้สี่แบบตามสารที่ประกอบกันเป็นนิ่ว คือ (1) นิ่วแคลเซียม (เช่นแคลเซียมออกซาเลท) (2) นิ่วสตรูไวท์ (Struvite หรือ magnesium ammonium phosphate) (3) นิ่วกรดยูริก และ (4) นิ่วซีสตีน
4.2 ต้องสืบค้นให้แน่ใจว่าไม่ได้มีเหตุอื่นให้เป็นนิ่วง่ายอยู่ เช่น
(1) เจาะเลือดดูฮอร์โมนพาราไทรอยด์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นไฮเปอร์พาราไทรอยด์ซึ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมมากขึ้น
(2) เจาะเลือดดูระดับกรดยูริกเพื่อวินิจฉัยแยกการเป็นนิ่วจากกรดยูริกซึ่งพบบ่อยในคนเป็นโรคเก้าท์
(3) เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงไปตรวจหาระดับ โปตัสเซียม, แคลเซียม, กรดยูริก , แมกนีเซียม, ฟอสเฟต เทียบกับสารเหล่านี้ในเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตว่าผิดเพี้ยนไปเพราะเหตุใดหรือเปล่า เช่นอาจจะเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Bartter Syndrome ซึ่งไตจะทำงานเพี้ยนไปในลักษณะที่ผลสุดท้ายจะมีโปตัสเซียมและแคลเซียมรั่วออกไปอยู่ในปัสสาวะมาก ทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย
(4) คุณใช้ยาขับปัสสาวะหรือยาระบายยาถ่ายเป็นประจำหรือเปล่า ที่ถามอย่างนี้เพราะสาวๆที่กลัวอ้วนเขาชอบใช้กัน ถ้าใช้อยู่ต้องเลิกทันที เพราะยาขับปัสสาวะ ยาระบายยาถ่าย (laxative) ถ้าใช้มากจะทำให้ไตทำงานเพี้ยนไปคล้ายกับคนเป็นโรคทางพันธุกรรม ซึ่งแพทย์เรียกว่า pseudo Bartter syndrome
4.3 ยังไม่ต้องตีอกชกหัวกลัวไตพัง ตัวนิ่วไม่ได้ทำให้ไตพัง โรคพันธุกรรมอย่าง Bartter Syndrome ก็ไม่ได้ทำให้ไตพัง คนเป็นนิ่วไตจะพังก็ต่อเมื่อนิ่วอุดตันทางเดินท่อปัสสาวะอยู่นานจนปัสสาวะไหลไม่ได้และกรวยไตโป่งพองหรือมีการติดเชื้อขึ้น ดังนั้นนอกจากจะตั้งใจดื่มน้ำมากเป็นนิสัยแล้วควรทำอุลตร้าซาวด์ดูไตทุกปีเพื่อประเมินขนาดและตำแหน่งของนิ่วและขนาดของกรวยไตซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นเมื่อนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีการอุดตันหรือนิ่วชักมีขนาดโต ก็ต้องรีบรักษา แต่ถ้านิ่วมีขนาดเล็กควรจะเลือกวิธีรอไปก่อน เพราะ 85% ของนิ่วในไตจะหลุดออกมาได้เอง
5. เรื่องสมุนไพรรักษานิ่วผมไม่ทราบครับ เพราะผมมีความรู้แต่วิชาแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเลยครับ ต้องขออำไพที่ให้คำแนะนำไม่ได้จริงๆค่า
1. การรักษานิ่วที่คุณทำไปครั้งแรกเรียกว่าช็อกเวฟ (extracorporeal shock wave lithotripsy หรือ ESWL) คือเอาคลื่นเสียงส่งจากภายนอก ผ่านผิวหนังไปเขย่านิ่วให้แตก ส่วนที่คุณทำครั้งที่สองเรียกว่า ureteroscopy หรือ URS ควบกับ laser lithotripsy คือเป็นการเอากล้องแบบโค้งได้ขนาดเล็กเท่าหลอดกาแฟสอดเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ผ่านกระเพาะปัสสาวะ ผ่านหลอดไต (ureter) ไปจนถึงตัวนิ่วที่ใกล้กับกรวยไต แล้วปล่อยเลเซอร์ให้นิ่วแตกแล้วเอาตะกร้าลวดขนาดจิ๋วลากนิ่วออกมา ส่วนสายที่หมอคาไว้เรียกว่า JJ catheter คือปลายมันขดสองข้างเป็นตัว J ข้างหนึ่งอยู่ในกรวยไต อีกข้างหนึ่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ จุดประสงค์ก็เพื่อระบายน้ำปัสสาวะให้ผ่านจุดที่นิ่วเคยอยู่ซึ่งอาจจะเกิดการบาดเจ็บชั่วคราวจากการใช้เลเซอร์ สายนี้มักคาไว้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ เวลาจะเอาออกก็ไม่ยาก ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ทำแบบคนไข้นอก หมอจะส่องกล้องเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะแล้วลากสายนี้ออกมาเท่านั้นเอง
2. การที่คุณหมอแนะนำดื่มน้ำมากๆ (มากกว่าวันละ 2 ลิตร)นั้น เป็นวิธีป้องกันการกลับเป็นนิ่วซ้ำได้ดี คือป้องกันได้ถึง 60% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับการกระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ
3. แต่การที่คุณประยุกต์คำแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆไปดื่มน้ำชามากๆแทนนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะน้ำชามีออกซาเลทซึ่งเป็นสารตัวการก่อนิ่วตัวเอ้ตัวหนึ่ง ยิ่งถ้าตั้งอกตั้งใจดื่มวันละหลายขวดก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นนิ่วซ้ำมากขึ้น อย่างไรก็ตามชาต่างชนิดกันก็มีออกซาเลทไม่เท่ากัน งานวิจัยปริมาณออกซาเลทในน้ำชาชนิดต่างๆพบว่าชาถุงแบบอังกฤษมีออกซาเลท 4.68 มก. ชาจีน(ชาใบ) มีออกซาเลท 5.11 มก. ชาเขียวและชาอู่หลงมีออกซาเลทเฉลี่ย 0.23 – 1.15 มก. ชาสมุนไพรเช่นชา Rooibos และ Honeybush มีออกซาเลทน้อยที่สุด คือมีตั้งแต่ 0 – 3 มก. ถ้าคุณกลัวเป็นนิ่วซ้ำ หลีกเลี่ยงชาเป็นดีที่สุด
4. คุณยังอายุไม่มาก แต่ก็เป็นนิ่วซ้ำซากเสียแล้ว อนาคตอาจจะต้องเป็นอีกหลายครั้ง ผมแนะนำให้คุณคุยกับหมอของคุณในประเด็นต่อไปนี้
4.1 เอานิ่วที่ลากออกมาได้ไปวิเคราะห์ทางแล็บ เพื่อดูว่าเป็นนิ่วชนิดไหน เพื่อจะได้มองหาวิธีป้องกันได้ถูก คือนิ่วในทางเดินปัสสาวะของคนเรานี้มีได้สี่แบบตามสารที่ประกอบกันเป็นนิ่ว คือ (1) นิ่วแคลเซียม (เช่นแคลเซียมออกซาเลท) (2) นิ่วสตรูไวท์ (Struvite หรือ magnesium ammonium phosphate) (3) นิ่วกรดยูริก และ (4) นิ่วซีสตีน
4.2 ต้องสืบค้นให้แน่ใจว่าไม่ได้มีเหตุอื่นให้เป็นนิ่วง่ายอยู่ เช่น
(1) เจาะเลือดดูฮอร์โมนพาราไทรอยด์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นไฮเปอร์พาราไทรอยด์ซึ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมมากขึ้น
(2) เจาะเลือดดูระดับกรดยูริกเพื่อวินิจฉัยแยกการเป็นนิ่วจากกรดยูริกซึ่งพบบ่อยในคนเป็นโรคเก้าท์
(3) เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมงไปตรวจหาระดับ โปตัสเซียม, แคลเซียม, กรดยูริก , แมกนีเซียม, ฟอสเฟต เทียบกับสารเหล่านี้ในเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตว่าผิดเพี้ยนไปเพราะเหตุใดหรือเปล่า เช่นอาจจะเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Bartter Syndrome ซึ่งไตจะทำงานเพี้ยนไปในลักษณะที่ผลสุดท้ายจะมีโปตัสเซียมและแคลเซียมรั่วออกไปอยู่ในปัสสาวะมาก ทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย
(4) คุณใช้ยาขับปัสสาวะหรือยาระบายยาถ่ายเป็นประจำหรือเปล่า ที่ถามอย่างนี้เพราะสาวๆที่กลัวอ้วนเขาชอบใช้กัน ถ้าใช้อยู่ต้องเลิกทันที เพราะยาขับปัสสาวะ ยาระบายยาถ่าย (laxative) ถ้าใช้มากจะทำให้ไตทำงานเพี้ยนไปคล้ายกับคนเป็นโรคทางพันธุกรรม ซึ่งแพทย์เรียกว่า pseudo Bartter syndrome
4.3 ยังไม่ต้องตีอกชกหัวกลัวไตพัง ตัวนิ่วไม่ได้ทำให้ไตพัง โรคพันธุกรรมอย่าง Bartter Syndrome ก็ไม่ได้ทำให้ไตพัง คนเป็นนิ่วไตจะพังก็ต่อเมื่อนิ่วอุดตันทางเดินท่อปัสสาวะอยู่นานจนปัสสาวะไหลไม่ได้และกรวยไตโป่งพองหรือมีการติดเชื้อขึ้น ดังนั้นนอกจากจะตั้งใจดื่มน้ำมากเป็นนิสัยแล้วควรทำอุลตร้าซาวด์ดูไตทุกปีเพื่อประเมินขนาดและตำแหน่งของนิ่วและขนาดของกรวยไตซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นเมื่อนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีการอุดตันหรือนิ่วชักมีขนาดโต ก็ต้องรีบรักษา แต่ถ้านิ่วมีขนาดเล็กควรจะเลือกวิธีรอไปก่อน เพราะ 85% ของนิ่วในไตจะหลุดออกมาได้เอง
5. เรื่องสมุนไพรรักษานิ่วผมไม่ทราบครับ เพราะผมมีความรู้แต่วิชาแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรเลยครับ ต้องขออำไพที่ให้คำแนะนำไม่ได้จริงๆค่า